ตอนที่แล้วตอนที่ 5 น้องสาวสับสน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 กระป๋องอาหาร

ตอนที่ 6 ตัวละครหลักมาถึง


ในห้อง เพ่ยเหลียนเสวี่ยนอนบนเตียง ส่วนเย่อันผิงนั่งสมาธิ หันหลังให้นาง

แผ่นหลังของพี่ชายนางไม่ได้กว้าง ยังไงซะเขาก็อายุแค่ 15 แต่มันยังมอบความรู้สึกปลอดภัยให้นาง นางกลัวเล็กน้อยตอนมาที่นี่ แต่หลังสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า นางก็รู้สึกว่าที่พี่ชายนางพูดเป็นความจริง

ขอแค่นางฟังเขา ผู้บ่มเพาะมาร ต่อให้จะถึงอาณาจักรแก่นวิญญาณ ก็ไม่มีอะไรนอกจากปลาบนเขียง

แม้เขาจะเข้มงวดกับนางมาก แต่นางก็รู้เสมอว่าเขาไม่เคยทำร้ายนาง ความจริงที่นางอยู่มาได้ตั้งแต่สามขวบจนถึงตอนนี้คือหลักฐาน

หลังจากนั้น พอเจอความง่วงจู่โจม นางก็หลับตาและพร้อมพัก

แต่ ทันทีที่นางหลับตา ชื่อ’ซีเยว่’ก็ผุดในหัวนาง

ซีเยว่เป็นใคร?!

นางอยู่ไหน?

อายุเท่าไร?

ระดับบ่มเพาะ?

นางสวยมากไหม?

จนถึงรุ่งสาง เพ่ยเหลียนเสวี่ยนอนไม่หลับเลย

ตอนไก่ขัน เย่อันผิงก็ลุก และกำลังจะปลุกเพ่ยเหลียนเสวี่ย แต่ตอนเขาไปข้างเตียง เขาก็เห็นว่าตานางแดงไปหมด เหมือนระฆังโตสองอัน

พอคิดว่านางยังกลัว เขาเลยพานางไปเดินเล่นผ่อนคลาย

เขาพานางไปร้านเสื้อผ้า ซื้ออัญมณี พานางไปตกปลาริมแม่น้ำ

เช่นเดียวกับวันต่อๆมา

นอกจากไปป่าด้านหลังเมืองเพื่อเตรียมกับดักแล้ว ทั้งสองใช้เวลาส่วนใหญ่เร่ร่อนทั่วเมือง

สุดท้าย วันนั้นก็มาถึงตอนตัวละครหลักได้มาพบกับอู่โหยว(คาดไม่ถึง สงสัยจะเรียกว่าพระเอกไม่ได้แล้ว 5555)

ลบนถนนภูเขานอกเมือง หญิงสาวสวมหมอกไม้ไผ่นั่งบนหลังม้า ถือขลุ่ยไว้ในมือ

เสียงของขลุ่ยไพเราะและผ่อนคลายจนนกในต้นไม้ตกลงมาข้างนาง ช่วยนางร้องเพลง

ภายใต้หมวกไม้ไผ่ มีเส้นสายสีเงินพริ้วไหวในสายลม

ชื่อของนางคือเฟิงหยูเตี๋ย ตอนเกิดสงคราม พ่อแม่นางไม่มีทางเลือกนอกจากเอาเด็กทารกใส่ตะกร้าลอยตามแม่น้ำ จากนั้น ผู้บ่มเพาะหญิงชราก็เก็บนางมาชุบเลี้ยงเป็นลูกสาว

ครึ่งปีก่อน ชีวิตของผู้บ่มเพาะคนนั้นถึงจุดจบ ก่อนนางจากไป นางมอบจดหมายแนะนำให้ ขอให้นางไปสำนักดาวดำและฝึกฝนที่นั่นต่อ

หลังเล่นเพลง นางก็ขว้างใบไม้ในมือ และมองไปไกล

จากนั้นนางก็ถอนหายใจและถาม“นี่ เสี่ยวเทียน อีกนานแค่ไหนกว่าเราจะถึงสำนักดาวดำ?”

เวลานี้ ไม่มีใครใกล้นาง

แต่หลังนางถาม ร่างน้อยที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีทองก็พลันปรากฏจากหน้าผากนาง ร่างนี้เหมือนตุ๊กตาไร้ขา ดูน่ารักมาก

มันโบกมือน้อยๆ และแผ่นที่ก็ลอยด้านหน้าเฟิงหยูเตี๋ย

“ยังเร็วไป เราต้องเดินทางอีกประมาณพันลี้ ควรมีเมืองข้างหน้าให้เราพัก”

“ยังอีกตั้งพันลี้เชียว เราเดินทางมาเดือนหนึ่งแล้วใช่ไหม?”เฟิงหยูเตี๋ยถอนหายใจ“ข้าสงสัยว่าจะมีสาวๆสวยๆในสำนักดาวดำไหมนะ”

เสี่ยวเทียนเหลือบมองนางแบบพูดไม่ออก“หยูเตี๋ย เจ้าไม่คิดว่าจะมีศิษย์หนุ่มหล่อๆ แต่ดันคิดว่าจะมีศิษย์สาวสวยๆไหมเนี่ยนะ?”

เฟิงหยูเตี๋ยเถียง“อาจารย์บอกข้าตั้งแต่เด็กว่าข้าต้องระแวงผู้ชาย พวกเขาไม่มีใครดี”

“นางบอกให้เจ้าระแวงผู้ชาย แต่ไม่ได้บอกให้เจ้าหาผู้หญิงมาคบ”

“ก็ได้ ก้ได้ รีบไปให้ถึงเมืองกัน ข้าอยากกินไก่ย่าง”

“เจ้ามันน่าหมดหวังจริงๆ.

“ฮู้!’

เฟิงหยูเตี๋ยคว้าบังเหียน เตะท้องม้าเบาๆ และวิ่งไปทางเมืองเล็กด้านหน้า

หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เข้าประตูเมืองอู่ซี

มันเป็นช่วงเวลาอาหารเย็น เมืองเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของไก่และเป็ดย่าง แผงลอยข้างถนนเต็มไปด้วยคนที่กินบะหมี่และดื่มชา

เฟิงหยูเตี๋ยพาม้าขาวตัวน้อยของนางเดินไปทั่ว อยากซื้อทุกสิ่งเพื่อสนองความหิว แต่น่าเสียดาย นางจน เสี่ยวเทียนยังเตือนนางให้เก็บเงิน สุดท้าย นางเลยเจอโรงเตี๊ยมสุ่มๆและสั่งไก่ย่างตัวเดียว

นางนั่งที่โต๊ะเล็กตรงมุม รออาหารขณะสังเกตแขกที่มากินที่นี่ นางแปลกใจที่พบเห็นผู้บ่มเพาะมากมาย

“เสี่ยวเทียน มีผู้บ่มเพาะในเมืองนี้เยอะจัง”

“ไม่น่าแปลก สถานที่นี้ไม่ไกลจากสำนักร้อยดอกบัว ที่ไหนมีสำนัก ที่นั่นย่อมมีผู้บ่มเพาะ”

“สำนักร้อยดอกบัว?”เฟิงหยูเตี๋ยนึกและถาม“มันเป็นสำนักเล็กใช่ไหม?”

“ใช่ มันเป็นสำนักเล็กที่ก่อตั้งร้อยปีก่อน ชื่อของประมุขคือเย่อาว อยู่ที่ระดับแก่นวิญญาณ เขามีลูกชายที่มีพรสวรรค์ดีและรากปราณคู่ ไม่ดีเกินไปและไม่แย่”

เฟิงหยูเตี๋ยเอียงหัว“เสี่ยวเทียน เจ้ารู้ไปทุกเรื่องเลยนะ”

เสี่ยวเทียนกอดอก“แน่นอน ข้าคือภูตแห่งคัมภีร์เต๋าสวรรค์!ไม่มีอะไรในโลกที่ข้าไม่รู้”

“อา…”เฟิงหยูเตี๋ยมเม้มปากและยิ้ม ชี้เด็กสาวอีกโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลถาม“เสี่ยวเทียน สาวคนนั้นชื่ออะไร?”

“…”

เสี่ยวเทียนเลิกคิ้ว มองคนที่เฟิงหยูเตี๋ยชี้

โต๊ะนั้นมีผู้บ่มเพาะสองคน หนึ่งชายหนึ่งหญิง ทั้งสองดูไม่แก่มาก อายุแค่14-15

ชายหนุ่มอยู่ขั้นสามของหลอมลมปราณ แต่เด็กสาวบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้ว ทั้งคู่ต้องเป็นพี่น้องที่ออกเดินทางกัน

นั่นคือทั้งหมดที่นางบอกได้

เสี่ยวเทียนตอบเหยียดๆ“ข้าจะไปรู้ได้ไงว่าคนคนนั้นชื่ออะไร?”

เฟิงหยูเตี๋ยปิดปาก“เสี่ยวเทียน ไหนเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรในโลกที่เจ้าไม่รู้?”

“ใช่ ข้ารู้เรื่องใหญ่ทั้งหมดที่เกิดในอดีต แต่..”เสี่ยวเทียนบินรอบหัวเฟิงหยูเตี๋ย กอดอกและเถียง“ยังไงซะ สองคนนั้นแค่มันฝรั่งน้อย ทำไมข้าจะต้องไปรู้ชื่อพวกนั้นด้วย?!”

“ก็ได้ ก็ได้”เฟิงหยูเตี๋ยยักไหล่“แต่ ข้าคิดว่านางสวยมาก ข้าเลยจะไปถามชื่อนาง”

เฟิงหยูเตี๋ยลุก ขอบริกรให้ส่งไก่ย่างไปโต๊ะเด็กสาวและเดินไป

ตอนนางเข้าใกล้โต๊ะ นางก็ยิ้มและประสานมือ“สวัสดี สหาย ข้าขอนั่งด้วยได้ไหม?”

เด็กสาวมองพี่ชายนางและถาม“พี่?”

คนที่นางเรียกว่าพี่ชายเหลือบมองเฟิงหยูเตี๋ยและพยักหน้า“ได้สิ”

เฟิงหยูเตี๋ยยิ้มและนั่งลง”ข้าชื่อเฟิงหยูเตี๋ย เป็นผู้บ่มเพาะพเนจร พวกเจ้าสองคนชื่ออะไร?’

“เย่อันผิง ศิษย์สำนักร้อยดอกบัว”เย่อันผิงตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ชี้เพ่ยเหลียนเสวี่ย“นี่คือน้องสาวข้า เพ่ยเหลียนเสวี่ย”

แต่พอเขาพูด เสี่ยวเทียนที่ลอยข้างหัวเฟิงหยูเตี๋ยก็ขมวดคิ้วไป ชั่วขณะนั้น มันรู้สึกว่าชายที่ชื่อเย่อันผิงเหลือบมองมาทางมันเหมือนเห็นมัน

ตั้งแต่มันเกิด คนเดียวที่เห็นภูตเช่นมันได้คือพวกที่มีเต๋าสวรรค์

คนก่อนคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์

คนอื่นคือเฟิงหยูเตี๋ย

คิดไปเองเหรอ?

เสี่ยวเทียนเม้มปากและคิดสักพัก จากนั้นก็ลอยไปด้านหน้าเย่อันผิงและทำหน้าตลกใส่

เขาเมินข้า

ดูเหมือนจะคิดไปเองจริงๆ

เย่อันผิงไม่ตอบสนองต่อใบหน้าทะเล้นพวกนั้น เขาแค่หยิบตะเกียบขึ้นขณะกินอย่างเป็นธรรมชาติ เสี่ยวเทียนจึงถอนหายใจโล่งอก

เหนือสิ่งอื่นใด ผู้บ่มเพาะรากปราณคู่ธรรมดาจะสามารถเห็นภูตของคัมภีร์เต๋าสวรรค์ได้ไง

เป็นไปไม่ได้!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด