ตอนที่แล้วตอนที่ 8 จิตพิณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 10 บงการ

ตอนที่ 9 มนต์อสูรพิสดาร


ในพริบตาเดียว เสี่ยวเฉินรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมบนโลก การได้รู้ว่าตำหนักม่วงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการเพิ่มพลังของเขา เขาจึงถาม

“เจ้ามีทางให้ข้าไปที่ตำหนักม่วงไหม?”

รัตติกาลเหลือบมองเขา

“แม่นางมู่ที่เจ้าเคยเจอไม่นานมีพลังขอบเขตตั้งแกน แม้แต่นางก็แทบจะทนรับพลังของศัตรูจากตำหนักม่วงที่ไล่ล่านางมาถึงโลกมนุษย์ไม่ไหว แล้วเจ้าที่เป็นขอบเขตชำระปราณจะทำอะไรได้? อย่าลืมว่าเจ้ามีสิบสองเส้นปราณ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้ทุกคนโลภโมโทสันแล้ว”

“แล้วข้าจะทำอะไรได้เล่า? ข้าต้องเป็นคนโง่เง่าไร้ค่าไปตลอดชีวิตทั้ง ๆ ที่แม่นางมู่คลายผนึกเส้นปราณข้าไปแล้วน่ะรึ? ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าจะต้องไปที่นั่นให้ได้!”

รัตติกาลถอนหายใจเบา ๆ

“มีนิกายบ่มเพาะพลังที่อยู่ในโลกมนุษย์ใบนี้อยู่ แต่มันแทบจะซ่อนตัวจากสายตาคนและโดนคุ้มกันไว้ด้วยม่านพลังวิเศษ คนทั่วไปจึงไม่รู้เรื่องของพวกเขา แต่ในทุก ๆ ไม่กี่ปีจะมีการเลือดศิษย์คนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ดีไปสู่ตำหนักม่วง เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าต้องทำอะไร?”

เสี่ยวเฉินเข้าใจแล้ว รัตติกาลแนะนำให้เขาเลือกเข้าหนึ่งในนิกายเหล่านั้นเพื่อที่จะเข้าไปสู่ตำหนักม่วง และเขายังสามารถเรียนเคล็ดบ่มเพาะพลังจากนิกายที่เขาเข้าร่วมเพื่อไปให้ถึงขอบเขตตั้งฐาน นั่นคือแผนที่ดีมากและเป็นการสังหารนกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว

เรือเดินสมุทรลำใหญ่ย่อมไม่มีทางแล่นน้ำตื้น เคล็ดบ่มเพาะครามพิสดารของเขาใช้งานได้ไม่ดีพอด้วยพลังปราณเบาบาง เขาต้องการวิชาบ่มเพาะใหม่ในตอนนี้ วิชาที่จะเป็นเรือลำเล็กให้เขาแล่นผ่านธารน้ำจนกระทั่งไปเป็นเรือลำใหญ่ที่จะแล่นในมหาสมุทรอีกครั้ง

เสี่ยวเฉินรู้สึกถึงความหวังและมุ่งมั่น เขาจะต้องไปที่ตำหนักม่วงให้ได้ ทะเลที่ใหญ่กว่าที่เขาจะใช้เคล็ดวิชาครามพิสดารอีกครั้งอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด! เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนและหาหลิงหยินผู้เป็นอาจารย์ของเขาให้เจอ!

ในตอนนั้นเอง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบมาจากด้านนอก รัตติกาลกลับไปอยู่ในพิณทันที เมื่อรัตติกาลหายไป ประตูได้เปิดออกพร้อมกับสตรีอายุราวยี่สิบปีแม้แท้จริงแล้วนางจะอายุเกินสามสิบปีแล้ว นางคือมารดาซูฉิง มารดาของเสี่ยวเฉิน

“เฉินเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น?”

ชูฉิงถามและเอื้อมมือจับข้อมือเขาทันที

เสี่ยวเฉินชักมือกลับ

“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไร…”

ชูฉิงหรี่ตามองอย่างเย็นชาในทันที

“เป็นคนจากนิกายวายุนภาที่ทำร้ายเจ้ารึ?”

เสี่ยวเฉินรู้สึกว่าเขาตัวสั่น เหตุใดแม่ของเขาจึงไม่กลัวชื่อนิกายวายุนภาไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ กัน? แม่ของเขานั้นเป็นคนสกุลซู แต่ตระกูลเสี่ยวมีกฎจากบรรพบุรุษคนหนึ่งว่าห้ามให้ใครไปสนิทสนมกับคนสกุลซู

ดังนั้นพ่อแม่ของเสี่ยวเฉินจึงต้องเจอกับการปฏิเสธอันรุนแรงเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกัน เพื่อหลบหนีจากความโกรธเกรี้ยวนั้น พ่อของเขาได้ออกจากตระกูลไปกับแม่ จนกระทั่งสามปีที่เสี่ยวเฉินกำเนิดขึ้นมา พวกเขาจึงได้กลับมาที่ตระกูลเสี่ยว

“ข้าไม่เป็นไรแล้วท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องห่วงนะ…”

ชูฉิงถอนหายใจ นางเชยคางเบา ๆ ตำหนิเขา

“เจ้าเด็กโง่ คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้ามีความลับกับข้า? เจ้าไปเอาพลังมาจากไหน?”

“ขะ ข้า…”

เสี่ยวเฉินพูดตะกุกตะกัก เขาไม่รู้ว่าเขาจะอธิบายทุกเรื่องอย่างไร เขารีบเปลี่ยนเรื่อง

“อะ อ๊ะ…จริงสิ! ข้าจำได้ว่าที่ร้านของหรูมีเครื่องประดับชุดใหม่มาจากตะวันตกเมื่อเดือนที่แล้ว วันหนึ่งเราไปที่ร้านนั้นกันไหม?”

เป็นเวลาถึงบ่ายโมงกว่าที่แม่ของเขาจะไป นางยอมจำนนที่ไม่ได้รับรู้ความจริงจากเขา เสี่ยวเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เขานั้นฉงนมาโดยตลอดเพราะเขาไม่เคยได้ยินพ่อของเขาพูดถึงเรื่องตระกูลของแม่เลย และเขาก็ไม่เคยไปเยี่ยมตระกูลของแม่แม้กระทั่งในฤดูเทศกาล

ดวงตะวันลับขอบเขา เขามีความคิดที่อยากจะไปดูสุสานโบราณว่ามู่เจิงเสวี่ยทิ้งสิ่งใดเอาไว้หรือไม่ ด้วยพลังของเขา เขาสามารถเร้นกายผ่านคนคุ้มกันสองคนได้ไม่ยาก

ความเยือกเย็นคงอยู่เป็นนิรันดร์ในสุสานโบราณตระกูลเสี่ยว ไม่มีสัตว์ป่าหรือสิ่งใดกล้ารบกวนการหลับใหลของบรรพบุรุษเขา แสงจันทร์ห่มหลุมศพมอบบรรยากาศน่ากลัวให้เพิ่มขึ้นไปอีก เสี่ยวเฉินเดินตรงไปยังถ้ำที่มู่เจิงเสวี่ยเคยซ่อนตัวและพบขวดหยกขาว เขาพบโอสถฟื้นฟูเจ็ดแปดขวด

“นางเคยบอกว่ามีโอสถแค่ขวดเดียวที่นางหลอมขึ้นมาเอง นางทิ้งไว้เพราะรู้ว่าข้าจะกลับมารึ?”

เขาเก็บขวดหยกใส่ชุด เขาไม่ได้พูดอะไรกับมู่เจิงเสวี่ยนัก แต่กลับกลายเป็นว่าเขากลับได้ประโยชน์อย่างมาก

เขาตบหน้าตัวเอง เขาลืมถามพื้นเพของนางไปเลย แล้วเขาจะหานางเจอในท่ามกลางผู้คนมากมายที่ตำหนักม่วงเมื่อไปถึงที่นั่นได้อย่างไร?

เขาส่ายหน้าและถอนหายใจ แต่เมื่อเขากำลังจะออกจากถ้ำ เขาได้รู้สึกถึงพลังที่ปั่นป่วนในถ้ำ ดูเหมือนว่ามันจะมาจากใต้ดิน

เขาค่อย ๆ เดินเข้าถ้ำด้วยความกังวล ในม่านแห่งความมืดมิดนี้เขาได้เจอสุสานแปดหลุม แต่จะหลุมสลักไว้ด้วยอักษรโบราณ แปดหลุมนี้ตั้งป้ายรวมกันเป็นแปดเหลี่ยม โดยตรงกลางนั้นเป็นโลงศพหิน

ความแปลกประหลาดที่เขารู้สึกได้นั้นมาจากโลงศพหินนี้ เสี่ยวเฉินข้ามผ่านป้ายสุสานและยืนอยู่หน้าโลง ผิวหินของโลงนั้นมีรอยข่วนและผิวขรุขระ ทั้งหมดบ่งบอกเวลาอันยาวนานของโลงศพนี้

เขาวางมือบนโลงและปล่อยสัมผัสเทพเพื่อดูภายใน แต่จู่ ๆ ก็มีคลื่นพลังระเบิดออกมาปิดกั้นสัมผัสเทพของเขาเอาไว้ มันกระทบกับตัวเขาจนแทบจะสลบ

เสี่ยวเฉินก้าวถอยหลังจนเกือบจะโค่นป้ายหลุมศพไป เขารีบโค้งประสานมือคารวะด้วยความนับถือและกล่าวขอโทษ

“โปรดรับคำขอโทษจากข้าด้วยท่านผู้อาวุโส ข้าผิดไปแล้วที่บังอาจรบกวนการพักผ่อนของท่าน”

ในตอนนั้นเอง เสียงแหบพร่าน่าขนลุกดังมาจากโลงศพหิน

“เจ้าไม่มีทางขังข้าไว้ในนี้ได้หรอกเสี่ยวหนิง! จุดจบของตระกูลเสี่ยวจะมาถึงเมื่อข้าได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง…”

เสี่ยวนั้นดังก้องในถ้ำ เสี่ยวเฉินตัวสั่นไปถึงกระดูก

แต่เสี่ยวเห็นมิได้หวาดกลัวไปเสียจนขนหัวลุก เขาได้ยินคำว่า ‘เสี่ยวหนิง’ ‘เมื่อข้าได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง’ และคำพูดที่ตะกุกตะกักบางคำ เสี่ยวหยิงมิใช่เจ้าตระกูลเสี่ยวคนแรกสุดหรอกรึ? ใครเป็นคนที่อยู่ในโลงนี้กัน?

เขาใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ เสียงของคนตายนั้นจะต้องยังคงมีพลังเก่าที่หลงเหลืออยู่ เขาคงแข็งแกร่งมากจนพลังยังปกป้องศพเอาไว้แม้ว่าจะตายมาหลายพันปี

แต่จากนั้นเขาจึงคิด

“ผู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ตายได้ด้วยหรือ? อาจารย์ข้าหนีจากความวิบัติของวัฏสงสารหลังจากความโกลาหลครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นได้ไหมนะ?”

เสี่ยวเฉินรู้สึกแต่ความเศร้าหมองอันลึกซึ้ง

เวลาผ่านพ้นไป ค่ำคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสี่ยวเฉินเริ่มกลับและในตอนนั้นเขาก็รับรู้ผ่านสัมผัสเทพว่ามีห้องเล็ก ๆ หลายห้องจากผนังถ้ำ เขาได้เจอชั้นวางจากหินที่มีตำราโบราณมากมายที่ปกคลุมไว้ด้วยฝุ่นดิน เสี่ยวเฉินเดินเข้าไปใกล้ขึ้นและหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา เขามองใกล้ ๆ และเห็นชื่อเล่มว่า ‘ฝ่ามือฟ้าสวรรค์’

“ฝ่ามือฟ้าสวรรค์ กระบวนท่าแรกสุดนั้นสง่างาม แต่มีพลังมหาศาลซ่อนอยู่ในแต่ละการเคลื่อนไหว พลังสูงสุดจะกำเนิดขึ้นเมื่อต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า แต่ละกระบวนท่านั้นมีพลังฝ่ามือที่แตกต่างกันเก้าชนิด แต่ละฝ่ามือนั้นแข็งแกร่งกว่าฝ่ามือก่อนหน้า มีพลังไร้เทียมทานที่บดขยี้ได้แม้กระทั่งฟ้าดิน”

เมื่อเขาอ่าน เขาแทบจะกลั้นตัวเองให้สั่นไม่ได้ นี่คือท่าการฝึกที่เสี่ยวหยวนฝึกแม้ว่าเขาจะยังใช้วิชานี้ได้ไม่เต็มที่ก็ตาม เสี่ยวเฉินจดจำกฎของฝ่ามือฟ้าสวรรค์และเริ่มอ่านตำราอื่นที่พบ สุดท้ายเขาก็ได้มาเจอกับตำราเก่าที่ปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรก

ที่หน้าปกนั้นเขียนว่า ‘มนต์อสูรพิสดาร’ เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เขาเคยเป็นศิษย์นิกายบ่มเพาะพลังมาก่อนจึงสนใจในคำว่า ‘อสูร’ เขาเปิดมันเพื่ออ่าน

แต่เมื่อเขาเปิดตำรา หน้าที่เหลือได้พลิกขึ้นมาเองราวกับถูกพัดด้วยลมแรง คำที่เขียนในตำราลอยออกมาพร้อมกับหน้ากระดานที่หลอมรวมกันเป็นก้อนควันทมิฬพุ่งเข้าใส่หน้าผากของเขา

ด้วยความตกใจและหวาดกลัว เสี่ยวเฉินพยายามโยนมันออกไปให้ไกลที่สุด เขาทำให้ใจเย็นลงและเริ่มใช้พลังโดยเคล็ดบ่มเพาะครามพิสดารเพื่อขจัดความคิดรบกวน แต่เคล็ดวิชาชั่วร้ายในตำราประหลาดนั้นกลับฝังลึกในใจเขามิอาจลืมเลือน

“ร่างอสูรแรก โลหิตคือฝ่ามือ”

“ร่างอสูรที่สอง รังสีพลังคือหมัด”

“ร่างอสูรที่สาม วิญญาณคือคมกระบี่”

ในตอนนั้น เขาเริ่มรู้สึกถึงพลังปราณของเขาที่ไหลแปลกไป เขานึกถึงสิ่งที่เคยร่ำเรียนเมื่อนานมาแล้วได้ การไหลผกผันของพลังปราณนั้นจะได้เห็นจากคนที่กำลังจมลงสู่ความมืด เขาล้มลงกับพื้นพร้อมนั่งสมาธิและนั่งท่องมนต์วิเศษทันที เวลาผ่านพ้นไปและในที่สุดเขาก็ข่มพลังปราณที่ผกผันในร่างกายได้

ในตอนนี้ ที่แผ่นหลังของเขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้าเพราะเขารอดมันมาได้อย่างหวุดหวิด เขามองตำราชั่วร้ายที่โยนทิ้งไปเมื่อครู่และคิดว่าอันตรายเกือบจะมาหามวลมนุษย์อยู่แล้วถ้าหากความลับนี้กระจายออกไปภายนอก

เขาเรียกพลังปราณออกมาระเบิดตำราเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ตกกลาคืนแล้วเมื่อเขาเดินออกมา เสี่ยวเฉินใช้ค่ำคืนเป็นอำพรางเร้นกายผ่านคนคุ้มกันสุสานและกลับสู่เรือนเถาวัลย์ม่วง สามวันผ่านพ้นไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกวันเขาจะพยายามทำสมาธิฝึกฝน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีการเพิ่มพลังที่จับต้องได้ กลับกลายเป็นเคล็ดจากตำราชั่วร้ายที่กวักมือเรียกเขาอย่างน่าหลงใหลจนทำให้เขาไม่สบายใจ

เขาขมวดคิ้วกับชะตาชีวิตของตนเอง ถึงตอนนั้นก็มีเสียงรัตติกาลเรียกเขา

“มีคนมาที่นี่เมื่อสองวันก่อน ข้าได้ยินว่าเขาได้เลือกคนรุ่นเจ้าสามคนที่มีเส้นปราณ มีแค่สามคนในตระกูลเจ้า เจ้าอยากจะไปดูหรือไม่?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด