ตอนที่แล้วบทที่ 76: เหล่าขุนนางขอโทษหลินเป่ยฟาน?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 78: เขาไม่เพียงแต่เป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ทรยศต่ออาณาจักรอีกด้วย!

บทที่ 77: โลกไม่สามารถปล่อยให้ผู้ที่มีอำนาจเช่นนี้มีอยู่จริงได้!


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 77: โลกไม่สามารถปล่อยให้ผู้ที่มีอำนาจเช่นนี้มีอยู่จริงได้!

เนื่องจากได้เลื่อนตำแหน่ง หลินเป่ยฟานจึงมีความสุขมาก คืนนั้นเขาและหลี่ซือซือกำลังเพลิดเพลินกับจันทราและดื่มอย่างมีความสุข ทันใดนั้น ร่างสีขาวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา เป็นไป๋ ฉิงเสวียน ไป๋ กวนอิม สตรีที่เป็นเหมือนเทพธิดาหรือปีศาจ

หลี่ซือซือสะดุ้งตกใจในตอนแรก แต่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างยินดีและโค้งคำนับเล็กน้อย

“ขอต้อนรับท่านหญิงไป๋ กวนอิม!” เสียงเย็นชาได้ดังออกมาจากไป๋ฉิงเสวียน “เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้นหรอก”

ในทางกลับกัน หลินเป่ยฟานก็กลอกตาและกล่าวออกมาโดยไม่สนอะไรนัก “ทุกครั้งที่ท่านปรากฏตัวมันเหมือนวิญญาณนัก ไร้ซึ่งคำเตือน!”

ไป๋ฉิงเสวียนได้แต่กล่าวตอบว่า “ขอโทษที พอดีข้าชินแล้ว คราวหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้”

หลินเป่ยฟานกลอกตาอีกครั้ง เพราะมันไม่มีความขอโทษในน้ำเสียงของนางเลย แต่เขาจะทำอะไรได้? เขาไม่สามารถเอาชนะไป๋ กวนอิมได้

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้สร้างสิ่งประดิษฐ์มากมายที่เป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรและราษฎร เช่นเรือเหล็กขนาดยักษ์ที่สามารถลอยอยู่บนน้ำ ลูกโป่งที่สามารถบินได้บนท้องฟ้าและข้าวพันทางที่สามารถเพิ่มการผลิตได้ …”

หลินเป่ยฟานถึงกับตกตะลึง “ท่านรู้มากขนาดนี้ได้ยังไง?”

“ข้ามีแหล่งข่าวของข้า” ไป๋ฉิงเสวียนกล่าวด้วยความสงสัย “เจ้ามีความคิดประหลาดมากมายเช่นนี้ได้ยังไง? พวกมันสามารถทำได้จริงหรือ?”

หลินเป่ยฟานมองไปที่ไวน์บนโต๊ะและยิ้ม “เชิญดื่มและค่อยสนทนาเรื่องนี้กันเถอะ”

ไป๋ฉิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า “ได้”

นางหายไปจากที่นั่งหินของนางและปรากฏตัวอีกครั้งในจุดอื่น

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเป่ยฟานได้พบกับไป๋ฉิงเสวียนอย่างใกล้ชิด แต่เขาแก็ทบจะไม่สามารถอธิบายลักษณะและโครงร่างของนางได้เลย ดูเหมือนว่าจะมีชั้นหมอกล้อมรอบนางที่เขามองไม่เห็น ทำให้นางเป็นผู้หญิงที่ลึกลับและน่าหลงใหลยิ่ง

หลี่ซือซือรินไวน์ให้ไป๋ฉิงเสวียนแล้ว และหลังจากดื่มหมด นางก็ถามหลินเป่ยฟานด้วยความสงสัย “ทำไมเรือหนักที่ทำจากเหล็กจึงสามารถลอยอยู่บนน้ำได้กัน?”

“เพราะน้ำมีแรงลอยตัว จึงทำให้มันพยุงขึ้นได้” หลินเป่ยฟานหัวเราะ “ยิ่งแรงลอยตัวมากเท่าไร วัตถุก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นก็สามารถลอยน้ำได้ การลอยตัวในน้ำไม่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักหรือวัสดุของวัตถุ แต่เกี่ยวข้องกับปริมาณของน้ำที่ถูกแทนที่โดยวัตถุ ยิ่งน้ำถูกแทนที่มากเท่าไร การลอยตัวของวัตถุก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นโดยธรรมชาติ เหล็กจึงสามารถลอยอยู่บนน้ำได้…”

หลินเป่ยฟานอธิบายการลอยตัวของน้ำในแบบง่ายๆ

“โอ้~” ไป๋ฉิงเสวียนพยักหน้าราวกับเข้าใจ “แล้วทำไมบัลลูนลมร้อนจึงบินได้?”

“มันเป็นหลักการเดียวกัน เราอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอากาศ ซึ่งก็เหมือนกับน้ำ น้ำมีการลอยตัวและอากาศก็เช่นกัน ข้าเรียกมันว่าการลอยตัวของอากาศ…”

หลินเป่ยฟานอธิบายหลักการทำบัลลูนอย่างละเอียด “แล้วข้าวพันทางสามารถเพิ่มผลผลิตได้จริงหรือ? มันสามารถแก้ปัญหาปากท้องของราษฎรได้หรือไม่?”

“ได้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของหลักการสุพันธุศาสตร์ ให้ข้าอธิบายให้ท่านฟังเอง…” หลินเป่ยฟานอธิบายสั้นๆ ถึงแนวคิดของข้าวพันทาง

ไป๋ฉิงเสวียนพยักหน้า รู้สึกเหมือนนางได้เปิดประตูสู่โลกใหม่และพลิกความเชื่อก่อนหน้านี้ทั้งหมดของนางออกไปจนสิ้น หลี่ซือซือชื่นชมหลินเป่ยฟานนัก ทั้งมีความรู้และฉลาดมาก! หลังจากอธิบายทุกอย่างแล้ว เวลายามนี้ก็ดึกมาก หลี่ซือซือหลับไปโดยไม่รู้ตัว หลินเป่ยฟานจึงอุ้มนางไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน

ไป๋ฉิงเสวียนถอนหายใจและกล่าวว่า “การสนทนาสั้นๆ กับนักปราชญ์ย่อมดีกว่าการร่ำเรียนสิบปี ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะมีความจริงและความรู้ที่ลึกลับมากมายซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ยิ่งข้ารู้มากเท่าไร ข้าก็ยิ่งรู้สึกโง่มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งข้าแข็งแกร่งมากเท่าไร ข้าก็ยิ่งรู้สึกเล็กลงเท่านั้น”

หลินเป่ยฟานหัวเราะ “ท่านพูดถูก ชีวิตมีจำกัด แต่ความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่ควรทระนงตนและคิดอยู่ในกรอบ”

“ข้ามีคำถาม เจ้าได้ความรู้แปลกๆ เหล่านี้มาจากไหนกัน?” ไป๋ ฉิงเสวียนเอ่ยถาม

หลินเป่ยฟานตอบอย่างไร้ยางอายว่า “ข้าเรียนรู้ด้วยตนเอง ร่ำเรียนด้วยตนเอง”

“ข้ามีคำถามอีกหนึ่ง ในเมื่อเจ้าต้องหนีไปเมื่อไรก็ได้ ทำไมเจ้าถึงทำหลายอย่างเช่นนี้?” ไป๋ ฉิงเสวียนเอ่ยถาม

“เพราะเหตุนี้ข้าถึงต้องทำต่างหาก!” หลินเป่ยฟานตอบกลับไป

"อะไรนะ? ทำไมกันเล่า?” ไป๋ฉิงเสวียนสับสน

หลินเป่ยฟานปิดบังใบหน้าของเขาและกล่าวตอบไปว่า “เพราะจักรพรรดินีทำดีกับข้า แต่ข้าได้กระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงมากมายลับหลังนาง ดังนั้นข้าจึงหวังว่าเมื่อข้าต้องหนีไป นางจะพิจารณาสิ่งที่ข้าทำที่ผ่านมาของข้าและปล่อยข้าไป”

ไป๋ฉิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ สองคนนี้เหมือนกับศัตรูกันก็ไม่ปาน แอบดูแลซึ่งกันและกัน แต่ก็ถูกบังคับให้ทำหน้าที่เหมือนขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงและผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ เนื่องจากแรงกดดันโดยรอบ

ทันใดนั้นนางก็อยากรู้ว่าสีหน้าของหลินเป่ยฟานจะเป็นเช่นไรหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย?

“อันที่จริงมีเหตุผลอื่นอีก!” หลินเป่ยฟานกล่าว

“มันคืออะไรกันเล่า?” ไป๋ ฉิงเสวียนเอ่ยถาม

“ข้าต้องการทิ้งร่องรอยไว้บนโลกนี้เพื่อพิสูจน์ว่าข้าอยู่ที่นี่!” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ

เขามาถึงโลกใหม่และเขาก็มีโอกาสอยู่ เขาจึงต้องการทิ้งบางสิ่งไว้ข้างหลัง เพื่อพิสูจน์ว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว! บางทีวันหนึ่ง ผู้คนอาจเรียกเขาว่าบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ เพราะเขานำวิทยาศาสตร์มาสู่โลกใบนี้

####

บุปผาสองดอกเบ่งบาน แต่ละดอกมีกิ่งก้านของมันเอง

พวกเขาสองคนไปที่ประตูดาบเหล็กในเมืองหลวง ทว่ายังคงไม่สามารถหาวีรบุรุษแห่งรัตติกาลได้ แม้จะใช้ความพยายามมาหลายวันก็ตาม ราวกับว่าอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างสมบูรณ์โดยไม่เหลือร่องรอยเลย

ในร้านอาหาร กัวเส้าส้วยกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ศิษย์พี่หญิง ท่านคิดว่าวีรบุรุษแห่งรัตติกาลออกจากเมืองหลวงไปแล้วหรือ? ตามข้อมูลที่เรารวบรวมมา เขาไม่ปรากฏตัวมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว!”

โม่หรูซวงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เป็นไปได้! แต่ตามแหล่งข่าวของเรา ในที่ต่างๆ เราก็ไม่พบร่องรอยของวีรบุรุษรัตติกาลเช่นกัน!”

"เช่นนั้นเราควรจะทำอะไรต่อดี?" กัวเส้าส้วยถามด้วยความกังวล

“ไว้เฝ้าดูกันอีกสองวันเถอะ! ถ้าเรายังหาเขาไม่เจอ เราก็ทำได้แค่กลับไป!” โม่หรูซวงกล่าว

“เฮ้อ เราไม่มีทางเลือกแล้วสินะ!” กัวเส้าส้วยถอนหายใจ

ในขณะนั้นเอง โม่หรูซวงก็นึกถึงเรื่องของหลินเป่ยฟานขึ้นมาได้ นางจึงกล่าวว่า “ยามนี้เรามีเวลาแล้ว ทำไมเราไม่ไปเยี่ยมหลินเป่ยฟานสักหน่อยล่ะ? เราจะได้รู้จักเขามากขึ้นและดูว่าเขาจะมีประโยชน์กับท่านอ๋องหรือไม่”

“อะไรนะ…ไปเยี่ยมเขาเหรอ?” กัวเส้าส้วยไม่เต็มใจนัก

ครั้งก่อนที่พวกเขาพบกัน เขาถูกหลินเป่ยฟานบดขยี้จนไม่สามารถแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นได้ หากพวกเขาพบกันอีกครั้ง เขาอาจจะถูกทุบตีเป็นชิ้นๆ ในไม่กี่วินาที

โม่หรูซวงก็กล่าวออกมาอีกว่า “ศิษย์น้อง จงอย่าหุนหันพลันแล่น เพราะธุรกิจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด!”

“ขอรับศิษย์พี่หญิง ข้าน้อมรับฟัง!” กัวเส้าส้วยได้แต่ตอบเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจ

โม่หรูซวงเรียกเสี่ยวเอ้อมาจ่ายเงินและขอที่อยู่ของหลินเป่ยฟาน หวังว่าเขาจะช่วยพวกนางได้

“ท่านกำลังมองหาสุดยอดบัณฑิตคนใหม่หลินเป่ยฟานหรือ?” เสี่ยวเอ้อรู้สึกประหลาดใจยิ่ง

“คนที่เราตามหาชื่อหลินเป่ยฟาน ทำไมเขาถึงเป็นนักสุดยอดบัณฑิตคนใหม่ได้เล่า?” โม่หรูซวงถามด้วยความสับสน

“เพราะเขาเป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดของปีนี้ พวกท่านไม่รู้หรอก?” เถ้าแก่ร้านถามด้วยความประหลาดใจ

ทั้งสองส่ายศีรษะ พวกเขาทั้งคู่เป็นคนของโลกแห่งวรยุทธ์ เรื่องของราชสำนักมันไกลเกินไปสำหรับพวกเขา และพวกเขาก็รู้เพียงเรื่องพื้นฐานบางอย่างเท่านั้น

“เจ้าช่วยบอกข้าถึงเรื่องบัณฑิตที่ทำคะแนนสูงสุดอย่างหลินเป่ยฟานได้ไหม? เรามาจากนอกเมืองและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากนัก!” โม่หรูซวงหยิบเงินออกมาอย่างใจเย็น

“แน่นอน แน่นอน!” เถ้าแก่ร้านรีบรับเงินมาและกล่าวไปว่า “เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องผู้ทำคะแนนสูงสุด หลินเป่ยฟาน เขามีความสามารถ มีความรู้และหล่อเหลาอย่างแท้จริง! เขาทำคะแนนได้ซ้อนกันสามครั้งในการสอบของจักรพรรดิตั้งแต่อายุยังน้อย มีเด็กสาวนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงที่ต้องการแต่งงานกับเขา! ท่านรู้หรือไม่ว่าเขายังเคยไปเยี่ยมเยือนหอนางโลมที่มีชื่อเสียงของเรา เรือนร้อยบุปผา? เดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“เกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?”

โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยทั้งสองถามออกมาอย่างพร้อมเพรียง เจ้าของร้านตบต้นขาของเขาด้วยความอิจฉาและกล่าวว่า “นางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงของเรา หลี่ซือซือได้หลงใหลในความสามารถและรูปลักษณ์ของเขา จนนางได้คิดจะติดตามเขาไป! นางถึงขั้นใช้เงินเพื่อซื้ออิสรภาพของนางและนี่ก็กลายเป็นเรื่องราวที่ทุกคนลือกันให้ทั่วเมืองหลวง!”

หัวใจขอกัวเส้าส้วยถึงกับสั่นในขณะที่เขาฟัง ผู้ทำคะแนนสูงสุดที่ทำคะแนนได้สามครั้งซ้อนในการสอบของจักรพรรดิ มีความสามารถ มีความรู้และหล่อเหลา! สาวๆ นับไม่ถ้วนในเมืองหลวงต่างต้องการแต่งงานกับเขา! อีกทั้งยังมีนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงต้องการติดตามเขาอย่างฟุ่นเฟือนอีก!

ให้ตายเถอะ…ขนาดเขายังไม่ได้พบอีกฝ่ายเลย เขาก็รู้สึกตนเองด้อยค่าอีกแล้ว!

“ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ทำคะแนนสูงสุดผู้นี้ของเรายังเป็นที่ชื่นชอบของจักรพรรดินีด้วย!”

เถ้าแก่กล่าวด้วยดวงตาสีแดงก่ำ “เพียงสองวันหลังจากการที่ทำคะแนนได้สูงสุด เขาก็ได้รับรางวัลเป็นคฤหาสน์หรูหราจากจักรพรรดินี! คฤหาสน์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงและมีมูลค่า 200,000 ตำลึง ซึ่งแม้แต่คนร่ำรวยก็อาจไม่สามารถซื้อได้!”

“เขายังได้รับรางวัลเป็นรถม้าเมฆมงคลสีม่วงทอง ที่เป็นเหมือนเรือนหลังเล็กๆ ที่หรูหราอีก มันมีอาชาเหงื่อโลหิตดึงอยู่สองตัว ช่างเป็นสิ่งที่งดงามมากจริงๆ!”

“นอกจากนี้เขายังมักจะได้รับรางวัลเป็นเงินและทอง ผ้าไหมและผ้าแพร ไวน์ชั้นเลิศและอีกมากมาย เขาไม่เคยขาดเหลืออะไรเลย!”

“ว่ากันว่าจักรพรรดินีกังวลเรื่องอาหารของเขา จึงให้ครัวหลวงส่งอาหารมาให้เขาทุกวัน! ไก่ เป็ด ปลาและส่วนผสมชั้นยอดอื่นๆ ที่มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่ได้กิน ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน!”

กัวเส้าส้วยิิ่งรู้สึกปวดใจ เขาดูดีกว่า เขามีความสามารถมากกว่า เขาและเป็นที่นิยมในหมู่สตรีมากกว่าเขา! กระทั่งอาหาร เสื้อผ้าและพาหนะเดินทาง ทุกอย่างดีกว่าเขาจนหมด!

บัดซบ…นี่มันบัดซบอะไรกัน!

“ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย!”

“ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เขาได้รับการเลื่อนระดับเป็นสองระดับและกลายเป็นขุนนางระดับห้า! ท่านรู้หรือไม่ว่าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าผู้ทำคะแนนสูงสุดจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางระดับห้า? โดยปกติจะใช้เวลาอย่างน้อยสามปี ซึ่งนั่นก็ทางราชสำนักก็ต้องเห็นชอบด้วย! แต่เขากลับทำได้ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน มันยุติธรรมหรือไม่?”

กัวเส้าส้วยส่ายศีรษะ นี่มันไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว! ชายผู้นี้ควรถูกแยกชิ้นส่วนและถูกประหารชีวิตเสีย! โลกไม่สามารถทนกับสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ได้! โม่หรูซวงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

“การเป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดในการสอบของจักรพรรดิและได้รับการเลื่อนระดับสองระดับในเวลาเพียงหนึ่งเดือน อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินีเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นขุนนางที่มากความสามารถเลยสินะ!”

เถ้าแก่อดไม่ได้ที่จะสบถเมื่อได้ยินเช่นนั้น “มันก็เป็นแค่ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่านั้นแหละ!”

“ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง?” โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยถึงกับสับสน

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด