ตอนที่แล้วตอนที่ 11 คนโกหกต้องกลืนเข็มพันเล่ม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 13 วิกฤตสำนักชิงหยุนเต๋า!

ตอนที่ 12 อัจฉริยะได้กำเนิด ณ สำนักชิงหยุนเต๋าแล้ว!


ในห้องโถงหลักของสำนักชิงหยุนเต๋า

“เจ้าสำนัก ข้าไม่ได้โกหกท่านจริงๆ น้องชายคนเล็กของเรามีความสามารถที่น่าทึ่งในเต๋ากระบี่ขอรับ”

ซูชางหยูรีบอธิบายให้นักพรตไต้ หัวทราบด้วยความตื่นตระหนก.

“พรสวรรค์อันเหลือเชื่อในเต๋ากระบี่? ยังไงรึ?”

นักพรตไต้ หัวยังคงไม่เชื่อเขา.

'ศิษย์ที่ไหนไม่รู้ที่ข้าพบข้างนอกเป็นอัจฉริยะจริงๆเหรอ?'

โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นต่ำยิ่งกว่าทองคำตกลงมาจากท้องฟ้าอีก.

“เจ้าสำนัก ท่านรู้ใช่ไหมว่าข้ากำลังฝึกวิชาสี่กระบี่อัสนี?”

ซู ชางหยู ถามอย่างจริงจัง.

“ข้ารู้ ข้าเป็นคนซื้อคัมภีร์กระบี่ให้เจ้าเองกับมือ ข้าใช้เงินไปมากกว่า 200 ตำลึงทองกับมัน ข้าตั้งใจให้เจ้าฝึกฝนอย่างหนัก พัฒนา และส่งเสริมสำนัก แต่…”

นักพรตไต้ หัวตัดสินใจหยุดพูด เพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายจิตใจของ ซู ชางหยู

ซู ชางหยู รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยให้มันรบกวนเขา.

เขากล่าวต่อว่า “เจ้าสำนัก ท่านเองก็ทราบดีเกี่ยวกับวิชาสี่กระบี่อัสนี เมื่อวาน ข้าทำรอยกระบี่บนพื้นให้น้องชายแบบมั่วๆ และบอกให้เขาเข้าใจมันตามที่เขาทำได้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาไปถึงขั้นใด?”

ซู ชางหยู ถามเบา ๆ และเก็บอาการไว้.

“เขาสามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้ด้วยเหรอ?” นักพรตไต้ หัวตกตะลึงเล็กน้อยและเขาคิดว่า 'ถ้าใครสามารถตื่นรู้ในขณะที่พยายามเข้าใจรอยกระบี่มั่วๆที่สร้างโดย ซู ชางหยูได้ เขาจะต้องเป็นอัจฉริยะไม่ผิดแน่'

“ขั้นเริ่มต้นรึ?”

นักพรตไต้ หัวเดาอย่างกล้าหาญ.

“เจ้าสำนัก ลองเดาให้มันยิ่งใหญ่กว่านั้นสิขอรับ”

ซู ชางหยู ส่ายหัว.

“ขั้นยอดเยี่ยมรึ?”

ดวงตาของ นักพรตไต้ หัวเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ

“ยิ่งกว่านั้นขอรับ”

ซูชางหยูกล่าวต่อไป.

“ให้ตายเถอะ ชางหยู เจ้าอยากจะกลืนเข็มไหม?”

นักพรตไต้ หัวไม่พยายามคาดเดาอีกต่อไป.

'ขั้นชำนาญงั้นรึ?'

'นั่นเป็นไปไม่ได้'

เขาเคยโชคดีพอที่จะได้เรียนรู้วิชาสี่กระบี่อัสนีแต่เขาไม่ประสบความสำเร็จเลย ในความเห็นของเขา แม้แต่ขั้นเริ่มต้นในวิชาสี่กระบี่อัสนีก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว ถ้าเข้าใจได้มากกว่านั้นก็เป็นยอดคนแล้ว.

'ยิ่งไปกว่านั้น เด็กนั่นไปถึงขั้นชำนาญได้ภายในวันเดียวเองเหรอ?'

'นั่นมันมากกว่าอัจฉริยะแล้ว เขาอาจจะเป็นการกลับชาติมาเกิดของเซียนกระบี่ก็ได้’

“เจ้าสำนัก ท่านอาจไม่เชื่อข้าจริงๆ และแม้ว่าข้าคิดว่าข้ากำลังฝันอยู่ แต่น้องเล็กของเราก็สามารถไปถึงขั้นชำนาญด้วยการทำความเข้าใจในวิชาสี่กระบี่อัสนีเพียงชั่วข้ามคืน เขายังสามารถเข้าใจพลังของกระบี่ได้อีกด้วย!”

ซู ชางหยู หมดคำพูดหลังจากพูดแบบนั้น.

'ขั้นชำนาญของวิชาสี่กระบี่อัสนี'

'เขาเข้าใจพลังของกระบี่ด้วยงั้นเหรอ?'

นักพรตไต้ หัวตกตะลึง.

เขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าคนแบบไหนที่จะเข้าถึงขั้นชำนาญในวิชาสี่กระบี่อัสนีได้ในชั่วข้ามคืน.

นักพรตไต้ หัวเงียบลง

ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เรามีอัจฉริยะ เรามีอัจฉริยะ ในที่สุดก็มีอัจฉริยะในสำนักชิงหยุนเต๋าแล้ว”

นักพรตไต้ หัวกำหมัดของเขาด้วยความปั่นป่วน เขาตื่นเต้นมาก.

ซู ชางหยู ตกตะลึงโดยไม่เคลื่อนไหวอยู่ข้างๆ

'นั่นหมายความว่าอะไร?'

“เจ้าสำนัก ท่านหมายถึงอะไร?”

ซู ชางหยู สับสนเล็กน้อย.

“ข้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าไม่ดีใจหรือที่ในที่สุดก็มีอัจฉริยะในสำนักชิงหยุนเต๋าแล้ว ทำไมเจ้าถึงทำหน้าบูดล่ะ.”

นักพรตไต้ หัวยิ้มกว้างจากหูถึงหู.

“ไม่ใช่ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก น้องเล็กของเราอาจเป็นอัจฉริยะ แต่ปัญหาคือ หากเราเก็บเขาไว้ในสำนักของเรา ก็เท่ากับว่าเราขัดขวางไม่ให้เขาก้าวหน้ามิใช่หรือ? มโนธรรมของข้ากำลังขัดขวางข้าอยู่”

ซูชางหยูเปล่งเสียงความคิดที่เขาหมายความจากก้นบึ้งของหัวใจ.

ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าเย่ปิงเป็นอัจฉริยะ แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว มโนธรรมของเขากำลังกัดกินเขา.

ทว่าทันทีที่เขาพูดจบเสียงของนักพรตไต้ หัวก็ดังขึ้น

“ชางหยู เจ้ากำลังคิดมากเกินไป น้องเล็กของเจ้าได้เข้าร่วม งานรวมตัวมหาเซียน 50 ครั้ง แต่ไม่มีสำนักใดต้องการเขาเลย นอกจากนี้ ข้าพบเขาในฝูงผู้คนอันกว้างใหญ่ และการพาเขาเข้ามาก็ถือเป็นความกรุณาสำหรับเขาแล้ว. อีกอย่างนี่ก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับสำนักชิงหยุนเต๋าเช่นกัน จะมีปัญหาอะไรอีกล่ะ?”

นักพรตไต้ หัวกล่าวอย่างจริงจัง.

หลังจากพูดอย่างนั้น ซูชางหยูก็คิดดูและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ก่อนหน้านี้ เราไม่รู้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะ แต่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว”

ซูชางหยูกล่าว

นักพรตไต้ หัวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มันแตกต่างกันอย่างไร? เจ้าหมายความว่าเราควรบอกน้องเล็กของเจ้าว่าเขาควรรีบไปสำนักอื่นเพราะเขาเป็นอัจฉริยะเหรอ? ชางหยู ให้ข้าถามเจ้าว่าเขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเขาเป็นอัจฉริยะเมื่อเขาไปสำนักอื่น?”

“โดยการร่ายวิชาสี่กระบี่อัสนีไปตรงๆเหรอ? แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการทำเช่นนั้น มีสำนักใดใน ชิงโจว ที่คู่ควรกับเขาหรือไม่”

“แม้ว่าสำนักสี่กระบี่อัสนีจะรับเขาเข้าไป. เขาจะเจอปัญหาแบบไหนหลังจากได้เข้าสำนักล่ะ? เขามีความสามารถมาก อัจฉริยะคนอื่น ๆ ของสำนัก สี่กระบี่อัสนีจะไม่เขม่นหลังจากเห็นสิ่งนั้นเหรอ?”

“นอกจากนี้ โชคชะตายังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ฝึกตนในรุ่นของเรา ในเมื่อเขาถูกปฏิเสธจากหลายสำนัก ก็นับว่าเป็นโชคชะตาที่เขาได้รับเลือกจากสำนักชิงหยุนเต๋า”

“ที่เจ้ารู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะสำนักของเราขาดแคลนทรัพยากร เจ้าเลยคิดว่าเรากำลังขัดขวางการฝึกตนของเขาหรือ? เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าเขาจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการหรือเปล่า หากเขาไปที่สำนักอื่น”

“อีกอย่าง พวกสำนักใหญ่ๆยังชอบวางแผนต่อต้านกัน และพวกเขายังใช้การลอบสังหารเพื่อหยุดยั้งการก้าวหน้าซึ่งกันและกันอีกด้วย ชางหยู เจ้าอย่ามองโลกตื้นเกินไปสิ.”

นักพรตไต้ หัวสมควรแล้วที่ได้เป็นเจ้าสำนักจริงๆ มีชีวิตอยู่มาเกือบ 60 ปีแล้ว ทุกสิ่งที่เขาพูดก็สมเหตุสมผลทั้งหมด.

ซูชางหยูตระหนักรู้อย่างกะทันหัน

หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

'เขาเป็นอัจฉริยะแล้วอย่างไรล่ะ?'

'ไม่มีใครกล้ารับเขาเพราะไม่มีใครทราบที่มาของเขา'

'ต่อให้พวกนั้นรู้ น้องเล็กก็จะไม่ใช่อัจฉริยะเพียงคนเดียวในสำนัก'

'นอกจากนี้ สำนักเหล่านั้นเริ่มต้นจากสำนักเล็ก ๆ และพวกเขาก็ปีนขึ้นไปเพื่อไปถึงจุดที่พวกเขากำลังอยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาสร้างอัจฉริยะขึ้นมาคนแล้วคนเหล่าด้วยความพยายามและการตั้งใจ'

'อัจฉริยะของพวกเขาไม่ได้ปรากฏออกมาจากอากาศเสียหน่อย.'

ชั่วครู่หนึ่ง ซู ชางหยูรู้สึกว่าเขาคิดตื้นเกินไปนิดหน่อยจริงๆ

“ชางหยู ตราบใดที่เราทำสิ่งเหล่านี้ถูกต้อง เราก็จะมีมโนธรรมที่ชัดเจน”

“เราจะสอนเขาเกี่ยวกับการฝึกเซียนอย่างแท้จริงและมอบทรัพยากรทั้งหมดของสำนักให้เขา มโนธรรมของเราก็จะแจ่มใส”

“แน่นอนว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ เราต้องทำตัวเหมือนยอดฝีมือต่อไปและเก็บเขาไว้ในสำนัก. ข้าไม่ใช่คนโลภ เราจะบอกความจริงแก่เขาเมื่อสำนักของเราก้าวไปสู่สำนักขั้นสามได้แล้ว จากนั้นเขาก็สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าจะออกไปหรืออยู่ต่อ เจ้าว่าดีไหม?”

นักพรตไต้ หัวกล่าวต่อ.

ซู ชางหยู พยักหน้าทันที

“เจ้าสำนัก ท่านพูดถูก”

“เป็นเรื่องดีที่เจ้าเข้าใจ ฉางหยูตามข้าลงภูเขาไปในอีกสองวันข้างหน้านะ เนื่องจากน้องชายของเจ้าเป็นอัจฉริยะ ข้าจะซื้อคัมภีร์กระบี่สองเล่มเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ดีๆ แม้ว่าเราจะต้องล้มละลาย เราก็ไม่ควรที่จะให้เขาอดๆอยากๆ.”

“กลับไปพักผ่อนเสียเถอะ จำไว้ว่าอย่าบอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากมีผู้รู้เรื่องนี้มากขึ้น ก็มีโอกาสสูงที่เรื่องจะถูกเปิดเผย. มั่นคงเข้าไว้. ชางหยู เจ้าก็แค่คิดว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือจริงๆ อย่าปล่อยให้ปลาหลุดมือเด็ดขาด.”

นักพรตไต้ หัวสั่งออกไป.

จากนั้นซูชางหยู่ก็ออกจากห้องโถงไป.

หลังจากที่ซูชางหยูจากไป นักพรตไต้ หัวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอีกครั้ง แต่เขาปิดปากและไม่กล้าที่จะเสียงดังเกินไป

ส่วนเรื่องความผิดล่ะ?

พูดตรงๆ มีอะไรให้รู้สึกผิดบ้างไหม?

ในโลกมนุษย์ หากใครซื้อของเก่าอันมีค่าในราคาหนึ่งพันตำลึง จะมีสักกี่คนที่ยินดีคืนของชิ้นนั้นให้กับผู้ขาย?

นอกจากนี้ยังมีผู้มีพรสวรรค์อยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรู้ตัวได้.

สำนักหลายร้อยสำนัก ไม่มีแห่งใดเลยเลือก เย่ ปิงตอน งานรวมตัวมหาเซียน. เหตุใดสำนักชิงหยุนเต๋าจึงไม่สมควรได้รับอัจฉริยะล่ะ?

ทว่าผู้ที่ไม่เคยประสบกับความยากลำบากใดๆ มักจะชอบชักชวนผู้อื่นให้มีเมตตา.

'ชางหยูต้องฝึกฝนให้หนักกว่านี้ในอนาคต'

ในไม่ช้า ก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นเป็นครั้งคราวในห้องโถงใหญ่ ซึ่งทำให้ลูกศิษย์หลายคนสับสน.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด