ตอนที่แล้วบทที่ 425: สถานที่ที่ไม่ซ้ำใคร ความสนใจจากหลายฝ่าย!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 427: คลื่นใต้น้ำภายใต้ความเจริญรุ่งเรือง!

บทที่ 426: สลับฉากเข้ามาในเมือง!


เมื่อเห็นสภาพน่าสมเพชของเผ่าบินได้แล้วทุกคนก็พอจะเดาได้แหละว่าไอ้พวกนี้ต้องไปอ้อนแข้งเมืองเชิ่งหลงเข้าชัวร์เลย

ซึ่งผลลัพธ์ก็คงจะโดนลำแข้งหวดเอาจนมีสภาพแบบนี้นั่นเอง

แต่ว่าสเกลการมีเรื่องน่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่อย่างนั้นพวกบินได้นี่คงจะไม่มาเข้าแถวกันอย่างเชื่อฟังแบบนี้แน่ ๆ อาจจะกลายเป็นศพกอง ๆ อยู่แถว ๆ กองหิมะไปแล้ว

ทุกคนทราบเรื่องแล้วต่างก็เข้าแถวและเข้าเมืองกันไปทีละกลุ่มสองกลุ่ม

จริงๆแล้วการตรวจที่ประตูเมืองไม่ได้เข้มงวดอะไรเลย ทำไปพอเป็นพิธีเท่านั้นทำให้ความเร็วในการผ่านประตูเมืองไหลลื่นรวดเร็วมาก

ซึ่งพอถาม ๆ คนแถว ๆ นั้นดูก็ทราบเรื่องซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่เดา ๆ กันมากนัก

หลังจากที่ไอ้พวกบินได้พากันบินมาถึงประตูเมืองก็โดนปืนกลสอยเอาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งห้ามบินของเมืองเชิ่งหลงทำให้มีหลายคนโดนกระสุนเฉียวไปหลายนัด

พอถูกยิงก็แตกฮือและมีพวกที่อยากจะสู้กลับ ทว่าก่อนที่จะทันได้ทำอะไรกลับถูกคนที่เป็นหัวหน้าห้ามไว้ซะก่อน

ในฐานะที่เป็นผู้มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในกลุ่มจึงมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมกว่าพวกลูกน้องที่เหลือแบบคนละเรื่อง ดังนั้นจึงสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงที่เล็งใส่พวกตนอยู่แต่ไกล

เหมือนกำลังเตือนว่าอย่าทำอะไรโง่ ๆ เชียว ไม่งั้นเอ็งได้ร้องไห้หาแม่แน่นอนอะไรประมาณนั้น!

‘อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็นดีกว่า’ หัวหน้าเผ่าบินได้ดังกล่าวรู้ดังนั้นจึงได้หยุดลูกน้องและตัดสินใจลงจอดและให้ความร่วมมือด้านการตรวจสอบอย่างเชื่อฟัง

ซึ่งทางด้านทหารเชิ่งหลงเห็นท่าทีแบบนั้นก็ไม่ได้หาเรื่องอะไรต่อและปล่อยให้อีกฝ่ายจ่ายลูกปัดสมองเป็นค่าผ่านทางแล้วให้ผ่านไปตามปกติ

ตั้งแต่ต้นจนจบฝ่ายทหารไม่ได้ใส่ใจเรื่องระดับการฝึกฝนอะไรเลยซักนิด ต่อให้เผ่าบินได้นี่จะมีนักรบระดับลอร์ดมากันถึงห้าหกคนอยู่ในกลุ่มก็ตาม

เพราะในช่วงสั้น ๆ นี้ได้มีนักรบและผู้พเนจรมายังเมืองเชิ่งหลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนักรบระดับลอร์ดได้กลายเป็นของธรรมดาและทหารเหล่านี้ต่างคุ้นชินกันหมดแล้ว

หลังจากที่ทุกคนได้รับการตรวจสอบแล้วก็ได้เดินผ่านประตูเมืองซึ่งลึกถึง 100 เมตรเข้าไปในพื้นที่เมืองเชิ่งหลง

และทันทีที่เข้าไปก็เจอกับไอร้อนปะทะเข้าหน้าเต็ม ๆ ซึ่งมันร้อนระอุปานอยู่ในหน้าร้อนเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ข้างนอกมีแต่หิมะทับถมจนมองดาวบนฟ้าไม่เห็น หญ้าเขียว ๆ ซักต้นก็ไม่มีแถมยังหนาวเย็นไปยันกระดูกอีกแท้ ๆ

แต่ในกำแพงนอกเมืองกลับมีทะเลทรายสีแดงเพลิงอันกว้างใหญ่ไพศาลล้อมรอบหุบเขาอยู่อย่างแน่นหนา

เอาแค่ฉากนี้ก็ทำให้ทุกคนต้องอึ้งเก็มกี่กันหมดแล้ว

เพราะทุกคนล้วนเหยียบย่ำมาตามทุ่งหิมะ ทนต่อความเหน็บหนาวและสีขาวอันจำเจจนเอียนแทบอ้วกมาตลอดทาง แต่ตอนนี้จู่ ๆ กลับมาเจอกับสภาพอากาศที่อบอุ่นจึงทำให้ความหนาวคลายลงและสบายตัวในทันที

พวกคนแคระที่ทนไม่ไหวแล้วก็ได้ถอดถอดแจ็กเก็ตหนังตัวนอกออกอย่างไวเผยให้เห็นร่างกายซึ่งสวมเกราะเชนเมลล์ข้างใต้

คนแคระเหล่านี้โดยธรรมชาติจะไม่ชอบความหนาวแต่ชอบความร้อนสูงมากกว่า ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้มันจึงเป็นการเดินทางที่ทรมานกันชัด ๆ

ทำให้สภาพแวดล้อมแบบนี้คนที่มีความสุขที่สุดในทั้งหมดก็คือเจ้าพวกถังเหล้าเดินได้หนวดเครารุงรังเหล่านี้นี่เอง!

ในทางกลับกัน พวกผู้หญิงชุดขาวเผ่าสโนว์เอลฟ์เจอความร้อนเข้าก็ดูจะไม่สบายตัวที่สุด แต่ละนางก็มักจะทำคิ้วกระตุกอยู่ตลอด

คนแคระมองดูทะเลทรายโลหิตที่ร้อนระอุด้วยแววตาประหลาดใจ หลังจากที่จ้องมองอยู่นานก็มีคนหนึ่งกระโจนลงไปโดยไม่สนใจความร้อนที่สามารถปิ้งไข่ให้สุกได้นั่นเลยแม้แต่น้อย

เจ้าตัวสับขวานศึกในมือลงดินแล้วครูด ๆ เหมือนจะขุดหาอะไรซักอย่างในทราย ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้ต้องหยุดดู

คนแคระนั่นขุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หยุดไป จากนั้นก็ได้หยิบเอาผลึกสีแดงเลือดขนาดเท่าไข่นกกระทาขึ้นมาจากทรายอย่างระมัดระวัง

และเมื่อจ้องมองผลึกดังกล่าวแล้วใบหน้าของคนแคระคนนั้นก็แสดงความดีใจออกมาอย่างไม่ปกปิดอ้าปากหัวเราะร่า

หัวหน้าคนแคระเห็นคนแคระคนดังกล่าวเจอผลึกโลหิตก็ตกใจในตอนแรก แต่แล้วก็กลับมาตั้งสติได้แล้วยิ้มด้วยแววตาลุกวาว

“ดวงดีจริงเตาไฟ เจอผลึกโลหิตก้อนใหญ่ซะขนาดนี้เลย!

ถ้าเอาผสมกับขวานโทมาฮอว์กที่ที่นายกำลังตีอยู่ล่ะก็ความคมของมันต้องพุ่งขึ้นอีกระดับชัวร์!”

หัวหน้าคนแคระนั้นเก่งเรื่องการตีเหล็กและมีความรู้กว้างขวาง ดังนั้นจึงสามารถระบุตัวตนของผลึกโลหิตได้ในทันทีที่เห็น

ผลึกโลหิตเป็นหนึ่งในวัสดุสำหรับใช้สร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ แต่ละก้อนจะมีขนาดเล็กนิดเดียวเสมอซึ่งทั่วไปแล้วจะเล็กเท่าเมล็ดข้าวเท่านั้น

ดังนั้นผลึกโลหิตที่มีขนาดเท่าไข่นกกระทาจึงถือว่าใหญ่มาก ๆ และแน่นอนว่าหายากมากด้วย ราคาอย่างน้อยต้อง 1 หมื่นเม็ดล่ะนะ

ทุกคนที่ได้ยินก็ตาเป็นประกายและถอนหายใจให้กับคนแคระที่ชื่อเตาไฟนั่นที่โชคดี ในใจก็คิดว่าจะกระโดดลงไปขุดทรายดูบ้างเผื่อจะโชคดีเหมือนกัน

คนแคระที่ชื่อเตาไฟนั่นก็มีความสุขไม่หาย หลังจากที่ชื่นชมอยู่พักหนึ่งแล้วก็เตรียมจะเก็บผลึกโลหิตใส่กระเป๋าและขุดต่อ

แต่แล้วจู่ ๆ กลับมีน้ำเสียงเย็นชาดังเข้าหู

“ส่งผลึกโลหิตนั่นมาแล้วออกไปจากตรงนั้นซะ!”

เหล่าคนดูได้ยินก็หันไปหาต้นเสียงทันที พบว่าตรงจุดหนึ่งได้มีนักสู้ของเมืองเชิ่งหลงเป็นสิบมาล้อมพวกตนไว้แล้ว

เพียงแต่ว่าเครื่องแต่งกายของคนพวกนี้ไม่เหมือนกับทหารที่หน้าประตูเมืองแต่สวมเกราะสีดำหน้าตาแปลก ๆ มีหมวกแปลก ๆ สวมอยู่บนหัวและแว่นกันลมแปลก ๆ สวมอยู่ที่ตา

โดยชุดเกราะนี้มีสิ่งของมากมายแขวนอยู่ ทั้งมีดสั้น ปืนพก และระเบิดมือ

ที่แขนซ้ายมีตราสัญลักษณ์ของเมืองเชิ่งหลงที่ทำอย่างประณีตติดอยู่ดูเปล่งประกายเจิดจ้า

ในมือนั้นแน่นอนว่าต้องถือปืนที่ดูจะหนักมาก ๆ เนื่องจากลำกล้องทั้งหนาทั้งใหญ่ เห็นได้ชัดเลยว่าไอ้นี่ของแรงถึงตาย

ในเวลานี้นักรบเหล่านี้จ้องมองที่คนแคระที่ขุดผลึกโลหิตเขม็ง มือกระชับปืนแน่นเผื่อไว้ว่าอาจจะมีกรณีฉุกเฉินให้ต้องยิง

เมื่อคนแคระที่ขุดผลึกโลหิตได้ยินแบบนั้นก็กระโดดออกจากหลุมทรายแล้วชะเง้อคอตะคอกใส่ทันที “แล้วมึงเป็นใครวะ ทำไมกูต้องเอาของที่กูหาเจอให้มึงด้วย จะพูดจะจาอะไรให้มันมีเหตุผลหน่อย!”

หัวหน้าคนแคระเองก็มีสีหน้ามืดหม่นเช่นกันและพูดกับอีกฝ่ายอย่างเย็นชาว่า “เมืองเชิ่งหลงนี่อำนาจเยอะเนอะ เยอะขนาดเอามาใช้รังแกคนอื่นได้เนี่ย”

ทันที่ที่พูดจนพวกคนแคระทั้งหลายก็ชักอาวุธออกมาด้วยความโกรธแค้นเตรียมไฝว้เต็มกำลัง

ในกลุ่มคนแคระนี้มีระดับลอร์ดอย่างน้อย ๆ ก็ 5 คน และส่วนที่เหลืออีกเพียบไม่เลเวล 4 ก็เลยเวล 5 กันทั้งนั้น ดังนั้นกองกำลังขนาดนี้ก็เป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งมาก

เผ่าคนแคระมักจะเป็นพวกที่หัวร้อนง่ายอยู่เสมอ และเมื่อคนเหล่านี้โกรธจนระเบิดล่ะก็รับรองว่าเละเทะ

พวกเผ่าบินได้ที่อยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้เข้าก็จ้องมองอย่างลุ้นให้เมืองเชิ่งหลงกับคนแคระปะทะกันเร็ว ๆ

เพราะตัวเองเคยโดนลูกปืนของเมืองเชิ่งหลงไล่ยิงหน้าประตูเมืองมาก่อนจึงได้นึกเคียดแค้นชิงชังเมืองเชิ่งหลงนั่นเอง

แต่นักสู้เชิ่งหลงที่เผชิญหน้ากับเหล่าคนแคระที่กำลังจะระเบิดนั้นกลับยิ้มเยาะมือจากที่จับปืน 2 ข้างก็ลดลงเหลือข้างเดียวแล้วชี้ยังยังจุดหนึ่ง

เมื่อทุกคนมองตามไปก็เจอแผ่นหินอันบักเอ้กตั้งเด่นหราสลักตัวอักษรไว้แน่นเอี้ยดไปหมด

ตอนที่เดินผ่านก่อนหน้านี้มัวแต่ถูกความร้อนของที่นี่ดึงดูดความสนใจทำให้ไม่ทันได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของแผ่นหินดังกล่าว

แล้วทุกคนก็มองนักสู้เชิ่งหลงเมื่อกี๊แล้วก็หันกลับไปอ่านเนื้อหาบนแผ่นหิน

ซึ่งบนแผ่นหินนั้นมีเขียนประโยคบอกไว้เป็นสิบข้อ และหนึ่งในนั้นก็คือห้ามหาผลึกโลหิตโดยพลการในทะเลทรายโลหิตแห่งนี้ หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง!

“ทะเลทรายโลหิตที่อุดมไปด้วยผลึกโลหิตแห่งนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเมืองเชิ่งหลง แผ่นหินที่เขียนว่าห้ามขุดก็ตั้งไว้ให้เห็นในที่ที่ง่ายต่อการเห็น แต่พวกนายก็ยังจะละเมิดข้อห้ามอีกนี่มันหมายความว่าไงกันล่ะหืม

ก็หมายความว่ากำลังขโมยของของคนอื่นใช่มั้ย ทีนี้ใครกันแน่ที่วางอำนาจ ใครกันแน่ที่ไร้เหตุผล?”

นักสู้เชิ่งหลงถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่า

“อะ... เอ่อ…”

หัวหน้าคนแคระเจอแบบนี้เข้าก็เขินเลยสิ จากนั้นก็หันหน้าไปหาไอ้คนที่ชื่อเตาไฟด้วยใบหน้าอับอายขายขี้หน้าอย่างแรง

เพราะอีกฝ่ายพูดถูก เป็นตัวเองที่ไม่ได้สนใจดูรอบข้างให้ดี ๆ เอง แต่ก็รู้ดีว่าเตาไฟต้องการผลึกโลหิตนั้นมากขนาดไหน

เจ้าตัวนั้นอยากจะสร้างขวานศึกให้กลายเป็นอาวุธเวทมนตร์ระดับกลางมาโดยตลอด แล้วตอนนี้ในมือก็ถือผลึกโลหิตเม็ดเป้งพร้อมที่จะตีขวานนั่นได้ตลอดเวลา

การจะให้เตาไฟมอบผลึกโลหิตนั่นออกไปเป็นอะไรที่ฆ่ากันให้ตายดีกว่า

“เอ่อไม่ทราบว่า… เรา... ขอซื้อผลึกโลหิตนี่ได้มั้ย...” หัวหน้าคนแคระที่อายจนอยากหารูมุดได้รวบรวมความกล้าถามออกไป

ทางฝั่งนักสู้เชิ่งหลงได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองสีหน้าไม่เต็มใจของเตาไฟ

“จะซื้อผลึกโลหิตนั่นงั้นเหรอ…”

เตาไฟได้ยินก็รีบเอาใส่กระเป๋าเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ

“อืม... ได้สิ!”

นักสู้เชิ่งหลงตอบเตาไฟยิ้ม ๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด