ตอนที่แล้วบทที่ 88: น่าฉงนยิ่ง เหตุอันใดข้าถึงเอาแต่คิดเรื่องท่านหลินกัน?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 90 – ผู้ภักดีย่อมไม่รับใช้สองนาย ยกเว้นเสียแต่จะเป็นสตรี!

บทที่ 89: มันคืออะไรถ้าไม่ใช่การแย่งชิงบัลลังก์?


[คือว่าลูกขององค์ชายนี้จะต้องเรียกเช่นไรหรือครับ ตอนแปลมันสับสนแปลกๆ เพราะถ้าใช้คำซ้ำกันมันก็แปลกๆ แต่หากแบบนี้เหมาะแล้ว ผมก็จะใช้แบบนี้ตลอด ส่วนถ้าหากมีคำแนะนำอะไรสามารถเขียนไว้ตรงคอมเมนต์ได้ตลอดเลยครับ พร้อมแก้ไข เพราะนี้ก็เป็นเรื่องแรกที่ผมแปลแนวย้อนยุค รู้เลยว่าแค่คำว่าฝ่าบาทผมก็น่าจะใช้ผิดบ่อยมาก]

บทที่ 89: มันคืออะไรถ้าไม่ใช่การแย่งชิงบัลลังก์?

ชายชราที่รู้จักกันในนามผู้อาวุโสซุนได้จิบไวน์และส่ายศีรษะพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะเข้าใจผิดได้อย่างไรกัน? ข้าพบเจอสตรีมาทั้งชีวิต ข้าสามารถบอกได้เลยว่าแม่นางหรูซวงกำลังทุกข์ทรมานจากการจมปลักอยู่ในความรัก”

คุณชายใหญ่คล้ายถูกโจมตีเข้าจุดอ่อน คนที่เขาไม่อาจหยุดคิดถึงกลับมีคนรัก! หรูซวงมีคนอื่นอยู่แล้ว และนั่นไม่ใช่เขา!

เขาจึงถามอย่างเร่งรีบ “คนผู้นั้นเป็นใครกัน?”

หลังจากคิดได้บางอย่าง เขาก็เอ่ยถามอีกครั้ง “กัวเส้าส้วยผู้เป็นศิษย์น้องของนางหรือ?”

ผู้อาวุโสซุนส่ายศีรษะตอบ “ข้าไม่รู้แน่ชัด แต่ข้าบอกได้เลยว่าไม่ใช่พวกเราที่นี่ มิฉะนั้นแม่นางหรูซวงคงไม่ดูทนทุกข์ทรมานจากความรักเฉกเช่นนี้ ความรักของนางดูคล้ายกับกำลังโหยหาบางสิ่งที่ขาดหายไป”

“คนผู้นั้นเป็นใครกัน?”

“ถ้าเขากล้าขโมยสตรีของคุณชายใหญ่ มันคงแส่หาความตายเป็นแน่แท้!”

“เราต้องค้นหาว่ามันเป็นใครและสั่งสอนบทเรียนให้มัน!”

ฝูงชนต่างโห่ร้อง พวกเขาสนับสนุนคุณชายใหญ่อย่างถึงที่สุด แต่คุณชายใหญ่ไม่ได้ยินเสียงพวกเขาอีกต่อไปแล้ว

“วีรบุรุษทั้งหลาย ข้ารู้สึกไม่สบายนัก ข้าขอตัวกลับห้องไปก่อน เชิญพวกท่านเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงตามสบายเถิด”

หลังจากกล่าวคำอำลาแล้ว เขาก็จากไปด้วยความสับสน

ในขณะเดียวกัน รายงานโดยละเอียดของหลินเป่ยฟานก็ถูกส่งไปยังมือของท่านอ๋อง

หลินเป่ยฟานอายุ 18 ปี เป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดในการสอบจักรพรรดิเมื่อเร็วๆ นี้

เขาเป็นผู้ได้รับเกียรติคนแรกในอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ที่ได้คะแนนสูงสุดสามครั้งติดต่อกันในการสอบของจักรพรรดิ เขาได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินี จนได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นขุนนางระดับห้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนางในสถาบันจักรพรรดิ

เขาได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประชุมราชสำนักช่วงรุ่งสางทุกวันและได้รับรางวัลมากมายจากจักรพรรดินี

แม้ว่าเขาจะทะเลาะกับสหายที่ร่วมทำงานและขุนนางบ่อยครั้ง แต่เขาก็มักจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเสมอ เขาเป็นขุนนางที่ไร้ยางอาย ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าฉ้อราษฎร์บังหลวงโดย ถึงขั้นยักยอกเงินห้าถึงหกแสนตำลึงตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้ง ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ขุนนางและสร้างความโกรธแค้นในหมู่ราษฎร

หลังจากอ่านรายงานนี้ ท่านอ๋องก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “เขาเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นมากจริงๆ! ยังหนุ่มยังแน่น แต่เขาก็ประสบความสำเร็จมากแล้ว ไม่เพียงแต่มีความสามารถเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้โดดเด่นในราชสำนักด้วย...กระทั่งข้าก็คงไม่สามารถเทียบได้เลย!”

“ท่านอ๋อง หลินเป่ยฟานผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ! เขาไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังได้รับการยกย่องอย่างสูงจากจักรพรรดินีอีกด้วย! ถ้าเราสามารถพาเขาเข้ามาฝั่งของเราได้ ท่านจะได้พันธมิตรที่มีค่าอย่างไม่ต้องสงสัย นี่จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับความทะเยอทะยานของท่าน!” ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างาม สวมชุดยาวแบบนักปราชญ์ ถือพัดขนนกกระเรียนและสวมหมวก เขาได้กล่าวออกมาด้วยความเคารพ

ชายผู้นี้เป็นกุนซือของท่านอ๋อง ซึ่งเขาชื่นชมกุนซือผู้ยิ่งใหญ่จูกัดเหลียง ขงเบ้ง จึงมักจะเลียนแบบชุดของอีกฝ่ายและขนานนามตนเองว่าขง

หลังจากทำงานให้กับท่านอ๋องมานานกว่ายี่สิบปี เขาก็เป็นที่รู้จักในด้านการเป็นที่ปรึกษา จนได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากท่านอ๋อง

ท่านอ๋องที่รู้สึกสนใจก็ได้กล่าวว่า “ท่านขง ท่านพูดถูก! ราชสำนักของทางเราขาดผู้มีฝีมือไปมาก ถ้าเราสามารถนำเขามาอยู่ใต้ปีกของเราได้ มันคงจะดีสำหรับความทะเยอทะยานของเรา แต่ชายหนุ่มที่ฉลาดอย่างเขาคงไม่น่าจะต้องการรับใช้ข้า เช่นนั้นเราจะโน้มน้าวเขาได้ยังไงกัน?”

“ท่านอ๋อง อย่างที่ท่านกล่าวมา เขาเป็นคนฉลาด เขาย่อมตระหนักดีว่าราชวงศ์ยามนี้กำลังมีปัญหา หากเขาต้องการความปลอดภัยและความสำเร็จในช่วงเวลานี้ เขาต้องเลือกผู้ปกครองที่ฉลาดที่จะเข้ารับใช้ ซึ่งท่านคือผู้ปกครองที่ปราดเปรื่อง นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ข้ามั่นใจว่าด้วยไหวพริบและสติปัญญาของท่าน ท่านสามารถโน้มน้าวให้เขารับใช้เราได้!” ท่านขงลูบเคราของตนและยิ้มอย่างมั่นใจ

"น่าทึ่งมาก! กล่าวได้ดี ท่านขง!" ท่านอ๋องยิ้มออกมาด้วยความยินดี

“เช่นนั้นก็ส่งโม่หรูซวงและศิษย์น้องของนางไปติดต่อเขา พวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลินเป่ยฟาน เมื่อถึงเวลา เราก็จะสามารถนำเขาเข้ามารับใช้เราได้!”

"ยอดเยี่ยม! เราจะทำตามแผนของท่าน!" ท่านอ๋องอุทานออกมา

ด้วยเหตุนี้ โม่หรูซวงที่เพิ่งกลับมาไม่ถึงสองวันก็ถูกเรียกตัวโดยท่านอ๋อง

“ข้ารับใช้ผู้อ่อนน้อมถ่อมตนของท่านขอคำนับท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องทรงมีอายุนับพันปี!”

"ฮ่าฮ่าฮ่า! วีรบุรุษทั้งสอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้น โปรดนั่งลงเถิด!”

ท่านอ๋องหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่และกล่าวต่อ “เจ้าทั้งคู่เพิ่งรีบกลับมาจากเมืองหลวงและควรพักผ่อนสักสองสามวัน แต่มีเรื่องเร่งด่วนอยู่ในมือ ซึ่งมีเพียงเจ้าทั้งคู่เท่านั้นที่สามารถช่วยได้ ดังนั้นข้าต้องรบกวนเจ้าทั้งสองอีกครั้ง!”

“ได้โปรดพูดมาได้เลยท่านอ๋อง เราพร้อมตายเพื่อหน้าที่” โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง

ท่านอ๋องกล่าวอย่างเคร่งเครียดไปว่า “ก่อนหน้านี้ เจ้าทั้งคู่ได้กล่าวถึงสุดยอดขุนนางระดับสูงคนใหม่ หลินเป่ยฟาน จากการตรวจสอบ ข้าพบว่าเขาเป็นคนเก่งที่หาได้ยากจริงๆ! หากมีคนที่มีทักษะเช่นนี้ที่จะช่วยข้า ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้าก็จะอยู่ไม่ไกล! ดังนั้นข้าจึงอยากขอให้เจ้าทั้งสองเกลี้ยกล่อมหลินเป่ยฟานและทำให้เขาเข้ามาฝ่ายข้า เจ้าทั้งสองยินดีที่จะไปหรือไม่?”

“ท่านอ๋อง เราจะไม่ล้มเหลวในภารกิจนี้แน่!” โม่หรูซวงและศิษย์น้องของนางกล่าวตอบ

เมื่อกลับถึงบ้าน พวกเขาก็เก็บของและออกเดินทาง ในยามนั้นเอง ก็ได้มีผู้หนึ่งไล่ตามพวกเขาไปอย่างลับๆ

“โม่หรูซวงกลายเป็นเช่นนี้เพราะการเดินทางไปยังเมืองหลวง แสดงว่าคนที่นางต้องการพบเจอน่าจะอยู่ในเมืองหลวง ข้าต้องตามนางไปดูว่าคนๆ นั้นเป็นผู้ใดกัน”

ทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขาเดินทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและในที่สุด พวกเขาก็มาถึงเมืองหลวงหลังผ่านไปไม่กี่วัน

จากนั้นพวกเขาก็พบกับหลินเป่ยฟานอีกครั้ง

หลินเป่ยฟานรู้สึกสับสนเมื่อเห็นพวกเขา “เจ้าทั้งคู่ควรจะกลับไปเหอเป่ยเหนือแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเจ้ากลับมาทำไมเหรอ?”

“ท่านหลิน เรากลับไปกันแล้ว! แต่เรามีธุระที่ต้องจัดการในเมืองหลวง ดังนั้นเราจึงต้องรีบกลับมา!” โม่หรูซวงที่เห็นคนที่นางปรารถนาจะพบเจอก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

กัวเส้าส้วยก็รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ลิ้มรสอาหารอีกครั้ง

แม้ว่ามันจะเป็นอาหารเน่าเสีย เขาก็พร้อมเต็มใจที่จะกินมัน

“โอ้ เป็นเช่นนั้นเอง!” หลินเป่ยฟานยิ้ม “ข้าคิดว่าข้าจะไม่ได้พบพวกเจ้าทั้งคู่อีกนานเสียอีก! แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าก็คงต้องขอเชิญพวกเจ้าทั้งสองมากินดื่มเถิด เดี๋ยวจะเป็นการไม่ให้เกียรติกันเสียเปล่าๆ!”

“เราขอตอบตกลงด้วยความยินดี!” โม่หรูซวงและศิษย์น้องของนางตอบรับพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากที่พวกเขารับประทานอาหารที่รอคอยมานาน ก็ถึงยามราตรี

พวกเขาพาหลินเป่ยฟานไปที่ห้องเรียน ปิดประตูและกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ท่านหลิน แท้จริงแล้วเรามาหาท่าน!”

"มาหาข้าหรือ?" หลินเป่ยฟานถึงกับรู้สึกสับสน!

โม่หรูซวงเริ่มกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “ท่านหลิน เราไม่เพียงแต่เป็นศิษย์ของสำนักดาบเหล็กเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ติดตามของท่านอ๋องเหอเป่ยแห่งตอนเหนืออีกด้วย! อาณาจักรอยู่ในความโกลาหล ท่านอ๋องคือผู้มีน้ำใจและเป็นห่วงราษฎร เขาต้องการยุติความวุ่นวายนี้และให้ราษฎรอยู่อย่างสงบสุข มีอาหารเพียงพอที่จะกิน! เราเห็นความหวังในตัวเขา ดังนั้นเราจึงให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อเขา!”

“หลังจากที่เรากลับมา เราแนะนำชื่อของท่านแก่ท่านอ๋อง ซึ่งเขาก็ยินดีมาก! เขารับรู้ว่าท่านไม่เพียงแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หายาก แต่ยังเป็นคนที่มีอุดมคติเช่นเดียวกับเขา ดังนั้นเขาจึงต้องการเชิญท่านเข้าร่วมกับเขา มาพยายามเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ด้วยกัน!”

กัวเส้าส้วยพยักหน้าอย่างแรง

ดวงตาของหลินเป่ยฟานดูแปลกๆ ในขณะที่เขามองไปที่ทั้งคู่ เขาลอบมองทั้งสองอย่างประหลาด จนโม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยรู้สึกไม่สบายใจพอสมควร

“ทำไมท่านถึงมองพวกเราแบบนั้นเล่าท่านหลิน?”

หลินเป่ยฟานหัวเราะและกล่าวตอบว่า “อา เข้าใจแล้ว เจ้าเป็นคนของอ๋องเหอเป่ยทางตอนเหนือ โดยมาที่นี่เพื่อชักชวนให้ข้าทรยศต่อราชสำนักและเข้าร่วมการกบฏเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ ข้าพูดถูกต้องไหม?”

ทันทีที่พูดถึงการ ‘แย่งชิงบัลลังก์’ สีหน้าขอกัวเส้าส้วยและโม่หรูซวงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เป็นที่ทราบกันดีว่าคำสี่คำนี้เป็นสิ่งที่ร้ายแรงมาก เพียงการพูดออกมาอย่างแผ่วเบาก็อาจทำให้ศีรษะเสียไปได้!

หลายคนจึงมักหลีกเลี่ยงไม่พูดคำนี้กัน กัวเส้าส้วยจึงรีบแย้งว่า “หลินเป่ยฟาน เจ้ากล้าพูดได้ยังไงว่านี้มันคือการแย่งชิงบัลลังก์?”

"แล้วมันจะเป็นอะไรได้อีก?" หลินเป่ยฟานถามด้วยความสับสน “พวกเจ้าทุกคนบอกว่าอาณาจักรกำลังล่มสลายและความโกลาหลกำลังเกิดขึ้น…ความโกลาหลนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไง? มันก็คงเป็นเพราะราชสำนักไม่มีความสามารถ จัดการบริหารบ้านเมืองได้ไม่ดี จนนำไปสู่ความโกลาหลนี้!”

“อีกทั้งพวกเจ้ายังบอกด้วยว่าอ๋องผู้นี้เป็นผู้มีจิตใจที่เมตตา ตั้งใจที่จะยุติความวุ่นวายนี้เพื่อให้ราษฎรสามารถอยู่อาศัยและทำงานได้อย่างสงบสุข… แล้วเราจะยุติความวุ่นวายนี้ได้อย่างไร? เราก็ต้องล้มล้างราชสำนักและกฎของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันทิ้งลง เพื่อสร้างกฎใหม่ขึ้น!”

“หลังจากโค่นล้มราชสำนักแล้ว เขาต้องกลายเป็นจักรพรรดิด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะใช้กฎใหม่ได้ยังไงกัน? เราจะเพียงคอยและให้มีผู้ปกครองอื่นมาปกครองหรือ? ข้าไม่เชื่อว่าอ๋องที่พวกเจ้ากล่าวถึงจะไม่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้อยู่!”

“บอกข้ามาเถอะ ถ้านี้ไม่ใช่การแย่งชิงบัลลังก์ มันคืออะไร?”

ทั้งสองเงียบไปโดยไม่โต้เถียงอะไรออกมา “ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจอย่างไร แต่ทุกสิ่งที่เราทำก็เพื่อประโยชน์ของราษฎรในโลกใบนี้! ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นจักรพรรดิ ตราบใดที่เขาสามารถทำให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีได้ เขาคือจักรพรรดิที่ดีและเราก็จะสนับสนุนเขา! ท่านอ๋องเหอเป่ยแห่งตอนเหนือคือผู้ปกครองที่รู้แจ้งและปราดเปรื่องที่สุดแล้ว!”

กัวเส้าส้วยกล่าวออกมาอย่างจริงจัง

โม่หรูซวงจึงรีบแนะนำว่า “ท่านหลินเป่ยฟาน จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันโง่เขลานัก ขุนนางโกงกินจนมีอำนาจเหนือราชสำนัก ราษฎรกำลังตกทุกข์ได้ยาก! ท่านอาจไม่เห็นมันในเมืองหลวง แต่นอกเมืองหลวงผู้คนต่างเต็มไปด้วยความคับข้องใจ! ท่านอ๋องหลายคนได้เกณฑ์ทหารและม้า พร้อมที่จะสู้รบกันทุกเมื่อ! โลกใบนี้ไม่ขาดแคลนผู้คนที่ทะเยอทะยาน ความโกลาหลกำลังจะปะทุขึ้น!”

“ท่านอยู่ในตำแหน่งที่อันตราย ต้องเผชิญกับขุนนางโกงกินและขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่เพียงแต่ท่านจะตกอยู่ในอันตรายจากการที่จะสูญเสียศีรษะของท่านได้ตลอดเวลา แต่ท่านจะยังไม่อาจสามารถใช้ความสามารถที่ท่านมีได้อย่างเต็มที่อีก เช่นนั้นท่านยังยินดีที่จะอยู่ที่นี่อีกหรือ? มันจะไม่เป็นการดีกว่าหรือที่จะเข้าร่วมกับผู้ปกครองอาณาจักรที่ฉลาดและเก่งกาจเพื่อตัวท่านเอง! ท่านอ๋องเป็นผู้ปกครองที่มีคุณธรรม พระองค์ทรงห่วงใยราษฎรและสนับสนุนผู้มากความสามารถ!”

“ดังนั้น ท่านหลินเป่ยฟาน มาร่วมกับเราเถิด! ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของท่าน ท่านจะได้รับการยกย่องอย่างสูงจากท่านอ๋อง! ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กองอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว!”

หลินเป่ยฟานโบกแขนเสื้ออย่างไม่พอใจนัก “อย่าพูดอะไรอีกแล้วตามข้ามา!” หลินเป่ยฟานพาทั้งสองไปที่ห้องหนึ่ง ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยก็ตกตะลึงกับห้องที่เต็มไปด้วยสมบัติ ทองคำและเงิน

“ข้าขอบอกพวกเจ้าเลยว่า สมบัติ ทองคำและเงินเหล่านี้ล้วนถูกมอบให้ข้าโดยจักรพรรดินี!” หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างภาคภูมิใจอีก “ในจำนวนนั้นมีทองคำหนึ่งหมื่นตำลึง เงินหนึ่งแสนตำลึง ไข่มุกนัยน์ตามังกรหนึ่งร้อยเม็ด โมราละเอียดหนึ่งร้อยกรัม หยกละเอียด 36 ชิ้น…มีเครื่องประดับและของตกแต่งอีกนับไม่ถ้วน!”

“ข้าขอถามพวกเจ้าว่าถ้าข้าเข้าร่วมกับอ๋องเหอเป่ยทางตอนเหนือ เขาสามารถให้สิ่งเหล่านี้แก่ข้าได้หรือไม่?”

“เอ่อ ไม่!” ทั้งสองตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“ตามข้ามาอีกครั้ง!” หลินเป่ยฟานเปิดอีกห้องหนึ่ง โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยถึงกับตื่นตะลึงอีกครั้ง ห้องนี้เต็มไปด้วยผ้าไหมและผ้าแพร

"ของพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่จักรพรรดินีทรงมอบให้แก่ข้า!" หลินเป่ยฟานกล่าวอีกครั้งอย่างภาคภูมิใจ “ที่นี่มีผ้าไหมและผ้าแพรกว่าร้อยชิ้นแล้ว อีกทั้งยังมีผ้าหายากทุกชนิด ถ้าข้าทำมันเป็นเสื้อผ้าและเปลี่ยนมันทุกวัน ต่อให้ใส่เป็นสิบปีก็ยังไม่มีวันหมด!”

“ข้าขอถามพวกเจ้าว่าถ้าข้าเข้าร่วมกับอ๋องเหอเป่ยทางตอนเหนือ เขาสามารถให้สิ่งเหล่านี้แก่ข้าได้หรือไม่?”

“อืม ไม่” ทั้งสองตอบด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นยิ่งขึ้น

“ตามข้ามาอีกครั้ง!”

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
5 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด