ตอนที่แล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปล่อลวง

บ้านใหม่


เวลา 13:30 น

ผมได้เดินตามหลังผู้หญิงคนหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังแนะนำที่พักใหม่ให้ผมอยู่

“ตรงนี้เป็นห้องรับแขก ส่วนเดินเข้าไปอีกหน่อยตรงนั้นจะเป็นห้องครัว ห้องน้ำก็อยู่เลยไปอีกหน่อย” เธอพาผมเดินเข้าบ้านขณะที่ผมแนะนำอย่างลวกๆ

เธอเป็นผู้หญิงอายุพอๆ กับแม่รูปร่างอ้วนหน้าตาไม่ได้ดีหรือแย่ หากให้บรรยายรูปลักษณ์ของเธอให้เข้าใจง่ายๆ ก็คงเป็นป้าข้างบ้านที่เอาแต่นินทาคนอื่นไปวันๆ

“อา ครับ” ผมตอบอย่างไม่ค่อยสนใจ ขณะที่แบกกระเป๋าเดินตาม

หากถามว่าผมมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไรเหตุผลก็เข้าใจไม่ยากเพราะว่าอีก 10 วัน จะเปิดเทอมแล้วทำให้ผมต้องย้ายมาอยู่กับคนรู้จักของพ่อเพื่อที่จะไม่ได้ลำบากเวลาไปโรงเรียน โดยโรงเรียนที่นี่จะเปิดตอนเดือนเมษายน (ฤดูใบไม้ผลิ)

โดยบ้านของยัยป้านี่อยู่ในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก

“ส่วนชั้นบนจะมีห้องอยู่ 3 ห้อง มีห้องหนึ่งว่างอยู่เธอไปอยู่ห้องนั้นแล้วกัน”

“ครับ..”

ในระหว่างนั้นก็มีเด็กสองคนรูปร่างอ้วนเดินมาเป็นเด็กผู้ชายกับผู้หญิง ทั้งสองมีผมและดวงตาสีส้มดูเหมือนพวกเขาจะเป็นคู่แฝดกัน แก่กว่าผมราวสองปี

“แม่ไอ้หมดนั้นใครกัน” เด็กผู้ชายพูด

“อา มาพอดีช่วยแนะนำที่นี่ให้เด็กนี่หน่อย” ป้าพูดก่อนจะเดินออกไป

ผมมองไปที่ป้าที่เดินออกไปก่อนจะเลิกสนใจและเดินขึ้นชั้นบนเอาของไปเก็บโดยไม่สนใจเด็กทั้งสองคนนั้น..

ในระหว่างที่กำลังจัดของในห้องใหม่อยู่ เด็กทั้งสองนั้นก็เดินออกมา

“เฮ้ย! ไอ้เปี๊ยก” เด็กผู้ชายท่าทางไม่ต่างอะไรกับไจแอนท์พูดขึ้นมา

ผมเหลือกตาไปดูนิดหน่อยก่อนจะไม่สนใจ

"เมินกันเหรอ ไอ้บ้านี่!” เด็กผู้ชายพูดอย่างไม่พอใจ

ก่อนจะเดินมากระชากคอเสื้อผมขึ้น และพูด

“เฮ้ย! ฟังนะไอ้เปี๊ยก ฉันชื่อโยชิตะ ทานากะ เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เพราะฉะนั้นแกที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ มาเป็นลูกน้องฉันซะ ถ้าไม่ล่ะก็” โยชิตะทำหน้าน่ากลัว พร้อมกำหมัดขึ้นให้ผมดู

‘เฮ้อ.. น่ารำคาญชะมัด’ ผมคิดอย่างเบื่อหน่าย

‘ไม่ว่าที่ไหนก็มีขยะแบบนี้หมดสินะตั้งแต่เห็นท่าทางเจ้าพวกนี้ก็รู้แล้วล่ะว่าเป็นพวกนิสัยเสีย เพราะงั้นจึงทำเป็นเมินไม่พยายามไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่สุดท้ายปัญหาก็จะมาหาเองสินะ เฮ้อ..’

ผมคิดพร้อมหันไปดูเด็กผู้หญิงอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ก็แสดงท่าทางพอใจออกมาไม่ต่างอะไรกับนางร้ายในละคร

ที่จริงหน้าตาของเธอก็ถือว่าไม่แย่ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยแบบนี้ก็ว่าจะเล่นด้วยสักหน่อย ที่จริงผมเองก็ไม่ใช่พวกเลือกกินด้วยถ้าหน้าตาไม่แย่จนเกินไปก็รับได้หมด แต่ถ้านิสัยแบบนี้หน้าตาดียังไงก็ไม่ไหว

สุดท้ายเจ้าพวกนี้เพราะมีร่างกายใหญ่กว่าเด็กทั่วไปและมีแม่ที่นิสัยอย่างนั้น เพราะงั้นจะมีนิสัยแบบนี้ก็คงไม่แปลก

“กลัวจนพูดอะไรไม่ออกแล้วรึไง ไอ้เปี๊ยก!” ทานากะพูดพร้อมทำท่าเหมือนจะต่อยผม

“น่ารำคาญ” ผมพูดพร้อมปัดมือที่คอเสื้อออกไป

และใช้มือดึงแขนทานากะเข้ามาหาตัว ก่อนจะใช้ข้อมือกระแทกไปที่คางของทานากะเกิดเสียงดังเบาๆขึ้นมา พร้อมๆกับที่ร่างใหญ่ได้ลงไปกระแทกที่พื้น ทานากะได้ล้มลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับใบหน้าที่เหมือนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ห-หนอยแน่ แก!!” ทานากะพูดด้วยความโกรธขณะที่พยายามลุกขึ้น

“ก็บอกว่ามันน่ารำคาญไง ช่วยหุบปากทีได้ไหม” ผมพูดพร้อมเข้าไปเตะทานากะที่พยายามลุกขึ้นด้วยร่างกายที่สั่น

ร่างกายใหญ่ๆได้ถูกเตะจนกลิ้งไป ก่อนที่ผมจะเข้าไปกระทืบซ้ำแบบไม่ยั้ง สักพักจากเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

“แง ขอโทษ ขอโทษ พ-พอเถอะ มันเจ็บ เจ็บ เจ็บนะ” เสียงของทานากะได้ดังขึ้นขณะที่นอนใช้มือป้องกันที่หัว และใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

‘น่าสมเพชจริง ตอนแรกยังปากดีอยู่เลยแท้ๆ แต่พอสู้ไม่ได้ก็อ้อนวอนงั้นเหรอ สุดท้ายก็เป็นแค่เด็ก’

เด็กสาวที่เห็นพวกตัวเองนอนอยู่ที่พื้นก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา ขณะที่ขยับตัวไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว

ผมจัดเสื้อที่ถูกดึงให้เรียบร้อยพร้อม มองไปที่ทานากะที่เหมือนจะสลบไปแล้ว คางถือว่าเป็นอวัยวะที่เป็นจุดอ่อนของคนเรา ต่อให้เป็นคนตัวโตแค่ไหนหากโดนเข้าไปก็ล้มได้ทั้งนั้น

เมื่อกี้ผมจงใจเบาแรงลงเพราะหากใส่แรงเข้าไปสุดแรงอาจจะทำให้ถึงตายได้เลยยิ่งเป็นเด็กแล้วยิ่งแล้วใหญ่ เหตุผลก็เพราะไม่อยากฆ่าใครตั้งแต่วันแรกที่ออกจากบ้านหรอก

ผมจัดเสื้อจนเรียบร้อยก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่ยืนตัวสั่นอยู่ เธอที่เห็นผมมองไปก็ทำหน้าหวาดกลัว

“ยะ-อย่าเข้ามานะ!”

‘ท่าทีไวจังนะ’ ผมคิดพร้อมเดินไปหาเด็กสาว

“ก-ก็บอกอย่าเข้ามาไง!!” เธอพูดอย่างหวาดกลัวขณะที่ขยับจนหลังติดกำแพง

ผมไม่ฟังเธอขณะเดินไปช้าๆจนถึงเธอที่หลังติดกำแพงอยู่ก่อนจะยื่นมือไปจับคางและดึงหน้ามาดูใกล้ๆ พร้อมพิจารณารูปร่างเธอพอมองดีๆ ทำให้รู้ว่าเธอไม่ได้ถึงกับอ้วนแค่เป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบๆ เท่านั้น

พร้อมผิวสีขาวหน้าตาก็ถือว่าใช้ได้ หากลดน้ำหนักลงสักหน่อยก็น่าจะเป็นคนที่สวยคนหนึ่งเลย

“เฮ้อ.. เสียของชะมัด” ผมถอนหายใจ และปล่อยมือที่จับคางเธอออก

ก่อนจะเดินไปที่ประตู

“หากเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะก็ ไม่จบแค่เจ็บตัวแน่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ก่อนจะเดินออกไป..

“อืม.. ที่นี่มันที่ไหนล่ะเนี่ย?” ผมพูดพร้อมเกาหัวที่มองไปรอบๆ

ที่ผมยื่นอยู่ตอนนี้เป็นในซอยแคบๆ ที่หนึ่งที่ค่อนข้างเปลี่ยว

“ช่างเถอะดึกแล้วค่อยหาทางกลับแล้วกัน” ผมพูดเบาๆ ขณะที่พยายามสัมผัสบรรยากาศรอบข้าง

‘ก็นะอยู่แต่ในป่าเขามาตั้งนานเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี’

ผมคิดพร้อมกับเดินไปเรื่อยๆ สูดกลิ่นแปลกใหม่ที่ไม่ได้สัมผัสมานานกลิ่นขยะและเศษเหล็กต่างๆ พร้อมฟังกับเสียงรถยนต์และแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ

ขณะที่สายตาก็มองไปดูสิ่งปลูกสร้างต่างๆและธรรมชาติที่อยู่ร่วมกับมัน มองไปบนฟ้าก็เห็นนกที่กำลังเกาะสายไฟ บนพื้นก็เห็นแมวที่กำลังไล่จับหนูอยู่ และในซอยแคบๆที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน

ก็มีผู้หญิงกำลังถูกผู้ชาย3คนดึงไปข่มขืนอยู่

‘อา ที่นี่ก็สงบดีนะ’ คิดอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่สักพักจะทำหน้าตกใจ!

‘เดี๋ยวนะเหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่ใช่?!’

ผมหันไปดูที่ซอยนั้นใหม่ ก็เห็นผู้สาวที่กำลังถูกลากไปข่มขืนอยู่

‘อา โจ่งแจ้งดีนะ..’

ไม่สิต้องบอกว่าเป็นความคิดดีเลย ที่เลือกจะหาใครมาทำอะไรไม่ดีในที่เปลี่ยวแบบนี้ เป็นผมก็คงเลือกที่นี่เหมือนกัน.. แล้วจะไปเห็นด้วยกับมันทำไมกัน? แบบนี้ก็เหมือนผมเป็นคนไม่ดีเลย!

‘ไม่สิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องไร้สาระ เห็นแก่ที่เป็นสาวสวยจะช่วยสักหน่อยแล้วกัน’ ผมคิดขณะที่หลบไม่ให้พวกนั้นเห็น พร้อมหยิบมือถือขึ้นมาจะโทรแจ้งตำรวจ

ในขณะนั้นหญิงสาวคนนั้นก็ร้องขึ้นมา

“ช-ช่วยด้วย!!” เธอพยายามตะโกนอย่างอ่อนแรง

ก่อนจะถูกหนึ่งในพวกนั้นชกไปที่ท้องอย่างแรงจนหญิงสาวร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะล้มลง

ผมได้หยุดโทรก่อนจะหันไปมองสภาพผู้หญิงคนนั้น แม้ในซอยนั้นค่อนข้างมืดแต่ก็สามารถเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำของเธอได้อย่างชัดเจน พร้อมกับเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเศษไม้และดิน

แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามจะขัดขืนพวกนั้นจนโดนทำร้ายจนอยู่ในสภาพนั้น ผมได้มองไปที่ใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยน้ำตาที่เริ่มแห้งแล้ว

“เฮ้อ.. น่าเบื่อจริง” ผมพูดออกมา พร้อมถอนหายใจ

ก่อนจะหยิบกล่องใส่ยาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมามันเป็นกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อเปิดกล่องขึ้นมาจะเห็นช่องเล็กๆ ที่ถูกแบ่งเป็น 4 ช่อง แต่ละช่องจะมียาคนละสีแตกต่างไป

ผมได้หยิบยาเม็ดสีแดงขึ้นมากิน ก่อนที่ไม่นานจะรู้สึกถึงอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มขึ้น

‘มัวแต่รอตำรวจคงไม่ทันพอดี เอาเถอะถือว่าช่วยกวาดขยะช่วยโลกแล้วกัน’

ผมคิดก่อนจะเดินไปหาพวกนั้น พร้อมกับแววตาที่เหมือนมองเห็นขยะอยู่ตรงหน้า

つづく

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด