ตอนที่แล้วบทที่ 417: บินไปตามทาง ตีเมือง!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 419: ชี้ทาง รักนี้ยากจะบังคับ!

บทที่ 418: ปล้นฆ่าทำลายเมือง ริบศิลาเสาเอก!


เมื่อเปรียบเทียบกับสงครามที่เกิดหน้าเมืองเชิ่งหลงที่ผ่านมาแล้ว สเกลของการสู้รบในตอนนี้แค่กลาง ๆ เท่านั้น

หากผู้พเนจรพวกนี้ไปตีเมืองเชิ่งหลงล่ะก็ได้โดนฉีกเป็นชิ้น ๆ ด้วยห่าฝนลูกปืนใหญ่ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้กำแพงเมืองซะด้วยซ้ำ

ระดับมันคนละชั้นกันเกินไปจนเทียบกันไม่ได้!

ทว่าเมื่อเทียบกับการฆ่าด้วยอาวุธร้อนแล้วการต่อสู้ระยะประชิดด้วยหมัดเท้าเข่าศอกแบบนี้กลับเป็นอะไรที่นองเลือดและโหดร้ายยิ่งกว่ามาก

ดาบที่ตัดผ่านแม้กระทั่งกระดูก เลือดเนื้อที่สาดกระเซ็นไปทั่วจนย้อมทุกพื้นที่ให้เป็นสีแดงสด!

ลงดาบหนึ่งทีจะต้องตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมกับเลือดที่เจิ่งนอง

ขณะที่พยายามดิ้นรนเพื่อไขว่คว้าอะไรซักอย่างอยู่นั้น แววตาจะค่อย ๆ สิ้นประกายลงไปเรื่อย ๆ จนเปลี่ยนเป็นสีเทา

พวกผู้พเนจรก็จะพยายามปีนขึ้นไปตามกำแพงที่ล้อมรอบโหลวเฉิง เมื่อเข้าเมืองมาได้ก็จะบุกเข้าไปตามประตูหน้าต่างที่เห็นอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อจะเข้าไปในตัวอาคาร

แต่ก็มีผู้พเนจรอีกจำนวนมากที่ทำไม่สำเร็จต้องถูกสอยร่วงตกลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง คนที่โชคร้ายหน่อยก็ร่วงในท่าเอาหัวโหม่งพื้นและแน่นอนว่าสมองกระจาย

พวกที่โชคดีหน่อยก็ยังรอด แม้ปากจะกระอักเลือดออกมาแต่ก็ยังคงพยายามปีนป่ายเข้าไปในตัวอาคารต่อไป

นี่คือเป็นการต่อสู้ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่มีใครคิดถอย สิ่งที่อยู่ในใจมีเพียงอย่างเดียวคือต้องฆ่าศัตรูเท่านั้น

ในตำแหน่งทางยุทธวิธีอย่างพวกหน้าต่างนั้นแน่นอนว่าจะต้องมีคนคอยเฝ้าหรือไม่ก็ใช้ของมาตีปิดเพื่อไม่ให้มีใครใช้เป็นเส้นทางบุกเข้ามายังตัวอาคารได้

ทหารโหลวเฉิงจำนวนมากที่เฝ้าหน้าต่างยังคงยิงธนูใส่ศัตรูอย่างต่อเนื่อง บรรดาชาวเมืองก็มีการขว้างปาสิ่งของต่าง ๆ ใส่พวกผู้พเนจรหวังจะให้พวกมันหยุดบุกเข้ามาซักที

พวกผู้พเนจรที่บุกตีเมืองก็ใช้ธนูหรือหนังสติ๊กยิงสิ่งของต่าง ๆ ที่จุดไฟและติดไฟได้เข้าไปในเมืองไม่หยุดเช่นกัน

สถานการณ์ดำเนินต่อไป เปลวไฟและกลุ่มควันดำมีให้เห็นไปทั่วและมีแต่จะเพิ่มขึ้น ๆ

หลังจากที่เสียสละอะไรไปมากมายในที่สุดฝ่ายผู้พเนจรก็สามารถเจาะเข้าไปในตัวอาคารได้สำเร็จทำให้พวกที่เหลือต่างส่งเสียงเห่าหอนดีใจ

พวกนักรบป่าที่ปะปนอยู่เห็นแบบนั้นเข้าก็รีบก้าวอาด ๆ วิ่งขึ้นตึกสูงเป็นสิบเมตรได้ในไม่กี่ก้าวและบุกเข้าไปข้างในตัวอาคาร

เมื่อเข้าไปแล้วก็กวัดแกว่งดาบเข่นฆ่านักรบประจำโหลวเฉิงทั้งหมดที่เฝ้าหน้าต่างตรงนั้นอยู่เพื่อเปิดทางให้พรรคพวกคนอื่น ๆ บุกเข้าไปด้วยได้

แล้วพวกนักรบป่าก็บุกทะลวงเข่นฆ่าเข้าไปเรื่อย ๆ จนทางเดินภายในตัวโหลวเฉิงต้องเจิ่งนองไปด้วยเลือดคาว ๆ ในทันที

ผู้พเนจรที่บุกรุกเข้าไปได้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยได้บุกเข้าไปในห้องหับที่เป็นบ้านของพวกชาวเมืองด้วยดวงตาแดงฉาน ปล้นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร!

ฉากน่ารังเกียจมากมายปรากฏให้เห็นแล้วในบ้านของชาวเมืองเหล่านั้น

ถังเจิ้นเอาแต่นั่งมองภาพตรงหน้าโดยที่ไม่เคลื่อนไหวใด ๆ โดยคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องของตน

ถือแค่ว่าตนเองเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น

ที่คิดแบบนั้นไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่ไม่อาจหาเหตุผลที่สมควรแก่เหตุไปช่วยได้เลยจริง ๆ เพราะถ้าจะโทษว่าฝ่ายผู้พเนจรผิดมันก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะพวกนั้นเองก็มีพ่อแม่และลูกเมียที่ต้องเลี้ยงดูปากท้องเหมือนกัน และสาเหตุที่ต้องถึงขั้นเสี่ยงตายเอาชีวิตเข้าแลกมาโจมตีโหลวเฉิงก็เพราะอยากหาอาหารมาให้ครอบครัวไงล่ะ

ซึ่งถ้าถังเจิ้นไปล้างบางผู้พเนจรเหล่านั้นก็เท่ากับเป็นการฆ่าครอบครัวของคนเหล่านั้นทางอ้อมไปด้วยน่ะสิ

ไม่ว่าจะชาวเมืองโหลวเฉิงแห่งนี้หรือว่าผู้พเนจรที่มาบุกโหลวเฉิงแห่งนี้ก็ตามทั้งคู่ต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือน ๆ กันอีก อย่างน้อย ๆ ถ้าฝ่ายผู้พเนจรเป็นพวกต่างเผ่าเขายังพอจะมีเหตุให้ถล่มพวกมันได้บ้าง

แต่... เขาก็ใช่ว่าจะชอบมีเมตตาให้ไอ้พวกที่วิกลจริตฆ่าคนเล่นอย่างสนุกสนานหรอกนะเฮ่ย!

เขาดีดก้อนหินฆ่าไอ้พวกที่ดูโรคจิตที่ว่าแล้วลุกขึ้นยืน

“เราไปเอาศิลาเสาเอกแล้วเดินทางต่อกันเถอะ!”

ถังเจิ้นตบก้นเอเรียลแล้วพาเธอกระโดดลงไปที่พื้น ซึ่งทันทีที่ตกลงมาถึงพื้นก็เห็นมีไอ้ผู้พเนจรคนหนึ่งมันเดินควงดาบในสภาพท่อนล่างเปลือยเปล่าตั้งโด่ทั้ง ๆ ที่อากาศก็โคตรจะหนาวเหน็บวิ่งไล่หญิงสาวที่เสื้อผ้าหน้าผมยับเยินคนหนึ่งอยู่

เอเรียลที่เห็นแบบนี้เข้าก็คิ้วขมวด แล้วเธอก็ใด้ชักดาบตวัดฉับฆ่ามันทิ้งทันที!

ผู้หญิงที่ถูกวิ่งไล่นั้นสีหน้าบ่งบอกเลยว่าตื่นกลัวมาก ๆ แม้จะเห็นว่าทั้งคู่ช่วยชีวิตตนเอาไว้แต่ก็ยังกลัวและวิ่งหนีเข้าไปซุกอยู่ในมุมตึกแล้วนั่งคุดคู้กอดเข่าเอาหน้าซุกแล้วร้องให้สะอึกสะอื้น

ยิ่งเอเรียลเห็นแบบนั้นความโกรธของเธอก็ยิ่งแต่จะรุนแรงมากขึ้น เธอตวัดดาบตัดร่างไอ้คนหนึ่งที่กำลังนอนทับร่างผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังขยับเอวรัว ๆ อยู่

ด้วยรากฐานการฝึกฝนเลเวล 4 ทำให้ไม่มีศัตรูหน้าไหนเป็นคู่มือให้กับเธอได้เลย ไอ้พวกกักขฬละหน้าไหนก็ตามที่สายตาเหลือบไปเห็นจะถูกผ่าร่างขาดกระเด็นในดาบเดียวทั้งสิ้น

ไอ้พวกป่าเถื่อนทั้งหลายจึงสังเกตเห็นทั้งคู่กันอย่างเร็วและเข้ามาตีกรอบล้อม ‘ผู้บุกรุก’ ทั้งสองที่มาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงด้วยแววตาเกลียดชัง

ถังเจิ้นมองดูพวกมันด้วยสีหน้าที่เย็นชาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความสุขหรือความเศร้าสใด ๆ ปรากฏให้เห็น

“ไอ้พวกห่าไสหัวไปให้พ้น!”

ขณะที่ถังเจิ้นจะระเบิดร่างไอ้พวกที่ขวางทางอยู่ทิ้งให้หมดนั้นเองจู่ ๆ ก็มีเสียงตวาดดังขึ้นจากด้านหลังของพวกมัน

สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไปและเมื่อมองไปข้างหลังแล้วเห็นเจ้าของเสียงพวกมันก็รีบแหวกทางให้อย่างเร็ว

นักรบป่าสูงประมาณ 2 เมตรคนหนึ่งที่มีลูกน้องหลายคนเดินตามได้ตรงมายังถังเจิ้นด้วยท่าทางอาฆาต

ไอ้หมอนี่ดูแล้วน่าจะเป็นลูกผสมระหว่างมนุษย์กับเผ่าพันธุ์ไหนซักเผ่าแหละถึงได้มีรูปร่างใหญ่โตขนาดนี้ แต่เนื่องจากขาดสารอาหารทำให้สภาพเลยดูแปลก ๆ หัวโตที่เต็มไปด้วยเดือยกระดูกงอกทะลุหนังหัวออกมา เบ้าตาลึกโบ๋ ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าอดข้าวมานานชัวร์!

และพอดูจากท่าทีหวั่นเกรงของพวกคนอื่น ๆ รอบข้างแล้วเดาว่าไอ้หมอนี่คงจะเป็นหัวโจกผู้นำกลุ่มผู้พเนจรในการบุกตีเมืองนี้นั่นเอง

ถังเจิ้นเหลือบมองคราบเลือดกับบาดแผลของมันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่มองเฉย ๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์

ไม่ใช่แค่ถังเจิ้นที่ประเมินมัน มันเองก็ประเมินเขาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าอย่างมันน่ะหรือจะสามารถมองการฝึกฝนของถังเจิ้นออก จะมองออกก็แค่การฝึกฝนเลเวล 4 ของเอเรียลที่เธอเปิดเผยออกมาเองก็เท่านั้น ซึ่งก็ทำให้ไอ้พวกที่อยู่รอบ ๆ ข้างนี้ต้องเยี่ยวแทบเล็ดกันแล้ว

เป็นเพราะไม่มีโบนัสคุณสมบัติของโหลวเฉิงทำให้รากฐานการฝึกฝนของพวกนี้ไม่เลเวล 1 ก็เลเวล 2 เท่านั้น และเป็นเรื่องยากมากที่จะบรรลุระดับการฝึกฝนที่สูงขึ้นไปกว่านี้

บรรดานักรบป่าที่สามารถไปถึงเลเวล 3 หรือสูงกว่านั้นล้วนเป็นพวกที่มีความสามารถด้านการฝึกฝนโดดเด่นสูงกว่าคนอื่น หรือไม่ก็ได้ประสบพบเจอเข้ากับโอกาสอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็มีน้อยทั้งนั้นแหละ

ซึ่งไอ้ตัวโตตรงหน้านี่ก็เป็นเพียงนักรบเลเวล 3 เท่านั้น การเผชิญหน้ากับนักรบเลเวล 4 แม้จะทุ่มสุดตัวเอาชนะมาได้ก็เป็นชัยชนะท่ามกลางซากศพและความพิการทุพลภาพของฝ่ายตนเท่านั้น

แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้มันกลัวที่สุดก็คือถังเจิ้นผู้ไม่แสดงออกอาการใด ๆ เลยแถมยังไม่แสดงระดับการฝึกฝนให้เห็น และตัวเองก็มองไม่ออกนี่แหละ

เอาแค่มายืนเผชิญหน้ากันก็รู้สึกว่าในใจมันขวัญหนีดีฝ่อหงอเป็นลูกหมาเจอไม้หน้าสามแล้ว

ซึ่งสภาวะเช่นนี้จะเกิดก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ระดับสูงกว่ามาก ๆ มากจนเกินไป มากจนไม่อาจหยั่งถึงได้

เมื่อรู้แบบนั้นแล้วไอ้ตัวโตมันก็รีบสั่งให้ลูกน้องไสหัวไปให้พ้นทางแล้วแสดงความเคารพต่อถังเจิ้น

ถังเจิ้นเห็นแบบนั้นก็แค่เหลือบมองแล้วบอกไปว่า “ฉันจะเอาศิลาเสาเอกไป แกมีปัญหาอะไรมั้ย”

ไอ้ตัวโตก็หน้าหงิกแต่ก็รีบตอบว่า “พวกเราได้ศิลาเสาเอกไปก็ไม่มีประโยชน์ หากท่านต้องการก็เชิญรับไปได้เลย!”

ได้ยินคำตอบแล้วถังเจิ้นจากแค่เหลือบมองก็หันไปมองตรง ๆ ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มทำให้เจ้าตัวถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาเต็มหลังเหมือนถูกมอนสเตอร์ที่โคตรน่ากลัวจับจ้อง

“แน่ใจนะว่าไม่มีประโยชน์ ต่อให้ไม่มีปัญญาสร้างโหลวเฉิงของตัวเองก็จริงแต่ถ้าเอาไปขายก็ยังได้หลายเม็ดอยู่ ปากนั่นรู้สึกจะไม่ตรงกับใจเลยนะ

แต่สุดท้ายแล้วแกก็ไม่ใช่เจ้าของโหลวเฉิงนี่ ถ้าฉันยึดเอาศิลาเสาเอกไปแล้วแกไม่พอใจจะใช้กำลังแย่งไปก็ได้นา หืม?”

เจอพูดตอกหน้าแบบนี้เข้ามันก็หน้าซีดไปเลย

เห็นแบบนั้นถังเจิ้นก็เลิกพูดเรื่องไร้สาระแล้วพาเอเรียลเดินตรงเข้าไปยังแท่นวางศิลาเสาเอกของโหลวเฉิงแห่งนี้

ทางฝั่งไอ้ตัวโตที่เห็นพวกถังเจิ้นไปแล้วก็รีบสั่งให้ลูกน้องเลิกเข่นฆ่าข่มขืนเป็นคนบ้าได้แล้ว และรีบนำพาผู้ติดตามตามไป

ไม่นานถังเจิ้นก็มาถึงประตูบานหนึ่งซึ่งข้างในเป็นห้องศิลาเสาเอก

เข้าไปจะเจอแท่นวางที่แกะสลักด้วยหินสีน้ำตาลเข้มและเอื้อมมือออกไปหยิบเอาศิลาเสาเอกที่ลอยอยู่ลงมา

ก่อนที่เจ้าเมืองจะตัดสัมพันธ์กับศิลาเสาเอกหรือไม่ก็ก่อนที่โหลวเฉิงจะถูกทำลาย ศิลาเสาเอกจะไม่อาจถูกนำออกไปไหนได้ตามใจต้องการ

ต่อให้จะไขว่คว้ายังไงมันก็จะทะลุไปเหมือนกับไขว่คว้าภาพลวงตา แต่ว่าเจ้าเมืองของที่นี่ได้ตายไปแล้ว ดังนั้นศิลาเสาเอกของเมืองนี้จึงเปิดเผยร่างจริงออกมาให้ถังเจิ้นคว้ามาไว้ในมือได้โดยง่ายนั่นเอง

เก็บศิลาเสาเอกใส่ช่องเก็บของแล้วก็เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มโดยไม่ได้สนใจไอ้ตัวโตและพรรคพวกที่ยืนดูอยู่หน้าประตูเลยแม้แต่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด