ตอนที่แล้วบทที่ 29 เปิดเผยความสามารถ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31 สิ่งที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับวันสิ้นโลก

บทที่ 30 เอาของมาแลกเปลี่ยน


บทที่ 30

เอาของมาแลกเปลี่ยน

เขตกักกันมีพื้นที่กว้างขวางมาก ครอบคลุมพื้นที่หลายหมื่นตารางเมตร ส่วนแรกเป็นประตูด่านหน้า ส่วนที่สองเป็นจุดจอดรถบรรทุกและปืนใหญ่ ส่วนที่สามคือบริเวณเขตกักกันและพื้นที่ปลีกวิเวก

ใครคนหนึ่งในเขตกักกันมีเสบียงอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก แถมในกลุ่มของเขายังมีคนที่สามารถควบคุมไฟและลมปรากฏตัวขึ้น ข่าวนี้กระจายไปทั่วทั้งเขตปลอดภัยในเวลาอันสั้น

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้มีอำนาจทางการเมือง รวมถึงเจ้าหน้าที่ส่วนงานอื่น ๆ ตอบสนองโดยทันที เร่งรุดเข้าไปในเขตกักกันเพื่อเจรจากับเฉินเทียนเซิงทีละคน

รถบรรทุกคันใหญ่โดดเด่นสะดุดตาอยู่กลางพื้นที่โล่งกว้าง รอยไฟไหม้เป็นวงกลมบนพื้นดินคือหลักฐานชั้นดี ถึงแม้ว่าไฟจะมอดดับลงไปแล้ว แต่ก็ยังทิ้งความรู้สึกเหลือเชื่อเอาไว้

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ถือใบปลิวไว้ในมือ ตั้งท่าจะเข้าไปเจรจาก่อนเป็นรายแรก แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าสู่วงล้อมไฟ        ลัวหลงก็โผล่มายืนขวางทางไว้ ฝ่ามือลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ

“มีอะไร?”

เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์คนนั้นยื่นใบปลิวให้ลัวหลงด้วยความตื่นเต้น

“ฉันมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ จากความสามารถของคุณ พวกคุณจะได้รับการบรรจุเป็นผู้นำกองกำลังระดับสูงสุด”

ลัวหลงเหลือบมองมันแค่ปราดเดียว วินาทีต่อมา ใบปลิวแผ่นนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

“อืม ผมรู้แล้ว ทีนี้พวกคุณก็ไปได้แล้ว”

“คุณผู้ชาย คุณผู้ชาย ลองพิจารณาดูอีกครั้งเถอะ ตอนนี้คนทั้งประเทศต้องการคนมีความสามารถแบบคุณนะ”

ตราบใดที่ไม่ได้รับอนุญาตจากลัวหลง ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามวงล้อมไฟเข้าไปได้ทั้งนั้น แม้แต่ทหารภายในเขตปลอดภัยก็ตาม

ลัวหลงเดินย้อนกลับไปทางรถบรรทุก ขณะเดียวกันนั้น เฉินเทียนเซิงก็กำลังนอนอยู่บนกล่องลังกระดาษอาบแดดด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“อาจารย์ครับ พวกเขาอยากให้เราเข้าร่วมกับองค์กรกับเขา”

“อืม อย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีก”

เฉินเทียนเซิงไม่แม้แต่จะลืมตามองด้วยซ้ำ ยังคงทำตัวหยิ่งต่อไป เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ยังคงรออย่างอดทนอยู่นอกวงล้อมไฟ ชะเง้อคอมองเป็นระยะเพื่อรอคอยคำตอบ

พอหันหน้ามองไปอีกทางโดยบังเอิญ ก็เห็นว่าเจิ้งเหว่ย กำลังวิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง

เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์รีบทักทายเขาอย่างสุภาพ “เจิ้งเหว่ย คุณนั่นเอง”

“คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”

เจิ้งเหว่ยไม่ได้สนใจมากนัก ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ อีกก้าวเดียวก็จะก้าวข้ามเข้าไปในเขตวงล้อมไฟแล้ว

ยังไม่ทันที่ฝ่าเท้าจะจรดพื้น ขี้เถ้าที่คุกรุ่นอยู่บนพื้นก็มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เจิ้งเหว่ยตกใจมากจนเกือบล้มลงหัวทิ่ม ลูกน้องของเขาเห็นแบบนั้นก็รีบเข้ามาช่วยดับไฟที่ไหม้กางเกงเขาทันที

“เจิ้งเหว่ย คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เจิ้งเหว่ยดันแว่นตาตัวเองขึ้น เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

ความสามารถน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงคนคนนี้ก็ต้องมาอยู่ใต้อาณัติของเขา

ลัวหลงเดินจ้ำอ้าวเข้ามาอีกครั้ง แล้วพูดด้วยความไม่พอใจ

“พวกคุณแห่มาทำอะไรกันอีก ไม่รู้กฎของเราหรือไง ว่าใครก็ตามห้ามก้าวเข้ามาในวงล้อมไฟถ้าไม่ได้รับอนุญาต?”

ทันทีที่เจิ้งเหว่ยกำลังจะสวนกลับ เจ้าหน้าที่ประจำเขตกักกันก็กระซิบรายงานเขาทันที

“คนนี้แหละครับ คนที่ควบคุมไฟได้”

เจิ้งเหว่ยได้ยินแบบนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว

“ผมชื่อเจิ้งเหว่ย มาจากเขตสงคราม มาที่นี่ในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการเจรจากับคุณ”

ยังไม่ทันที่ลัวหลงจะได้ตอบกลับอะไร เสียงของ           เฉินเทียนเซิงก็ดังมาจากข้างหลัง

“ให้เขาเข้ามาเถอะ”

ลัวหลงจึงเบี่ยงตัวไปด้านข้างพร้อมกับทำท่าเชื้อเชิญ “เชิญครับ”

เจิ้งเหว่ยปรับสีหน้าและจัดเสื้อผ้าใหม่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในวงล้อมไฟ คนอื่น ๆ เองก็ตั้งท่าจะเดินตามเช่นกัน แค่ลัวหลงจ้องเขม็งมองพวกเขาแล้วพูดอย่างเย็นชา

“อาจารย์ไม่อนุญาตให้พวกคุณเข้าไป รออยู่ที่นี่แหละ”

พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ยืนรออยู่ข้างนอก

เจิ้งเหว่ยเดินมาจนถึงรถบรรทุก เฉินเทียนเซิงยังคงนอนอาบแดดอยู่บนกล่องลัง โดยมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งคอยปรนนิบัติพัดวีอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาสบายแค่ไหน

ถึงแม้จะมีแขกตำแหน่งสูงมาเยือนถึงที่ เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะลืมตาขึ้นเลย วางตัวสูงส่งจนน่าหมั่นไส้ซะจริง ๆ

แรกพบเจิ้งเหว่ยก็มีความประทับใจที่ไม่ดีต่อ                 เฉินเทียนเซิงแล้ว แต่นั่นไม่สำคัญ เป้าหมายสูงสุดในการเจรจาไม่ใช่เขา แค่เป็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวข้างกายเขา ที่สามารถควบคุมไฟและลมได้ต่างหาก

ยังไม่ทันที่เจิ้งเหว่ยจะได้พูดอะไร เฉินเทียนเซิงก็ชิงพูดดักขึ้นก่อน

“ข้อแรก ผมไม่ประสงค์จะเข้าร่วมกับองค์กรของคุณ แต่ผมสามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้ ทำงานร่วมกันไม่ใช่ปัญหา แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ขอทำงานภายใต้คำสั่งใคร”

“ข้อสอง ถ้าพวกคุณอยากได้เสบียง ก็ให้เอาต่อมไพเนียลที่อยู่ในหัวของซอมบี้มาแลกเปลี่ยน ไม่ต้องเสนอข้อแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ให้ยุ่งยาก”

คำพูดของเขารวบรัดตรงประเด็น ขว้างระเบิดใหญ่สองลูกออกไปอย่างจัง ในขณะเดียวกันก็ระบุเงื่อนไขและรายละเอียดอย่างคลุมเครือ

ท้ายที่สุดเจิ้งเหว่ยก็คือเจิ้งเหว่ย ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบหน้าเฉินเทียนเซิงสักเท่าไหร่ แต่ก็จดจำรายละเอียดในข้อต่อรองทั้งสองได้อย่างชัดเจน

“คุณเฉินเทียนเซิง ให้ผมได้แนะนำตัว ผมเป็น...”

“ผมไม่สนหรอกว่าคุณชื่ออะไร ถ้าคุณไม่ยอมรับข้อต่อรองนี้ ก็ไปหาคนอื่นมาเจรจาแล้วกัน ส่งแขก”

เจิ้งเหว่ยงงเป็นไก่ตาแตก นี่มันอะไรกัน เขาโดนไล่ออกไปจากที่นี่ก่อนที่เขาจะได้แนะนำตัวอีกเหรอเนี่ย?

ไร้มารยาทเกินไปหน่อยหรือเปล่า?

“ไม่ใช่อย่างนั้นคุณเฉิน ผม...”

“ส่งแขก!”

เขาไม่เปิดให้เจิ้งเหว่ยมีโอกาสได้พูดพล่ามมากไปกว่านี้ ฝ่ามือของลัวหลงติดไฟขึ้นมาอีกครั้ง บังคับให้เจิ้งเหว่ยเดินออกไปจากวงล้อมไฟเดี๋ยวนี้

“ฮึ่ม!”

เจิ้งเหว่ยปัดฝ่ามือก่อนจะเดินออกไปด้วยความโกรธเคือง ก่อนหน้านี้เขาแค่ดูถูกเฉินเทียนเซิงที่วางตัวไม่เหมาะสม แต่ตอนนี้เขายิ่งผิดหวังเมื่อเห็นว่าเฉินเทียนเซิงเย่อหยิ่งแค่ไหน

ดีที่ช่วงเวลานี้คือวันสิ้นโลก ถ้าโลกยังคงสงบเหมือนเดิมละก็ คนหยิ่งยโสแบบเขาไม่มีวันมีที่ยืนในสังคมแน่

พอออกมาจากเขตกักกันแล้ว ความโกรธของเขาก็       จางหายไป เริ่มคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเงื่อนไขทั้งสองข้อของ        เฉินเทียนเซิงอย่างจริงจัง

ข้อแรก เขายินดีหาทางแก้ปัญหาร่วมกับพวกเขา เพียงแต่ไม่อยากปฏิบัติตามคำสั่ง ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ทำตัวหยิ่ง ไม่สนมารยาท และไม่เห็นแก่หน้าใคร

ข้อสอง ถ้าพวกเขาต้องการส่วนแบ่งเสบียงจากอีกฝ่าย จะต้องหาต่อมไพเนียลที่อยู่ในหัวซอมบี้มาแลกเปลี่ยน เงื่อนไขนี้ ดูไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเท่าไหร่

เขารีบโทรหาทหารที่ออกปฏิบัติภารกิจในตอนเช้า ถามว่าพวกเขาจัดการกับซอมบี้ยังไง ถึงได้รู้ว่าพวกเขาอาศัยยิงพวกซอมบี้จากระยะไกล และยิงนัดเดียวเข้าที่หัว ฆ่าพวกมันไปหลายร้อยตัวในตอนเช้า

จากข้อมูลดังกล่าว การหาต่อมไพเนียลในหัวซอมบี้ไปแลกเปลี่ยนกับเขากลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที

จากนั้นเจิ้งเหว่ยก็ตัดสินใจอย่างเฉียบขาด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิต

หลังจากเปลี่ยนแผนเจรจาใหม่แล้ว เขาก็กลับเข้าไปในเขตกักกันอีกครั้ง เพื่อขอพบเฉินเทียนเซิง

“ทางเรายอมแลกเปลี่ยนสิ่งของตามที่คุณเสนอ”

เฉินเทียนเซิงพยักหน้ารับพลางเหลือบมองเขา

“อย่างนั้นก็ดี ผมมีเสบียงให้แลกเปลี่ยนเท่าที่คุณต้องการ”

เจิ้งเหว่ยอดมองไปที่รถบรรทุกสินค้าคันนั้นไม่ได้ คิดกับตัวเองว่า รถบรรทุกคันแค่นี้จะบรรจุเสบียงได้สักแค่ไหนกันเชียว

นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้ความจริง ว่าเฉินเทียนเซิงยังมีกระเป๋าเป้อวกาศซึ่งสามารถบรรจุเสบียงได้อย่างน้อย 1 ตัน

“หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน* เดี๋ยวผมจะจัดการให้”

*หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน = ลูกผู้ชายเมื่อลั่นวาจาออกไปแล้วต้องรักษาสัจจะ

ไม่นานหลังเจิ้งเหว่ยจากไป เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งก็ส่งเสียงใบพัดหวีดหวิวอยู่เหนือศีรษะ ชายสองคนก้าวลงจากเฮลิคอปเตอร์ คนหนึ่งคือผู้กองหัวหน้าเขตปลอดภัย ส่วนอีกคนคือลัวหมิง แต่ตอนนี้เขาก็สวมเครื่องแบบเต็มยศ ประดับอินทรธนูบอกยศผู้กองเช่นเดียวกัน

“เด็กสองคนที่ควบคุมไฟและลมได้อยู่ไหน รีบพาพวกเราไปที่นั่น”

หลังจากทหารที่เฝ้ารักษาการณ์แสดงความเคารพแล้ว พวกเขาก็รีบพาผู้บังคับกองทั้งสองเข้าไปในเขตกักกัน

“อยู่ข้างหน้าครับ รถบรรทุกสินค้าคันนั้นคือรถของพวกเขา”

ทันทีที่ผู้กองลัวหมิงเห็นรถบรรทุกสินค้าคันนั้น ดวงตาของเขาก็สว่างไสวขึ้น ความคิดที่น่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้นในสมอง แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้

พอเดินเข้าไปใกล้รถบรรทุกสินค้า ลัวหมิงก็ถูกทหารขวางไว้ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปใกล้

“ผู้กองครับ รออยู่ที่นี่สักครู่ บริเวณนี้เป็นวงล้อมไฟที่พวกเขากางอาณาเขตไว้ มีกฎด้วยว่าห้ามไม่ให้ใครผ่านเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต”

“ถือดีมาจากไหนกัน” ผู้กองอีกคนถึงกับผงะ

แต่ก่อนที่ใครจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงลัวหลง เด็กหนุ่มที่สามารถควบคุมเปลวไฟได้ ตะโกนเสียงดังลั่นมาจากทางรถบรรทุก

“ลุง ทำไมถึงได้ใส่ชุดนี้ล่ะครับ?”

“ลัวหลง เป็นหลานจริง ๆ ด้วย!”

อารมณ์ของลัวหมิงตอนนี้เหมือนลอยขึ้นรถไฟเหาะ ทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด