ตอนที่แล้วตอนที่ 14 ภาพลวงในพิณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 16 ค่ำคืนในถ้ำ

ตอนที่ 15 ลั่วชางหยาน


แท้จริงแล้วในถ้ำนี้เองก็เป็นแดนฝัน แต่มันติดตั้งค่ายกลฉิเหมินตันเจี้ยเอาไว้ ถ้าหากหลุดจากค่ายกลออกมาได้ก็จะไปถึงอีกฟากฝั่งได้

ในถ้ำนั้นมืดมิดแต่มีแสงสว่างจาง ๆ จากค่ายกล เส้นทางนั้นเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา บางครั้งมีหินแหลมหล่นจากด้านบน บ้างหลังมีกำแพงหินปรากฏมาบดบังเส้นทาง ที่อันตรายที่สุดนั้นคือพื้นที่จู่ ๆ จะกลายเป็นเหวไร้ก้นบึ้ง

หลายคนเดินวนเรื่อยไปจนกระทั่งเจอทางตันซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาสอบตก บางคนหวาดกลัวและเสียขวัญ เมื่อพวกเขามาถึงจุดเดิมที่เคยอยู่ พวกเขาก็โมโหและก่นด่าสาปแช่งตลอดทาง

แต่เสี่ยวเฉินนั้นเป็นผู้ชำนาญค่ายกล และความซับซ้อนอันตรายของค่ายกลฉีเหมินตันเจี้ยนั้นเป็นเพียงวงกตเด็กเล่นสำหรับเขา เขาเดินสามก้าวและเปลี่ยนเป็นสองก้าว เดินเป็นแนวราบและกระโดดเป็นแนวดิ่ง สุดท้ายเขาก็หลุดจากค่ายกลฉีเหมินตันเจี้ยไร้เทียมทานของนิกายสามพิสุทธิ์มาได้อย่างไม่ยากเย็น

ทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ประจักษ์แก่สายตาเสี่ยวเฉิน หุบเขาเขียว บุบผาบานสะพรั่ง ผีเสื้อที่ร่ายรำและธารน้ำไหล เหนือหุบเขาขึ้นไปเต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่

แสงสว่างจ้าทำให้เขาหรี่ตา เขาสูดหายใจและรู้สึกสดชื่นในทันที เสียงดังมาจากด้านซ้าย

“ฮ่าฮ่า! ศิษย์น้อง ข้าเร็วกว่า! เจ้าต้องไปทำความสะอาดแทนข้าสามเดือน!”

“หึ! ข้าต่างหากที่ชนะ!”

อีกเสียงดังมาจากทางขวาของเสี่ยวเฉิน

แสงกระบี่สองสายตกลงสู่พื้นพร้อมกัน เมื่อพวกเขาเห็นเสี่ยวเฉินพวกเขาก็จ้องเขาด้วยความตกตะลึง

“นี่เจ้า! เจ้าเร็วกว่าพวกข้าได้ยังไง? เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?! เจ้าโกงรึ?”

เสี่ยวเฉินชี้ไปข้างหลังและพูดด้วยใบหน้าไร้เดียงสา

“ข้าเพิ่งมาถึงน่ะ”

ศิษย์ทั้งสองมองหน้ากันอยู่นานราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง นี่เป็นการทำลายสถิติหลายร้อยปีของนิกายสามพิสุทธิ์ แม้กระทั่งศิษย์พี่ม่อหยูที่มีพรสวรรค์ที่สุดในนิกายยังต้องใช้เวลา 30 นาทีกว่าจะถึงที่นี่

ผ่านไปนานกว่าที่ศิษย์ทั้งสองจะได้สติและแทบจะคุกเข่า พวกเขาพูดเสียงดัง

“ท่านอาจารย์! โปรดรับการคารวะจากพวกข้าด้วย!”

ในตอนนี้ ในศาลาเล็กบนเขาหลิงไถ ผู้เฒ่าสองหัวเราะกับเข็มทิศดาวในมือ

“ฮ่าฮ่าฮ่า! นี่แหละที่ศิษย์นิกายเราควรจะเป็น! ดูเหมือนว่าชิงเจินสีผู้นี้จะมีผู้สืบทอดแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กคนนี้เป็นของข้า ไม่มีใครแย่งจากข้าไปได้หรอก!”

ผู้เฒ่าสี่พูดทันที

“จะบ้าเรอะ! เจ้ามีศิษย์หลายคนแล้ว ไม่คิดว่าพวกเขาะต่อต้านรึไง?”

ผู้เฒ่าห้าลูบเคราขมวดคิ้ว

“เขามาจากไหนกัน? หรือว่าจะเป็นสายลับที่นิกายวายุนภาหรือนิกายกระบี่คลื่นเย็น?”

ชิงเจินสีผู้เป็นผู้เฒ่าสองหัวเราะน้ำตาไหล

“เขาไม่ใช่สายลับที่ไหน เขาเป็นนายน้อยสี่จากตระกูลเสี่ยว ท่านเจ้านิกายไปที่เขตเมฆาเพื่อเยี่ยมตระกูลเสี่ยวและขอเจ้าตระกูลให้สืบเรื่องบุบผาร้ายกลืนวิญญาณ”

ไป่หยิงผู้เฒ่าสามถอนหายใจและพูด

“ข้าเองก็ยังไม่มีศิษย์หลักเลยนะ…”

ผู้เฒ่าสองหัวเราะเมื่อได้ยิน เขาพูด

“ศิษย์น้องสาม เจ้ายังไม่ถึงขอบเขตตั้งแกนด้วยซ้ำ ใครจะอยากติดตามเจ้า?”

ไป่หยิงลุกขึ้นยืนมือไพล่หลังพลางยิ้ม

“พูดอย่างกับจะชนะข้าได้”

ผู้เฒ่าสองหน้าแดงเมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นขอบเขตตั้งแกนแล้ว เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะศิษย์น้องของเขาที่เป็นขอบเขตตั้งฐานเท่านั้น เขาโบกมือพูด

“ไม่เอาน่า เจ้าเองก็บอกว่าไม่อยากมีศิษย์ผู้ชายนี่”

“เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว คุยกันต่อไปเถอะ ข้าไปก่อน”

นางเดินออกไป ผู้เฒ่าสองตะโกน

“เฮ้! อย่าโกงนะศิษย์น้อง! เจ้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับการสอบไม่ได้!”

“ใครบอกว่าข้าจะไปยุ่งกับการสอบล่ะ?”

นางหายไปในเมฆาพร้อมกับแสงกระบี่เมื่อพูดจบ

ผู้เฒ่าสี่ลูบเครา

“พี่ชิงเจิน อย่าเพิ่งนับไก่ก่อนจะฟักซี่ ลืมแล้วรึว่าเขาสอบตกรอบสอง?”

ผู้เฒ่าสองเหลือบมองเขา

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“จำอสูรภายในที่เจ้านิกายพูดถึงได้หรือไม่? ข้าคิดว่าเด็กคนนี้มีสิ่งที่ต้องแบกรับมากมายเกินไป ถ้าหากเขาจมลงสู่บึงโคลนนั้น จะต้องมีอสูรภายในในตัวเขาแน่ ดังนั้นเขาอาจจะกลายเป็นผู้ฝึกวิชาอสูร…”

“ฮื่ม! หยุดพูดเถอะ! อย่าได้คิดว่าข้าจะให้เด็กคนนี้กับเจ้าแค่เพราะเจ้าพูดแบบนี้…”

ในตอนนี้ ชายชราที่ดูเคร่งขรึมเดินมทาที่ด้านหลังพวกเขา

“คุยอะไรกันอยู่รึ?”

สามผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนทันทีและพูดด้วยความนับถือ

“คารวะศิษย์พี่”

เขาคือผู้เฒ่าหนึ่งแห่งนิกายสามพิสุทธิ์และรับหน้าที่ลงโทษ เมื่อเจ้านิกายไม่อยู่ เขาเป็นผู้มีอำนาจในนิกาย เขามองกระจกและมองผู้เฒ่าสอง

“ผู้อาวุโสจากตำหนักม่วงเพิ่งจะมาถึง”

“ว่าไงนะ!?”

สามผู้เฒ่าตัวสั่น พวกเขาดูกังวลและกลัว ชิงเจินสีรีบพูด

“เขามาที่นี่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นบนฟ้าเมื่อ 16 ปีก่อนรึ?”

ผู้เฒ่าหนึ่งพยักหน้า

“ใช่ เจ้ามากับข้า”

ที่ภูเขา การสอบรอบสามจบลงแล้ว ทีแรกมีผู้เข้าสอบ 2,000 คน แต่ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึง 300 คน เสียงคนพูดคุยไม่ได้ดังลั่นแบบแต่ก่อน

เสี่ยวเฉินเป็นคนมาถึงคนแรกและได้ 30 คะแนน เสี่ยวฮั่นมาใน 30 นาทีและได้ 20 คะแนน เขาบาดเจ็บและดูเหมือนกับว่าจะใช้กำลังออกมาจากค่ายกล เสี่ยวหวังเอ๋อออกมาในหนึ่งชั่วโมงและได้ 10 คะแนน

ผู้เข้าสอบที่เหลือแทบจะผ่านไม่ทันเวลาและได้ไม่กี่คะแนนเท่านั้น เสี่ยวเฉินในตอนนี้มีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งนำทุกคน น่าเสียดายที่เขาสอบตกรอบที่แล้ว มิเช่นนั้นเขาจะได้คะแนนเต็ม

ถึงเวลาพลบค่ำ ศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาเหลือบมองเสี่ยวเฉิน

“พวกเจ้าผ่านแล้วสามรอบ รอบต่อไปค่อนข้างอันตราย ว่าที่ศิษย์ของห้าผู้เฒ่าจะเป็นคนนำเจ้า”

คนเข้าสอบเริ่มตื่นเต้น แม้พวกเขาจะมีวันที่ยากลำบาก พวกเขาก็ดีใจที่จะมีว่าที่ศิษย์ของผู้เฒ่าที่จะนำพวกเขาในรอบสุดท้าย

ไม่นานก็มีแสงกระบี่มาจากยอดเขาและกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม คิ้วของเขาเหมือนกับกระบี่ ดวงตานั้นเปล่งประกายดั่งดวงดาว ร่างกายเปล่งแสงสีขาวจาง ๆ ราวกับเป็นเซียนจากสวรรค์ เหล่าผู้เข้าสอบมองเขาและอึ้ง

ศิษย์สอบคนบนพื้นคารวะเขาด้วยความนับถือ

“ศิษย์พี่ม่อ!”

เขาคือศิษย์หลักของผู้เฒ่าหนึ่งนามว่าม่อหยู เขามองคนรอบ ๆ และพยักหน้า

สิบคนตามมาพร้อมกระบี่ มีทั้งบุรุษและสตรี พวกเขาต่างดูดีในวัยของตัวเอง เจิงหยิงที่มารับเสี่ยวเฉินกับอีกสามคนก็มาที่นี่ด้วย ศิษย์ในทั่วไปต่างคารวะพวกเขา

ผู้มาเยือนใหม่แล่นลงบนพื้นและยืนเรื่องแถว สตรีชุดสีเขียวอ่อนมาเป็นคนสุดท้าย นางมีอายุน้อยที่สุดราว 18 ปีเท่านั้น ศิษย์ในเหล่านี้เรียกนางว่า ‘ศิษย์พี่’ แต่น้ำเสียงมิได้นับถือนัก มันกลับกลายเป็นความถากถาง โดยเฉพาะเหล่าว่าที่ศิษย์ บางคนถึงกับฉุนเฉียวและพูดบางอย่างที่เกินเลย

แต่นางในชุดสีเขียวอ่อนเพียงแค่ขมวดคิ้วและแสร้งเป็นเฉยเมยต่อคำเหล่านั้น ความเศร้าในคิ้วนางลึกล้ำยากจะลบล้าง

เสี่ยวเฉินใจสั่นเมื่อมองนาง เขารู้ว่าสิ่งนี้เป็นเช่นใด ย้อนกลับไปในตระกูลเสี่ยวที่เขาเป็นนายน้อย แต่ข้ารับใช้บางคนยังกล้าดูถูกเขาต่อหน้าต่อตา

ในตอนนี้ มีคนใกล้ ๆ ถามเบา ๆ

“ศิษย์พี่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครน่ะ?”

“ทำไมนางถึงดูเป็นแบบนั้น?”

“นางคือลั่วชางหยาน ศิษย์เพียงคนเดียวของเจ้านิกาย”

“ว้าว! ศิษย์แท้ของเจ้านิกาย! นายจะต้องเก่งแน่ ๆ!”

“ฮื่ม! ไม่ใช่หรอก นางเป็นได้แค่พวกขี้แ…ช่างเถอะ”

เสี่ยวเฉินใจสั่นอีกครั้ง

“ลั่งชางหยาน?”

ต่อมา ศิษย์ในทั่วไปคนหนึ่งได้ก้าวเข้ามาและพูด

“ทุกคนจงฟัง การสอบรอบต่อไปจะใช้เวลาสามวัน เจ้าจะต้องแบ่งกันเป็น 15 กลุ่มที่มีศิษย์พี่ 15 คนเป็นผู้นำ จงจำไว้ว่าผลการสอบจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแต่ขึ้นอยู่กับหัวหน้ากลุ่มด้วยเพราะนี่จะเป็นสิ่งตัดสินว่าพวกเขาจะได้ไปตำหนักม่วงในอนาคตหรือไม่ ดังนั้นจงทำให้ดีที่สุด กลุ่มที่ได้ที่หนึ่งจะได้สิทธิพิเศษซึ่งหัวหน้ากลุ่มจะได้เลือกหนึ่งคนเป็นศิษย์ในได้ทันที”

เมื่อเขาพูดจบ ศิษย์อีกคนพูดต่อ

“ข้าขอแนะนำศิษย์พี่เสียก่อน”

จากนั้นจึงเดินไปยังกลุ่ม 15 คนและเริ่มแนะนำพวกเขาทีละคน

“เขาคือเหวินชิงหยู ศิษย์พี่เหวินจากผู้เฒ่าสี่ ตอนนี้นางมีพลังขอบเขตชำระปราณขั้นหก…”

“เขาคือเจิงหยิง ศิษย์พี่เจิงศิษย์ผู้เฒ่าสาม เขาเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นหก…”

สุดท้ายเขาก็เดินไปที่หน้าม่อหยูและคารวะด้วยรอยยิ้มก่อนจะแนะนำ

“นี่คือศิษย์หลักของผู้เฒ่าหนึ่ง ม่อหยู ศิษย์พี่ม่อมีขอบเขตชำระปราณขั้นเก้าแล้ว!”

เมื่อพูดจบ ทุกคนต่างอุทาน ส่วนม่อหยูนั้นยิ้มราวกับคุ้นชิ้นแล้ว ลั่วชางหยานนั้นดูเหมือนจะถูกศิษย์คนนั้นลืมและยืนนิ่ง เขาชี้นางและพูด

“นางเป็นศิษย์เจ้านิกายชื่อลั่วชางหยาน นางขอบเขตชำระปราณขั้นสี่”

“ว่าไงนะ? ศิษย์เจ้านิกายมีพลังแค่ขั้นสี่รึ?”

คนเริ่มพูดคุยกัน แม้แต่ศิษย์ในธรรมดาบางคนยังมีพลังเหนือว่าขั้นสี่ ลั่วชงหยานมองพื้นไม่พูดอะไร ส่วนศิษย์คนอื่นอย่างเหวินชิงหยูนั้นยิ้มอย่างเย็นชา

ศิษย์ในทั่วไปยกมือขึ้นพูด

“เอาล่ะ ทุกคนเงียบได้แล้ว ตอนนี้ให้เดินไปหาศิษย์พี่ที่พวกเจ้าอยากติดตาม…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบคนจำนวนมากก็รีบไปหาม่อหยูแล้ว ม่อหยูนั้นคุ้นเคยกับเรื่องนี้และเริ่มเลือกผู้เข้าสอบที่คะแนนสูง

บางคนรู้ตัวว่าคะแนนน้อยเกินกว่าจะอยู่กลุ่มม่อหยู พวกเขาจึงเดินกลับไปหาเหวินชิงหยู เจิงหยิง และคนอื่น ๆ ส่วนลั่วชางหยานนั้นไม่มีใครเดินไปหา แม้ว่านางจะเป็นศิษย์เจ้านิกายก็ไม่มีใครอยากจะติดตามคนที่มีพลังขั้นสี่เพราะการสอบรอบนี้จะตัดสินว่าพวกเขาจะได้เข้าสู่นิกายหรือไม่

เสี่ยวหวังเอ๋อเดินเข้าาเช่นกัน เจิงหยิงเห็นนางและยิ้ม

“ศิษย์น้องเสี่ยว เจ้ามาถึงรอบนี้แล้ว”

เสี่ยวหวังเอ๋อยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ศิษย์พี่เจิงหยิง…”

นางก้มศีรษะเดินไปหาม่อหยู รอยยิ้มของเจิงหยิงค่อย ๆ แข็งไป

เสี่ยวหวังเอ๋อกำหมัดและเดินไปข้างหน้า นางกัดฟันหันเดินกลับมาและพูดพร้อมยิ้มหวาน

“ข้าคิดว่าข้าจะยังติดตามการนำของศิษย์พี่เจิงหยิง!”

จากนั้นนางจึงโบกมือให้เสี่ยวเฉินกับเสี่ยวฮั่น

“พวกเจ้าสองคนทำอะไรตรงนั้นน่ะ!?”

“ดี ดี…”

เจิงหยิงยิ้มอ่อน

เสี่ยวฮั่นส่ายหน้าและเดินไปหานาง ส่วนเสี่ยวเฉินยืนนิ่ง ม่อหยูมองเขาและพูด

“ศิษย์น้องตรงนั้นน่ะ มากับข้า”

ทุกคนมองเสี่ยวเฉิน เสี่ยวเฉินมองม่อหยู

“ขออภัย”

เขาเดินไปหาลั่วชางหยานด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่ลั่ว ยินดีที่ได้พบ ข้าชื่อเสี่ยวเฉิน!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด