ตอนที่แล้วบทที่ 1: วัยเด็ก (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3: วัยเด็ก (3)

บทที่ 2 : วัยเด็ก (2)


บทที่ 2 : วัยเด็ก (2)

ฉันกับชีอันเริ่มพบกันทุกๆ สามวัน

เธอเป็นคนแรกที่มาถึงและรอฉันในสถานที่นัดพบที่ตกลงไว้เสมอ

ฉันสงสัยว่าเธอมาเร็วแค่ไหน เพราะเธอมักจะรอฉันก่อนตลอด

ขณะกินขนมปังที่เธอนำมาจากบ้าน ฉันได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเธอ

ชีอันอายุ 9 ขวบ อายุน้อยกว่าฉัน 2 ปี

แม้จะไม่ใช่ชนชั้นสูง แต่เธอก็เติบโตมาในบ้านที่ร่ำรวย ทั้งพ่อและแม่ของเธอเป็นหมอ

เมื่อคิดว่าการที่ทั้งพ่อและแม่เป็นหมอนั้นมันยากเพียงใด ฉันก็รู้สึกประหลาดใจมาก

อย่างที่ฉันแนะนำไป เธอนำอาหารมาทุกครั้งที่เจอกัน เธอยังบอกฉันด้วยว่าอาหารทั้งหมดนั้นถูกแอบๆ นำมา

มีบางส่วนที่ความคาดหวังของฉันที่มีต่อเธอนั้นได้แตกต่างออกไป

ตรงกันข้ามกับที่ฉันคิดไว้ว่าเธอจะสดใสและมีเพื่อนมากมาย ดูเหมือนเธอจะโตมาค่อนข้างเหงา

"เธอมีฉันเป็นเพื่อนแค่คนเดียวเท่านั้นเหรอ?"

"ใช่ นายเป็นเพื่อนคนเดียวของฉัน”

เธอเปิดเผยสิ่งนี้อย่างเขินอายระหว่างการพบกันครั้งที่สามของเรา

“ฉันเคยป่วยบ่อยมากจึงไม่มีเวลาหาเพื่อนเลย”

“…”

“แต่เมื่อฉันเห็นนาย ฉันก็ถึงกับอุทานออกมาเลยว่า ‘ว้าว!’ ฉันไม่อาจปล่อยให้นายหลุดมือไปได้”

“ว้าว แปลว่าอะไรงั้นเหรอ?”

"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันแค่อยากร้อง 'ว้าว' ออกมาน่ะ”

เธอดีใจมากที่เราได้เป็นเพื่อนกัน

บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันไม่ปกติ

เพื่อนมักไม่แย่งอาหารจากกัน

เธอเพียงแค่มองดู ไม่โต้ตอบหรือตัดสินอะไรฉัน

ความสัมพันธ์ของเราไม่มีการตอบแทน แต่ชีอันก็พอใจกับสิ่งนั้นและคอยอยู่ข้างๆ ฉันเสมอ

เธอมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจมากมาย

เรื่องราวของหมาป่าตัวน้อยผู้กล้าหาญที่ไปฟังมาจากเมืองที่เธอติดตามพ่อแม่ไป

เรื่องราวของการได้เห็นรูปปั้นนักรบมังกร

เรื่องราวเกี่ยวกับราชาปีศาจที่อยู่มาสองร้อยปีก่อน

เรื่องราวของหัวหน้าเผ่าเอลฟ์วัยชรา

เรื่องราวของการได้เห็นคนแคระที่มีส่วนสูงเพียงน้อยนิด และความชำนาญในการประดิษฐ์เครื่องประดับ...

เธอมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายที่ทำให้ฉันสงสัยว่ามันมีเหตุผลที่เธอต้องมาพบฉันด้วยเหรอ

ดูเหมือนเธอจะเดินทางบ่อยมาก อาจเป็นเพราะเธอรวยมากกระมัง

และทุกครั้งที่ฉันฟังเรื่องราวของเธอ ฉันจะรู้สึกถึงระยะห่างระหว่างเราอย่างแท้จริง

“เธอป่วย แต่เดินทางบ่อยๆ ขนาดนี้ได้ยังไง?”

“ฉันเดินทางเพราะฉันป่วยบ่อยเนี่ยแหละ ฉันต้องย้ายไปรับการรักษาที่นั้นที่นี่ไปทั่ว แต่ตอนนี้ฉันเริ่มหายดีแล้ว ช่วงนี้ฉันก็เลยไม่ได้ป่วยบ่อยๆ แบบนั้นแล้ว”

“…”

“แล้วนายไม่มีเรื่องราวที่น่าสนใจเลยเหรอ?”

ฉันยักไหล่เพื่อตอบคำถามของชีอัน

ไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกรำคาญเธอ

ฉันแค่ไม่มีอะไรจะเล่า

เรื่องราวของฉันไม่สามารถแบ่งปันได้ มันไม่สดใสหรือน่าสนใจเหมือนกับของเธอ

อย่างดีที่สุด ฉันมีเพียงเรื่องราวเกี่ยวกับการทะเลาะกับใครบางคน ได้รับบาดเจ็บจาการต่อสู้ หรือทำอะไรโง่ๆ กับพวกฟลินท์และแม็กซ์เท่านั้น

โลกของเรามันแตกต่างเกินไป

อย่างไรก็ตาม ชีอันกลับพยายามทำตัวกลมกลืนกับฉัน

เป็นผลให้เธอต้องอดทนหลายๆ อย่าง

อย่างแรกคือสถานที่ที่เราพบกัน

ถึงมันไม่ใช่สลัมเสียทีเดียว แต่เรามาเจอกันในที่ที่ไม่ค่อยมีคนมา

ทั้งหมดมันเป็นเพราะฉัน

ฉันไม่รู้ว่ามันจะมีแค่ชีอันที่เล่นกับฉันหรือเปล่า เพราะเมื่อใดก็ตามที่ฉันออกจากสลัมตามลำพัง ผู้คนก็ชี้นิ้วมาที่ฉันและหลีกเลี่ยงฉัน

มันเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะว่าผู้คนจากสลัมขึ้นชื่อในเรื่องการขโมยของ และอีกอย่าง เราก็ทั้งสกปรกและน่ารังเกียจโดยเนื้อแท้เหมือนดั่งแมลงสาบ

ถ้าฉันออกไปที่สว่างไสวกับชีอัน ฉันไม่รู้เลยว่าเราจะเจอปัญหาแบบไหน

ผู้ชายจากสลัมแบบฉันอาจถูกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านจับตัวไป และถูกกล่าวหาว่าล่อลวงเด็กสาวผู้บริสุทธิ์ และถูกทุบตีตรงนั้นจนตายเลยด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสถานที่ที่เราพบกันจึงดูซับซ้อนและมืดมน แต่เธอดูเหมือนจะไม่ได้ว่าอะไร ตราบใดที่เธอได้อยู่กับฉัน

“อร่อยไหม?”

เธอยังกังวลด้วยซ้ำว่าอาหารที่เธอนำมามีรสชาติดีหรือเปล่า

“…”

และเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อใดก็ตามที่ฉันเห็นความเมตตาของเธอ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ฉันไม่รู้ว่ามีอยู่ก็เข้ามาทิ่มแทงใจฉัน

ฉันกำลังใช้ประโยชน์จากเธอ

ฉันอิ่มท้องด้วยการใช้ประโยชน์จากเธอ

เธอเห็นฉันเป็นเพื่อนคนเดียวของเธอ แต่ฉันไม่เห็นเธอเป็นเพื่อนเลยสักนิดเดียว

ทุกครั้งที่ฉันเห็นรอยยิ้มอันไร้เดียงสาของเธอ อาหารก็ไม่ลงคอฉันเลย แม้ว่าอาหารที่เธอนำมามันจะอร่อยกว่าอาหารอื่นๆ มากก็ตาม

ฉันได้แต่พยายามเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเล็กน้อยหลังจากประสบกับอารมณ์เหล่านี้

เพื่อตอบสนองต่อความจริงใจอันบริสุทธิ์ของเธอ ฉันจึงค่อยๆ พยายามคิดว่าเธอเป็นเพื่อน

ความสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติของเราดำเนินต่อไปประมาณสองเดือน และเมื่อเราเริ่มสบายใจซึ่งกันและกัน เมื่อฉันไม่รับอาหารจากเธออีกต่อไป ฉันก็เริ่มแนะนำให้เธอรู้จักกับความบันเทิงในสลัม

ท้ายที่สุดแล้วเพื่อนๆ ก็ต้องทำสิ่งที่สนุกสนานร่วมกันใช่ไหม?

“ข้าแต่พระเจ้า คอยดูนะ…!”

“บะบะ… เบิร์ก… นี่มันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ?”

ชีอันพูดผ่านหน้าต่างชั้นสองด้วยสีหน้ากังวล ขณะที่เธอมองดูฉันที่พบเป้าหมายต่อไปที่จะถ่มน้ำลายใส่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่เดินผ่านตรอก

“…”

เมื่อเห็นท่าทางของเธอที่ดูไม่สนุกสนานเลย ความกระตือรือร้นของฉันก็ลดลงเช่นกัน

ฉันถ่มน้ำลายลงบนพื้นใกล้ๆ และให้เธอรออยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง

จากนั้นฉันก็ตักน้ำใส่ชามใบเล็กแล้วลองอีกครั้ง

"งั้นลองแบบนี้แทน”

แทนที่จะถ่มน้ำลาย ฉันกลับสาดน้ำลงไป

“โอ้ย หนาว!”

คนที่ผ่านไปมาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจด้วยตัวที่เปียกโชก ฉันกับชีอันจึงซ่อนตัวอยู่หลังหน้าต่าง

เมื่อเทียบกับการถ่มน้ำลาย การสาดน้ำมันไม่สนุกหรือเสี่ยงขนาดนั้น แต่ชีอันกลับกลั้นลมหายใจและหลับตาลงราวกับว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

“…”

และเมื่อฉันมองท่าทีของเธอแบบนั้น ฉันก็รู้ว่ามันสนุกมากกว่าการถ่มน้ำลายเสียอีก

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉันโดยไม่รู้ตัว

“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

ขณะที่ฉันพูด ชีอันก็เบิกตากว้างแล้วมองมาที่ฉัน

เมื่อมองลงไปอีกครั้ง ถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่หัวเราะเยาะคนที่เปียกน้ำ

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครไม่พอใจกับการแกล้งของฉัน ในที่สุดเธอก็ยิ้มอย่างสดใสและพูดว่า “มันสนุกจริงๆ เบิร์ก…!”

เมื่อฉันเริ่มปฏิบัติต่อเธออย่างจริงใจในฐานะเพื่อน เราก็สนิทกันอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

ท่าทีของเธอเป็นไปอย่างสบายๆ และไม่รู้สึกเหมือนมันเป็นความสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติอีกต่อไป

เช่นเดียวกับแมกซ์และฟลินท์ ฉันก็รู้สึกเหมือนเธอเป็นเพื่อนอีกคนของฉันด้วย

เราใช้เวลาหนึ่งปีด้วยกันแบบนั้น

และเมื่อเธออายุได้ 10 ขวบ เธอก็ประกาศกร้าว

“เบิร์ก! ฉันคิดว่าแค่เป็นเพื่อนกันแค่นั้นไม่พอหรอก”

"อะไรนะ?"

“ฉันไม่รู้เพราะฉันไม่มีเพื่อนคนอื่น แต่…เราสนิทกันมากกว่าแบบเพื่อนไม่ใช่เหรอ?”

ฉันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่พอคิดดูแล้ว มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น

"แล้วยังไง?"

เมื่อถามว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนี้ เธอก็กระพริบตาและหลบสายตาของฉัน เธอลังเลและกัดนิ้วของเธอ

มันเป็นนิสัยที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เธอกังวล

“…มาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกันเถอะ”

หลังจากหยุดนิ่งไปนาน นั่นคือสิ่งที่เธอพูดออกมา

ฉันไม่เข้าใจความลังเลของเธอ และสงสัยว่ามันแตกต่างจากเพื่อนแบบธรรมดาตรงไหน

“แล้วถ้าเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกัน มันจะต่างอะไรเหรอ?”

"มันต้องต่างออกไปสิ…!"

จู่ๆ เธอก็ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด

“เมื่อเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ก็ต้องให้ความสำคัญกับฉันมากกว่าใครๆ! และฉันก็จะทำแบบเดียวกันกับนาย…!”

เมื่อเราใกล้ชิดกันมากขึ้น ฉันก็เริ่มแกล้งเธอบ่อยขึ้น

ด้วยเหตุผลบางอย่าง หน้าตาที่หงุดหงิดของเธอทำให้ฉันหัวเราะ และทำให้ฉันอยากจะแกล้งเธอมากขึ้น

“ฉันไม่มีอยากจะเป็นเพื่อนซี้กับคนที่ฉี่รดที่นอนหรอกนะ”

"อะไรนะ? เบิร์ก”

“นอกจากนี้ ฉันย่อมเป็นคนเดียวที่ขาดทุนน่ะสิ เพราะเธอไม่มีเพื่อนคนอื่นอยู่เลย”

“…”

อย่างไรก็ตาม พอฉันกล่าวเรื่องตลกร้ายแบบนั้นออกไป สีหน้าของชีอันกลับมืดมนลงอย่างรวดเร็ว

เธอเถียงกลับไม่ได้เลยและกระพริบตาอย่างสับสน

"ใช่ไหม?"

“…..”

เธอไม่สามารถแม้แต่จะตอบฉันและเม้มริมฝีปาก เธอหันหลังกลับและจากไป

ฉันรีบคว้ามือที่กำลังจะจากไปของเธอแล้วตบเธอเบาๆ

“เฮ้ ชีอัน…! ฉันแค่หยอกเล่นน่า ไม่เห็นต้องคิดจริงจังอะไรขนาดนั้นเลยไม่ใช่เหรอ?”

ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?

บางครั้งฉันก็ลืมว่าเธอไม่ได้มาจากสลัม ฉันควรควบคุมระดับการแกล้งให้เหมาะสมด้วย

การที่เธอไม่มีเพื่อน อาจเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

ฉันจึงได้แต่พูดเพื่อปลอบใจเธอ

“ก็เธอป่วยนี้ จะไปรู้จักเพื่อนได้ยังไง”

“นายมีคนที่ใกล้ชิดมากกว่าฉันหรือเปล่า?”

แต่คำพูดที่เธอพูดกลับทำให้ฉันประหลาดใจ

"อะไรนะ?"

“นาย…มีเพื่อนที่มีค่ามากกว่าฉันหรือเปล่า?”

เธอขมวดคิ้วอย่างวิตกกังวลราวกับว่าเธอผิดหวัง ไม่ใช่เพราะฉันล้อเล่นว่าเธอไม่มีเพื่อน แต่เพราะฉันปฏิเสธข้อเสนอที่จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด

ขณะที่ฉันมองเธอแบบนั้น ฉันก็ถอนหายใจสุดลมหายใจ

เมื่อถอนหายใจออกมา มันก็คล้ายกับความตึงเครียดที่อยู่รอบตัวเราได้คลี่คลายไป

ฉันยิ้มและพูดว่า “เรามาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกันเถอะ”

“ถ้านายโกหกเพื่อบรรเทาความโกรธของฉัน ก็ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอกนะ”

“มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ชีอัน”

ฉันจริงใจมาก

เพราะเธอ ฉันจึงรู้สึกสดใสขึ้น เหมือนได้เห็นโลกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ฉันเริ่มรอวันที่ฉันจะได้พบเธอเช่นกัน

แม็กซ์และฟลินท์อาจรู้สึกไม่พอใจ แต่ฉันตัดสินใจแล้ว

“เรามาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกันเถอะ”

ด้วยคำพูดที่เรียบง่ายเหล่านั้น เธอเผยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า และน้ำตาก็ได้ไหลรินออกมาในดวงตาของเธอ

เธอจับฉันไว้แน่น เธอดูดีใจมาก

บางทีในเวลานั้น ฉันคงประเมินพลังของคำว่า 'เพื่อนที่ดีที่สุด' ต่ำไป

ตรงกันข้ามกับที่ฉันคิดไว้ว่าการเป็นเพื่อนซี้จะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เราดูจะยิ่งสนิทกันมากขึ้น

การเจอกันบ่อยครั้งเป็นข้อพิสูจน์เรื่องนั้นได้ดี

จากการเจอทุกสามวันเปลี่ยนเป็นทุกสองวัน จากนั้นเปลี่ยนเป็นทุกวัน

เรากินข้าวด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน อยู่ด้วยกัน เล่นแกล้งกันมากมาย

แม็กซ์และฟลินท์ดูจะไม่พอใจต่อพฤติกรรมของฉัน แต่ฉันไม่สนใจ

ฉันมีเพียงความคิดที่จะจัดลำดับความสำคัญของเพื่อนสนิทของฉันในใจ ฉันแค่อยากเจอชีอันเท่านั้น

เมื่ออยู่กับเธอ ฉันสามารถหลีกหนีบรรยากาศอันมืดมนของสลัมได้

แค่เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของชีอัน มันก็ทำให้ความกังวลทั้งหมดหายไป

และแล้วอีกหนึ่งปีก็ผ่านไป

เราเป็นเพื่อนกันมาสองปีแล้ว…

และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเป็นเวลาหนึ่งปี

ในปีที่ชีอันอายุ 11 ปี ส่วนฉันอายุ 13 ปี...

พ่อแม่ของชีอันเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ

เธอเองก็กลายเป็นเด็กกำพร้าเหมือนฉันเช่นกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด