ตอนที่แล้วนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 437 - รายชื่อและค่าหัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 439 - ทำไมถึงได้ชอบหาที่ตายกันนักนะ?

นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 438 - รวมตัวก่อนเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์


เดวิดนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นผิวของดาบบินด้วยสติที่กระเจิดกระเจิงไปไม่น้อย เพราะไม่เพียงแค่เจ้าสำนักจะสสำแดงความใหญ่โตของอาวุธระดับตำนานออกมาเท่านั้น แต่เขายังใช้คลื่นสมองที่แข็งแกร่งของตัวเองยกลูกศิษย์เกือบ 400 คนให้ลอยขึ้นมานั่งอยู่บนนี้ภายในพริบตาด้วย มันทำให้เดวิดรับรู้ได้โดยทันที เจ้าสำนักซิกนิสคนนี้ อย่างน้อย ๆ ต้องบรรลุระดับผู้ก่อสวรรค์แล้วอย่างแน่นอน

ระดับของผู้ฝึกฝนคลื่นสมองแบ่งออกเป็น ผู้ก่อพลัง ผู้ก่อปฐพี และผู้ก่อสวรรค์ การจะบรรลุถึงระดับนี้ได้ ไม่เพียงแต่คลื่นสมองจะต้องเข้มข้นแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ต้องผสมกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้เป็นเนื้อเดียว ให้ธรรมชาติช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นอีกร้อยเท่าพันเท่า ถ้าจะเทียบกับการกลายเป็นเทพเจ้าก็ไม่แตกต่างกันมากนักเลย ถ้าบรรลุถึงระดับสูงสุดของผู้ก่อสวรรค์แล้ว พวกเขาแทบจะสามารถควบคุมธรรมชาติได้ด้วยซ้ำ

ถ้าจะเปรียบเทียบกับการฝึกฝนพลังพันธุกรรม ก็สามารถเทียบได้กับการยกระดับตัวเองจากจ้าวแห่งสัตว์ร้ายขึ้นไปสู่สภาวะร่างสมบูรณ์ เมื่อปรับเปลี่ยนสร้างแผนที่ทางพันธุกรรมออกมาได้จนสมบูรณ์แล้ว ผู้ฝึกตนจะสามารถระเบิดพลังเรียกภาพร่างของสัตว์ร้ายออกมาช่วยเหลือและเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ได้ และเมื่อฝึกฝนจนเชี่ยวชาญสมบูรณ์ ภาพร่างเหล่านั้นจะผสานเข้ากับผู้ฝึกฝน และเปลี่ยนแปลงตัวตนให้กลายเป็นจ้าวแห่งสัตว์ร้ายที่แท้จริงขึ้นมา ความแข็งแกร่งทรงพลังที่จะได้รับ ขึ้นอยู่กับว่าปรับเปลี่ยนสร้างแผนที่พันธุกรรมของตนให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งขึ้นแค่ไหน แน่นอน! ส่วนใหญ่แล้วจะมีพลังที่เหนือธรรมชาติไปแล้วเช่นกัน

ดาบบินสีทองเล่มนี้พาคณะของสำนักซิกนิสเดินทางไปด้วยความเร็วที่สูงมาก ผืนป่าและเทือกเขาใหญ่ลอดผ่านใต้ดาบบินไปผืนแล้วลูกเล่า แม้ว่าการเดินทางด้วยเรือเหาะดูปลอดภัยและไม่ต้องเผชิญกับสายลมที่รุนแรงอย่างนี้ แต่ถ้าถามเดวิดแล้ว เขาเลือกที่จะสามารถดูวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ มากกว่าที่จะทนอุดอู้อยู่ในห้องโดยสารอย่างแน่นอน

หลังจากที่ตื่นเต้นกับการเดินทางอยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เดวิดก็เลือกสถานที่ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิเพื่อฝึกฝนทักษะวาโยหมุนวนทันที ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะใช้เวลายาวนานไม่น้อย เขาตั้งใจจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่แน่นอน! เดวิดไม่คิดจะฝึกหนักจนเกินขีดจำกัดของตัวเองจนต้องนอนหลับพักผ่อนเพื่อพักฟื้นเลย เขาฝึกฝนเพียงแค่เกิดอาการปวดหน่วงในศีรษะขึ้นมาเท่านั้น และลืมตาออกมาชมวิวทิวทัศน์ระหว่างรอพักฟื้นอย่างชื่นบาน ส่วนเจ้าฟลินท์!? ส่วนใหญ่แล้วเจ้าตัวน้อยจะใช้เวลาไปกับการกินและนอนอยู่บนตักของเดวิดเสียเป็นส่วนใหญ่ เวลาที่เหลืออยู่เล็กน้อยจะหมดไปกับการกัดแทะเสื้อของเขาเล่น ดูเหมือนว่ามันจะรู้แล้วว่าไม่สามารถกัดทะลุผ่านผิวหนังเข้าไปได้ และเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเสื้อที่เขาสวมอยู่แทน ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา เสื้อตัวใหม่ของเดวิดขาดวิ่นจนแทบจะไม่เหลือสภาพเดิมเลยด้วยซ้ำ

การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาไปเกือบ 2 อาทิตย์ เรื่องนี้ทำให้เดวิดรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ทำไมโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่มโหราฬได้ถึงขนาดนี้ จากความเร็วที่เขาคาดการณ์ นี่น่าจะไม่ต่างจากการเดินทางรอบโลกใบเดิมของตัวเองไปแล้ว 3-4 รอบเลยด้วยซ้ำ และนี่ยังเป็นเขตปกครองเดียวอย่างนั้นหรือ? แล้วโลกใบนี้มันมีกี่ทวีป กี่เขตปกครองกันแน่? ในฐานะของเด็กที่โตมาในครอบครัวระดับธรรมดาในฐานที่มั่นคนหนึ่ง เดวิดไม่มีความรู้หรือความทรงจำเกี่ยวกับสภาพของโลกหรือดาวดวงนี้จริง ๆ เลยด้วยซ้ำ มันแทบจะไม่มีสอนอยู่ในโรงเรียนที่เขาเข้าเรียนในตอนที่เป็นมนุษย์ธรรมดาเลย บางที! สภาพการณ์ของโลกใบนี้อาจจะแตกต่างจากความรู้ดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้!!

เมื่อตอนที่ดาบบินสีทองลดระดับลงมาจากท้องฟ้า เดวิดก็เริ่มเห็นพื้นที่โล่งขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้าได้แต่ไกล มันเป็นเหมือนกับสวนดอกไม้ที่มีสีสันสวยงาม และดูเหมือนกับว่าจะมีผู้คนมาตั้งเต็นท์และที่อาคารที่พักอาศัยชั่วคราวอยู่กันจำนวนหนึ่ง และหลังจากที่ลงจากดาบบินได้ เหล่าศิษย์ของสำนักซิกนิสก็เริ่มลงมือจัดแจงสร้างหลังคาคุ้มหัวตัวเองทันทีเช่นกัน ยังเหลือเวลาอีก 2-3 วันกว่าจะถึงกำหนดการเปิดให้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

หลังจากเลือกสถานที่ตั้งเต็นท์ และจัดการทุกอย่างได้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่เขาจะทรุดตัวลงนั่งเพื่อทำสมาธิฝึกฝนต่อไป เดวิดก็ต้องขมวดคิ้วแน่นขึ้นอย่างฉับพลัน เพราะหูได้ยินเสียงเอ่ยชื่อของตัวเองดังแว่วมาอย่างแผ่วเบา เขาค่อย ๆ หันไปมองตามทิศทางที่เสียงนั้นลอยมาอย่างระมัดระวัง เดวิดไม่ได้มีเพื่อนหรือคนรู้จักมากนัก การที่มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยเอ่ยชื่อตัวเองออกมา มันน่าจะเป็นการประสงค์ร้ายมากกว่าการทักทายทำความรู้จักแน่นอน

สายตาของเดวิดตกกระทบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี เป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่มีสีหน้าเย็นชา สายตาที่จ้องเขม็งกลับมานั้นแวววาวเป็นประกายอย่างแปลกประหลาด และที่สำคัญ เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความกระหายเลือดและบ้าคลั่งถูกส่งมาจากชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน เดวิดหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นโบกทักทายอย่างร่าเริง แล้วหันกลับมาทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าเต็นท์ของตัวเองตามความตั้งใจเดิมทันที

จะเรียกว่าไม่ให้ความสนใจอย่างสิ้นเชิงก็คงไม่ได้ ในใจของเขามีความประหลาดใจสงสัยกับกลิ่นอายของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แม้ว่ากลิ่นคาวเลือดและความกระหายที่ส่งออกมาจะยังไม่เข้มข้นชั่วร้ายเท่ากับลิลิธ แต่มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนักเลย แถมมันไม่ได้ส่งมาจากเด็กหนุ่มคนนั้นเพียงคนเดียว กลิ่นอายคล้าย ๆ กันลอยคละคลุ้งอยู่ในแคมป์แห่งนั้นจนตลบอบอวลไปหมด เดวิดคิดว่าทักษะการฝึกฝนของสำนักแห่งนี้ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!

‘ซูหมิง’ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันทีที่เห็นสีหน้าและการโบกมือทักทายของเดวิด รอยยิ้มที่โหดเหี้ยมชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปาก แววตาเปลี่ยนเป็นกระหายเลือดมากขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนว่าเขาจะต้องควบคุมตัวเองอยู่สักพัก ถึงจะสามารถถอนสายตาออกไปจากเดวิดได้

ซูหมิงเป็นใคร? ทำไมถึงได้จับตามองมาที่เขา? เดวิดตอบได้แค่คำถามแรกเท่านั้น ในรายละเอียดข้อมูลของศิษย์ระดับสูงที่บันทึกเอาไว้ในตราประจำตัวผู้เข้าร่วมเทศกาล มันมีการระบุชื่อหน้าตาของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างชัดเจน ‘ซูหมิงผู้กระหายเลือด’ เป็นผู้ฝึกตนที่บ้าคลั่งโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ท้าประลองผู้แข็งแกร่งอย่างไม่เลือกหน้าและไม่รับคำปฏิเสธ และการต่อสู้ทั้งหมดต้องเป็นการต่อสู้ที่จบลงด้วยความตายของอีกฝ่ายเท่านั้น คำเตือนที่ระบุเอาไว้ตัวโต ๆ ในข้อมูลคือให้หลบเลี่ยงให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนว่าการที่ซูหมิงเข้าร่วมกับเทศกาลครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อหาสมบัติของมีค่าอะไรเลย แต่มาเพื่อต่อสู้และฆ่าสังหารสนองความสัญชาตญาณดิบของตัวเองเท่านั้น

เดวิดส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะปัดความคิดที่ไร้ประโยชน์ออกจากหัวไป จะเป็นผู้กระหายเลือดหรือผู้กระหายสุราน้ำส้มน้ำผลไม้อะไร ถ้าไม่มายุ่งกับเขา ก็ถือว่าอีกฝ่ายโชคดีไป เพราะเดวิดไม่คิดที่จะปล่อยคนที่มายุ่งวุ่นวายหรือขวางทางตัวเองรอดไปได้แน่ ๆ เมื่อเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาจำกัดเขาด้วยเช่นกัน

หลังจากรู้สึกได้ว่าเจ้าฟลินท์ตัวน้อยวิ่งเล่นไปรอบ ๆ อยู่ครู่เดียวก็กลับมาไล่กัดเสื้อคลุมของตัวเองเหมือนเดิม เดวิดก็ส่ายหัวพร้อมกับหยิบเนื้อก้อนใหญ่ออกมาวางเป็นอาหารเอาไว้ให้มัน ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะสัมผัสบรรยากาศที่ตึงเครียดและกลิ่นอายของผู้ที่แข็งแกร่งได้ตามสัญชาตญาณ มันดูสงบเสงี่ยมว่าง่ายและไม่ออกห่างไปจากรอบกายของเขามากนัก แน่นอน! อาการแยกเขี้ยวยิ่งฟันขู่เข็ญยังมีออกมาเป็นระยะ แต่เสียงคำรามนั้นเบาลงเป็นอย่างมาก อันที่จริง! มันเลือกที่จะมาซุกตัวอยู่ที่ตักของเดวิดในตอนนอนเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าจะไม่ชอบใจนัก แต่เจ้าฟลินท์น้อยก็รู้ดีว่าตรงนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว

เดวิดวนเวียนอยู่กับการฝึกฝน และหยอกล้อเล่นและให้อาหารเสือดำตัวน้อยอย่างสันโดษเป็นเวลาเกือบ 3 วัน ในที่สุดสถานการณ์ภายนอกก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ศิษย์ของสำนักต่าง ๆ พากันเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก หลายคนเริ่มเก็บสัมภาระของตัวเองเข้าแหวนเก็บของอย่างไม่รีรอ มันทำให้เขาขมวดคิ้ว แต่ก็เลือกที่จะทำตามอย่างไม่ลังเล

ดูเหมือนว่าจะมีคนรู้ข่าวหรือกำหนดการล่วงหน้าจริง ๆ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน คลื่นสมองที่รุนแรง 4 จุดก็พวยพุ่งออกมาพร้อม ๆ กัน ร่าง 4 ร่างลอยขึ้นไปกลางอากาศด้วยดาบบินของตัวเอง ก่อนจะไปลอยค้างเป็นรูปครึ่งวงกลมอยู่บนนั้น กลิ่นอายที่เข้มข้นแข็งแกร่งถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับว่าพวกเขากำลังสะสมพลัง และเมื่อวัดความแข็งแกร่งที่ปล่อยออกมาเทียบกับเจ้าสำนักซิกนิสที่ยืนรวมอยู่กับพวกเขาด้วย ทั้ง 4 คนน่าจะอยู่ในระดับผู้ก่อสวรรค์ทั้งหมดอย่างแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักแห่งอื่นเสียด้วยซ้ำเลย

ดูเหมือนว่าการลงมือในครั้งนี้จะมีการเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว คลื่นสมองของผู้ก่อสวรรค์ทั้ง 4 ผสานรวมเป็นหนึ่งในเวลาไม่นาน ก่อนที่มันพุ่งเข้าจู่โจมอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรุนแรง

ครืน!!!!! เปรี้ยง!!!!

เสียงท้องฟ้าคำรามและเสียงระเบิดที่ดังขึ้นราวกับสายฟ้าฟาดสนั่นลั่นขึ้นทั่วบริเวณ พลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นน่าจะเพียงพอสำหรับการฉีกอากาศเพื่อสร้างช่องว่างของมิติให้เกิดขึ้นได้จริง ๆ เลยด้วยซ้ำ

แคร๊ก!!!!

เสียงแตกหักดังกังวานตามออกมาในชั่วเวลาไม่นานนัก ผู้ก่อสวรรค์ทั้ง 4 หันมองและพยักหน้าให้กันอย่างพึงพอใจในผลงาน ช่องทางสำหรับผ่านเข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดขึ้นแล้ว....

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด