ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปCh2: ความสับสน 2

Ch1: ความสับสน 1


คำเตือนผู้แปล:

เนื่องจากผู้เขียนมักใช้มุมมองบุคคลที่ 1 และ 2 เป็นส่วนใหญ่โดยมีลักษณเหมือนคนเล่าเรื่องให้กันฟัง แต่เนื่องจากตัวละครทุกตัวใช้เหมือนกัน ผลที่ตามมาคืออ่านแล้วงง ไม่รู้ว่า ฉัน, คุณ (ในคำบรรยายที่ไม่ใช่ในบทพูด) ในที่นี้หมายถึงตัวละครไหน หลังจากงมจนพอเข้าใจ ผมจึงตัดสินใจใช้สิทธิในฐานะนักแปล แก้ให้เป็นมุมมองบุคคลที่ 3 ทั้งหมด และใช้ภาษาบ้านๆ เหมือนคนคุยกัน เพื่อให้คงไว้ซึ่งเจตนาของผู้เขียน

และเนื่องจาก พระเอกเรื่องนี้มีด้านที่เลวร้ายมากๆ  บางตอนแย่ยิ่งกว่าตัวร้ายอีก (ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่รู้สึกรังเกียจพระเอกมาก) ดังนั้นถ้าใครรู้สึกว่าไม่ใช่แนวไม่ต้องเสียดายครับ ข้ามเลย

สุดท้ายถ้าแปลแล้วความหมายผิดไปจากต้นฉบับรบกวนแนะนำด้วยนะครับ ด่าได้ผมไม่ถือ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มันเป็นตอนกลางคืน...

ภายในห้องนอนที่แสงจันทร์ส่องผ่านช่องว่างของผ้าม่าน ลากเส้นตกลงไปบนพื้นและกลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงแหล่งเดียว ภายใต้แสงจันทร์สีเทา เงาของแมลงตัวเล็กๆ ที่คลานอยู่บนหน้าต่างก็สะท้อนออกมาหน่อยๆ

-----บรึ้นนนนนนน-------

รถประจำทางสายของชุมชนแล่นผ่านไปพร้อมเสียงเครื่องยนต์เบาๆ จากชั้นล่างนอกหน้าต่างโน่นแนะ

ไฟรถยนต์สีซีดลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านแล้วสร้างรัศมีรูปพัดบนเพดาน จากนั้นค่อยๆ หรี่ลงเมื่อรถเคลื่อนผ่านพ้นไป

-----คลิก-----

เทปเก่าใส่เข้าเครื่องแล้วปิดฝามีเสียงสวิตช์ปิด

หลี่เฉิงอี้ขมวดคิ้วและเสียบหูฟังแล้วก็ปรับระดับเสียง ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีเบาๆ ลอยออกมาจากหูฟังอย่างเงียบๆ เขาเข้าไปในรูหู

ดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้อง มีแค่เสียงดนตรีคลาสสิกผสมกับกู่เจิงและผีผา

จังหวะผ่อนคลายและสดใส

เสียงของเครื่องดนตรีทั้งสองนั้นเปรียบเสมือนเส้นด้ายที่บางและแหลมคมสองเส้น บางครั้งเกี่ยวพันกัน บางครั้งก็แตกออกจากกันไป

มันเป็นท่วงทำนองที่เหมือนกับการเล่าเรื่องในสมัยโบราณ และเหมือนสองนิ้วซีดขาวที่พันกันตลอดเวลา

หลี่เฉิงอี้นอนตะแคงบนหมอน มองม่านสีเข้ม นิ่งเงียบ ฟังเพลงจากหูฟัง

ปลอกหมอนเย็นๆ ที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นที่ด้านข้างของใบหน้าของเขาชักเริ่มจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำยาซักผ้า

แล้วเขาก็ลืมตาขึ้นราวกับว่าเขาอยู่ในอาการงุนงงหรือกำลังคิดอะไรบางอย่าง

เขาจำได้ชัดเจนว่าเมื่อ ยี่สิบนาทีที่แล้วเขาขึ้นไปได้ครึ่งทางแล้ว อีกยี่สิบนาทีต่อมา เขาเพิ่งพบดอกไม้เล็กๆ ที่สวยงามดอกหนึ่ง แล้วโลกก็หมุนคว้าง ทุกอย่างเปลี่ยนไป เขาเปลี่ยนร่างกายไปซะเฉยๆ โดยไม่รู้จะอธิบายว่ายัง แล้วก็มาอยู่นี่ ในห้องนี้ กลายเป็นคนยังอายุน้อยกว่ามาก

หลังจากผ่านไปราวสิบนาทีที่อารมณ์ที่หลากหลายก็ซัดเข้ามาเป็นชุดๆ ทั้งความตกใจ ความไม่เชื่อ และรับไม่ได้ เขาก็เริ่มจะยอมรับความเป็นจริง

ตอนนี้ข้อมูลและความทรงจำจำนวนมากในใจของเขาถูกรวมเข้ากับเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้คือความทรงจำของหลี่เฉิงอี้อีกคนที่มีชื่อเดียวกับเขาและอยู่ในโลกนี้มาแล้วยี่สิบปี ถึงข้อมูลจะยังไม่ครบถ้วนและคลุมเครือมากแต่มันก็เพียงพอที่จะให้เขาเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา

"พรุ่งนี้หนูมีเพื่อนที่สำคัญมากๆ มาที่บ้าน พ่อแม่กับหลี่เฉิงอี้จะต้องพากันออกไปเดินเล่นหาอะไรทำ แล้วค่อยกลับมาหลังห้าโมงเย็นนะเข้าใจไหม"

มีเสียงของหญิงสาวที่ค่อนข้างทุ้มต่ำดังมาจากนอกห้องนอน แล้วเมื่อในใจของเขาหยุดคิด มันหลี่เฉิงจิ่วนี่หน่า และนั่นแหละตอนที่ชื่อก็หลุดออกมาโดยอัตโนมัติ--มันคือหลี่เฉิงจิ่วนี่เอง

นี่คือพี่น้องร่วมสายเลือดของเขาในร่างนี้ หล่อนน่าจะคุยกับพ่อแม่ของหล่อนนั่นเอง

"เอาล่ะไม่ต้องกังวล แน่นอนว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อกงการอะไรของแกหรอกนะ" แม่--เฟิงหยูหรงตอบอย่างระมัดระวัง

พ่อเงียบและไม่ส่งเสียงใดๆ แต่ลมหายใจของเขาหนักขึ้นเล็กน้อย นี่คือวิธีแสดงออกถึงการยอมรับข้อตกลงของเขา

"จิ่ว เรื่องงานของน้องชายแกที่นี่ก็ยังไม่ได้เรื่อง แกเห็นไหมเนี่ย" จากนั้นคนเป็นแม่ก็พูดถึงอีกเรื่องหนึ่งอย่างระมัดระวังซักหน่อย

"ทำไมแม่ต้องกังวลนักหนานะ สถานการณ์ของหนูก็ยังไม่มั่นคงด้วยซ้ำ เอาไว้คุยกันทีหลังนะ แค่ตอนนี้อย่าทำให้อะไรมันแย่ลงสำหรับหนู หลี่เฉิงจิ่วพูดอย่างไม่อดทน

"อย่ากังวลน่า มันจะไม่เกิดขึ้นหรอก มันจะไม่เกิดขึ้นนะ" คุณแม่เฟิงหยูหรงตอบกลับเบาๆ

"ไปนอนเถอะค่ะ แล้วจำเอาไว้ อย่ากลับมาเร็วเกินไป หลังสี่โมงถ้าเห็นหนูไปเที่ยวกับคนที่ผิวขาวๆ น่ะอย่าทักหนูเชียว ให้แกล้งทำเป็นไม่รู้จักไปเหอะ" หลี่เฉิงจิ่วบอก

"เออไม่ต้องห่วงหรอกไม่ต้องห่วง" คนเป็นแม่หยุดครู่หนึ่ง "ถ้าเราออกไปไกลๆ ก็คงจะไม่จ๊ะเอ๋กับธุระกงการอะไรของแกละ" ก่อนตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

"ยังไงก็ตาม" หลี่เฉิงจิ่วหยุดครู่หนึ่งก่อนจะไปต่อ "หนูต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในเดือนนี้ ก็แค่ราวๆ หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวน แม่ควรจ่ายให้หนูพรุ่งนี้เลย"

"ฉัน แค่ต้องจ่าย หนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวนหยวนเหรอ มันไม่ใช่เงินจำนวนมากเลยรึไง?" คุณแม่เฟิงหยูหรงรู้สึกขัดเขินนิดหน่อย เธอกับสามีค่อนข้างอึดอัดเพราะจ่ายเงินบ่อยๆ

แน่ล่ะหนึ่งแสนเก้าหมื่นหยวนมันน้อยซะทีไหนกัน

"คราวนี้เป็นค่าอุปกรณ์และค่าฝึกงาน!" หลี่เฉิงจิ่วพูดอย่างไม่อดทน "แม่ยังมีเงินบำนาญอยู่ไม่ใช่หรือ? ก็แค่เอามันออกมาจ่ายให้หนู แล้วจะค่อยๆ ชดเชยคืนให้ทีหลัง"

"เอ้ยนี่" คุณแม่เฟิงหยูหรงหยุดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับอย่างลำบากใจ "ก็ได้ ฉันจะให้แก"

เธอไม่ได้บอกว่าเลยเหรอเงินบำนาญของเธอและสามีของเธอถูกถอนออกไปเพื่อให้หลี่เฉิงจิ่วใช้จ่ายอยู่คนเดียว

ผลประกอบการของโรงงานที่ย่ำแย่เมื่อเร็วๆ นี้ ค่าจ้างของพวกเขาก็ลดฮวบลงเป็นว่าเล่น เงินมันจะไปพอใช้จ่ายได้ยังไง

หลี่เฉิงจิ่วทำเสียงปึงปังด้วยการผลักเก้าอี้ออกไป ลุกขึ้นยืนและเดินออกไป คงจะไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้ามั้ง

เฟิงหยูหรงและพ่อของเขา--หลี่จ้าว ถูกทิ้งให้นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพูดคุยกันเงียบๆ

"ทีนี้ฉันมีเงินบำนาญไม่พอแล้ว ดังนั้นคุณคงจะพอชดเชยด้วยสวัสดิการทางการแพทย์ได้นะ ธุรกิจของลูกสาวฉันสำคัญกว่า" เฟิงหยูหรงกระซิบ

"แล้วเสี่ยวอี้ก็ต้องหาทางเอาเองเพื่อให้เธอได้เอาเงินไปทำงาน แล้วพอเงินหมดฉันควรทำอย่างไรเพื่อได้รักษาตัวต่อเนื่อง? เธอกังวลเรื่องอาการปวดหลังบ้างรึเปล่า? เธอยังต้องสั่งยาทุกวันไม่ใช่เหรอ?" คุณพ่อหลี่จ้าวพูดเสียงเข้ม

"เก็บเรื่องเงินไว้ทีหลังแล้วเราจะได้คืนเร็วๆ นี้ ไม่ต้องห่วงหรอก แล้วตอนนี้เอวของฉันยังไม่เจ็บมากเท่าไหร่ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ" เฟิงหยูหรงกระตุ้นด้วยเสียงต่ำ "เอาน่ะ เอาน่ะ อนาคตของลูกสาวฉันสำคัญ อย่าไปห่วงอะไรกับวิกฤตช่วงนี้นัก อุ้มลูกไว้ก่อน"

"ฉันรู้น่า ฉันรู้" พ่อตอบอย่างไม่อดทน หยุดซักครู่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนแกจะทำอะไรไม่ถูกแล้วก็ไม่สบายใจซักหน่อย

จากนั้นก็มีเสียงของคนสองคนที่กำลังศึกษาวิธีใช้โทรศัพท์มือถือสองเครื่องด้วยกัน

หลี่เฉิงอี้นอนอยู่บนเตียง ลืมตาขึ้น และถอนหายใจเบาๆ

จิตใจของเขาย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์เมื่อวานอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเขาเห็นพ่อของเขาหลี่จ้าวนั่งคุยโทรศัพท์อยู่คนเดียวบนระเบียงเพื่อขอยืมเงินจากญาติ แม้ว่าเขาจะยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์โดยรวม แต่พ่อแม่ของร่างกายนี้และความรักของพวกท่านที่มีต่อครอบครัวเช่นเดียวกกันกับพ่อแม่คนก่อนของเขามันก็ยังคงช่วยให้ความรู้สึกไม่ค่อยโอเคภายในจิตใจของเขาดีขึ้นเล็กน้อย

แม้จะต่างกายต่างโลกยังไงการอุทิศของพ่อแม่ที่มีต่อลูกก็ยังคงดูเหมือนจะเหมือนกัน

เสียงภายนอกค่อยๆ เงียบลงอย่างช้าๆ หลี่เฉิงจิ่วปิดประตูแล้วเข้านอน และพ่อแม่ของเขาก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าและเข้านอนด้วยเหมือนกัน

ทุกสิ่งด้านนอกหยุดเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และเหลือแค่เสียงดนตรีบริสุทธิ์ในหูฟังเท่านั้นที่ยังคงวนซ้ำ

เสียงเพลงที่วนซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนค่อยๆ เล็กลงเรื่อยและจางหายไปในรูหู

หลี่เฉิงอี้นอนนิ่งในขณะที่เขาจัดการความทรงจำ เขาเริ่มรู้สึกสับในใจนิดหน่อย

ฉากแห่งความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขา

'เขา' อุส่าห์เรียนหนักมายี่สิบปี แต่สุดท้ายแล้วเขากลับต้องมาเผชิญกับการว่างงานหลังจากสำเร็จการศึกษา สารพัดใบรับรองที่สู้อุส่าห์ทำงานหนักมานานเพื่อให้ได้มาตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าสิ้นดีต่อหน้ากองทัพคนว่างงาน

ภายในหกเดือนหลังจากสำเร็จการศึกษา แถมส่งเรซูเม่ไปหลายร้อยฉบับ แต่ได้รับการตอบกลับน้อยมาก

ความทะเยอทะยานที่เคยมีก่อนสำเร็จการศึกษาตอนนี้กลายเป็นความสับสนไปหมดแล้ว

'เขา' ไม่รู้ว่าเขาควรทำอะไรหรือพอจะทำอะไรได้บ้าง เขาไม่มีแผน ไม่มีความคิด และไม่มีความคาดหวังอะไรทั้งสิ้น

เพียงแค่อยู่บ้านทุกวันและใช้ชีวิตวันละครั้ง

นอกเหนือจากนี้ ยังมีฉากที่เจ้าของร่างคนเก่าของเขาและหลี่เฉิงจิ่วพี่สาวของเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรง ยัยพี่สาวหลี่เฉิงจิ่วถือว่าครอบครัวนี้เป็นภาระสำหรับเธอมาโดยตลอด นั่นก็เพราะภายนอกเธอทั้งโดดเด่นและเปล่งประกาย ดูมีอนาคตที่สดใส แถมแข็งแกร่งและทะเยอทะยาน จึงดูถูกคนที่ไม่มีพรสวรรค์ ฉะนั้นพ่อแม่ของพวกเขาซึ่งเป็นเพียงคนงานในโรงงานธรรมดาๆ และน้องชายที่แสนจะธรรมดาๆ อย่างเขาก็เลยกลายเป็นเป้าหมายของความไม่อดทนใดๆ ทั้งสิ้น

หลี่เฉิงอี้ในอดีตเองไม่พอใจและโต้เถียงเกี่ยวกับทัศนคติของยัยพี่สาวที่มีต่อพ่อแม่และตัวเขาเองเช่นกัน แต่ผลลัพธ์ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ พ่อแม่ของเขาเต็มใจที่จะยอมแพ้ แล้วมันก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขาที่จะพยายามห้ามปรามพวกท่านแถมพวกเขาก็มาสวนกลับใส่เขาเป็นการตอบแทนด้วย

บนสะพานไม้ที่เล็กและโยกเยกสไตร์ไม้กระดานแผ่นเดียวพาดผ่าน--คือเส้นทางของการสอบเข้าวิทยาลัยที่เขาต้องทำงานหนักแต่กลับได้เข้าเรียนแค่ในวิทยาลัยธรรมดาๆ เท่านั้น ส่วนยัย หลี่เฉิงจิ่ว นั่นเหรอ เทียบกันเข้าไปสิ นางได้รับการแนะนำให้เข้าเรียนในสถาบันทางการทหารชั้นนำขณะที่พึ่งจะอยู่ปีที่สองของโรงเรียนมัธยม ช่างเป็นอะไรที่ต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว แม้ว่าเขาจะกรอกเรซูเม่พร้อมข้อมูลการฝึกงานที่ดีบัดซบยังไงแต่ด้วยปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเขาดันไปเลือกวิชาเอกผิดเพราะความไม่รู้เรื่องราวของเขาเอง

อีวิชาเอกการดูแลพืชคือเหี้ยอะไรวะ? ถึงจะเคยได้ยินมาว่าทักษะการดูแลพืชระดับจะได้ค่าจ้างเยอะมาก แต่นั่นคือต้องจบจากสถาบันแพงๆ รึเปล่า? ทางออกเดียวสำหรับนักเรียนจากโรงเรียนทั่วไปจึงไม่พ้นต้องเข้าร่วมกับสำนักงานป่าไม้หรือบริษัทที่ทำโครงการสีเขียวในเมือง

มันค่อนข้างดีที่สามารถอยู่ได้ด้วยเงินสามพันหยวนต่อเดือน

เพราะนี่คือยุคสมัยที่มีระบบอัตโนมัติมากเกินไปแล้ว ไหนจะยังผู้คนจำนวนมากที่หางานทำไม่ได้

เมื่อพลิกตัว หลี่เฉิงอี้ก็พยายามแยกแยะความทรงจำของเจ้าของร่างคนเก่าของเขา แม้ว่าหลายๆ สถานที่จะเบลอไปบ้างเนื่องจากกลไกในการลืมในสมองของผู้คนนั่นเอง

'แต่เอ็งยังพอจะรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายจากความทรงจำดังกล่าว'

แล้วมันก็เริ่มจะดึกมากขึ้นทุกที

รถอีกคันผ่านไปนอกหน้าต่าง เสียงแตรส่งเสียงดัง พร้อมกับเสียงแช่งที่ดังไม่แพ้กันของชายคนนั้น

"ไอ้เหี้ยที่ไหนมันมาจอดรถตรงนี้อีกวะ!"

"ก็กูที่เป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกมึงไงสัส!"

เสียงกร่นด่าสาปแช่งกันอยู่ซักพักแล้วก็ค่อยอ่อนเบาไปก่อนจะเงียบหายในที่สุด

เสียงที่ผสมกันของกู่เจิงและผีผาดังก้องอยู่ในหูของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก

เสียงอื่นๆ รอบตัวเขาค่อยๆ หายไป ราวกับว่าเหลือเพียงเสียงดนตรีบริสุทธิ์เท่านั้น

ครอบงำ เยือกเย็น เงียบสงบ

สติสัมปชัญญะของหลี่เฉิงอี้ค่อยๆ ดีขึ้น ดูราวกับว่าชีวิตของเขาคืการดูหนังซักเรื่อง ในขณะที่วิญญาณของเขายังคงถูกแผดเผาไปเรื่อยๆ ร่างกายของเขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ ความเหนื่อยล้านี้หนักหน่วงมากขึ้นจนทำให้จิตสำนึกของเขาค่อยๆ เบลอ และกำลังจะหลับไป

'เจ้าของร่างคนก่อนของฉันหลับไปแบบนี้ทุกวัน การพักผ่อนไม่เพียงพอ และความทุกข์ที่เกิดจากการหางานไม่ได้ทำให้เขาเงียบขรึมมากขึ้น และสื่อสารน้อยลง'

เมื่อเวลาลากเลื้อยผ่านไป หลี่เฉิงอี้เริ่มง่วงมากขึ้นและละทิ้งจิตใจที่สับสนวุ่นวาย เขาหลับตาและปรับตำแหน่งการนอนของเขา โดยวางแผนที่จะพักผ่อนระยะสั้น

......................................................

.........................................

...........................

---กกกกกก----

ทันใดนั้นก็มีเสียงอันแจ่มชัดที่ปลุกเขาให้เด้งออกจากความง่วงหงาวหาวนอน

ดวงตาของเขาค่อยๆ เปิดขึ้น และความง่วงที่เพิ่งเกิดขึ้นก็เริ่มหายไป

'เสียงอะไรวะ!?'

เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างเงียบๆ โดยไม่ส่งเสียง

หลังจากรอหลายนาทีจนกระทั่งร่างกายออกจากอาการที่หน่วงเหนี่ยว เขาผ่อนคลายลมหายใจออกเบาๆ สวมรองเท้าแตะเบาๆ แล้วลุกจากเตียงเบาๆ ทุกอย่างต้องเบาๆ เชี่ยเอ้ย... หายใจเข้าลึกๆ ปล่อยให้หน้าอกของขึ้นๆ ลงๆ และสงบสติอารมณ์ไว้ มือของเขาคว้าไม้เบสบอลโลหะที่ตั้งอยู่ในช่องว่างระหว่างข้างเตียงกับตู้เสื้อผ้าเบาๆ ไอ้สิ่งนี้มันถูกซื้อตัวเขาคนก่อนหน้านี้เพื่อการป้องกันตัวโดยเฉพาะ

ไม้เบสบอลเย็นชืดกับพื้นผิวสัมผัสแข็งทื่อซึ่งทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย

เขายกไม้เบสบอลขึ้นเงียบๆ แล้วเดินช้าๆ ก้าวเดินไปรอบๆ ไปทางด้านหลังประตูซึ่งมองไม่เห็นรอยแตก เมื่อยืนอยู่หลังประตู จากมุมนี้ คุณมึงจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่างและช่องว่างระหว่างผ้าม่านได้ (แต่จะอธิบายทำหอกอะไร)

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หลี่เฉิงอี้ประหลาดใจก็คือขณะที่เขาเพียงมองมันจากหางตามันก็ยังคงเหมือนจะไม่มีอะไรนอกจากความมืดนอกช่องว่างในผ้าม่าน

'ภาพหลอนเหรอ? รึฉันฝันไปวะ??'

เขารู้สึกว่าคอของเขาแห้งเล็กน้อยขณะที่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ทีนี้เขากระชับไม้เบสบอลไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่งและค่อยๆ จับที่จับประตูด้วยมืออีกข้าง

---วูบบบบ----

ทันใดนั้นเขาก็กระชากประตูออกอย่างแรง

เขาหันกลับมาหันหน้าไปทางประตูที่เปิดอยู่พร้อมกับยกไม้เบสบอลขึ้นสูงและกำลังจะกระแทกมันลงไป

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด