ตอนที่แล้วบทที่ 5: ห้องฮีโร่ (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7: ช่วงเวลาที่ไม่มีความสุข

บทที่ 6: ห้องฮีโร่ (2)


บทที่ 6: ห้องฮีโร่ (2)

มารีออกจากห้องเรียนด้วยอาการอึ้งเล็กน้อย

คาบแรกสิ้นสุดลงแล้ว

ดังนั้นจะมีเวลาพักเบรก 15 นาที

โดยปกตินักเรียนจะคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่วันนี้พวกเขาทั้งหมดต่างพากันเงียบ

แถมพวกเขายังแอบชำเลืองมองธีโอด้วย

วิชาที่สองคือ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์

ในห้องเรียนมีบรรยากาศเดียวกับคาบแรก

ในห้องเรียนยามนี้เงียบเป็นอย่างมาก

เอี๊ยด-

ก่อนที่คาบเรียนจะเริ่ม ฉันลุกขึ้นเพื่อย้ายไปนั่งที่ด้านหลัง

ฉันรู้สึกได้ถึงสายตาของนักเรียนคนอื่นๆ

พวกเขาทั้งหมดแอบมองมาที่ฉัน

มันรู้สึกอึดอัดมาก

ราวกับว่าฉันทำอะไรผิด

แต่ในมุมตรงกันข้าม ฉันกลับรู้สึกอีกอย่าง

[ศักดิ์ศรีของขุนนางที่บิดเบี้ยว]

เนื่องจากนิสัยนี้ ร่างกายของฉันจึงคล้ายกับกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ

ความมั่นใจหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของฉัน

มันควบคุมการแสดงออกทางท่าทางของฉัน ฉันเดินผ่านพวกเขาราวกับนายแบบ

ในขณะเดียวกัน ฉันก็ค่อยๆ หันศีรษะไปมองรอบๆ

ฉันสบตากับนักเรียนคนอื่นๆ

สายตาของพวกเขาไม่ต่างจากเมื่อเช้านี้เลย

ส่วนใหญ่มองมาที่ฉันเหมือนไม่พอใจ

ทว่าก็มีบางคนมองมาที่ฉันด้วยความสับสน

ก็เข้าใจได้ที่พวกเขามองมาแบบนี้

คงจะดีถ้าภาพลักษณ์ของฉันเปลี่ยนไป

ไม่ใช่ธีโอที่เกียจคร้านและไร้ความสามารถทั้งในด้านภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ แต่เป็นธีโอที่ขยันขันแข็งและมีความสามารถโดดเด่น

อันที่จริง ฉันไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำชมในระดับเดียวกับนีกี้จากคนส่วนใหญ่หรอก ฉันแค่ปรารถนาที่จะเป็นคนธรรมดา

เพราะร่างกายนี้ได้ทำความผิดมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่ฉันจะเข้ายึดร่างนี้

ฉันคิดอะไรมากมายและต้องการหาที่เพื่อคิดแผนการในอนาคตต่อ

พื้นที่หลังห้องถูกสงวนไว้สำหรับออร์คและมนุษย์กิ้งก่าที่เรียนทฤษฎีไม่เก่ง

ถ้าฉันอยู่ระหว่างเจ้าพวกนี้ แม้จะไม่ตั้งใจเรียน แต่อาจารย์ก็คงไม่สนใจฉัน

เมื่อฉันนึกขึ้นได้ ฉันจึงย้ายไปที่ด้านหลังของห้องและนั่งระหว่างพวกเขา

พวกเขาชำเลืองมองมาที่ฉัน และกอดอก ก่อนจะหลบสายตาอย่างรวดเร็ว

พวกออร์คและมนุษย์กิ้งก่ามีกลิ่นตัวแรง ซึ่งโชยเข้าจมูกฉันอย่างจังๆ

ทันทีที่ฉันได้กลิ่นนั่น ร่างกายของฉันก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนิสัยของร่างกายเขาเกลียดการอยู่ใกล้เผ่าพันธุ์ที่ไร้อารยธรรมและโง่เขลา เช่น ออร์คและมนุษย์กิ้งก่า

ซึ่งร่างกายนี้เป็นประเภทที่จะไวต่อกลิ่น เพราะต้องใช้น้ำหอมกว่า 10 ชนิด

ไม่มีทางเลยที่ฉันจะไม่รู้สึกเจ็บปวด

แม้แต่ฉันที่เพียงเข้ามาสิงร่าง ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายเลย

เฮ้อ น่าปวดหัวซะจริง

ด้วยนิสัยเดิมของร่างกายนี้ ไม่มีทางหรอกที่ฉันจะทนได้ถึงสามปีครึ่ง

ทว่าลักษณะนิสัยของตัวละครหรือร่างกายสามารถเปลี่ยนไปได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับนิสัยและพฤติกรรม

แต่เท่านี้ก็ยากจะเกินทนแล้ว

แต่ยังดีที่อาการเจ็บของฉันมันน้อยกว่าตอนที่ก้มศีรษะให้นีกี้

ฉันกัดฟันแล้วเปิดหนังสือเรียนอ่านต่อ

***

"ฉันไม่ได้คาดหวังให้พวกเธอเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนกันมา แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็หวังว่าพวกคุณจะทบทวนภาคทฤษฎีมาด้วย เพราะทฤษฎีก็สำคัญ ไม่น้อยไปกว่าภาคปฏิบัติ นั่นคือการสรุปการบรรยายของวันนี้"

“ครับ/ค่ะ ศาสตราจารย์”

นักเรียนตอบกลับออกมาอย่างพร้อมเพีรยง

ศาสตราจารย์ที่ดูเคร่งขรึมเดินออกจากห้องเรียนไป

ขณะนี้เวลา 16:30 น. ชั้นเรียนทั้งหมดของวันนี้ได้สิ้นสุดลง

ทันทีที่อาจารย์ออกไป ห้องเรียนก็มีเสียงพูดคุยมากมายจากเหล่านักเรียน

"เธอจะไปทำอะไรต่อเหรอ?"

"อืม~ ฉันจะไปอ่านหนังสือในห้องของฉันน่ะ นักเขียนคนโปรดของฉันเพิ่งออกผลงานใหม่มาด้วย! กว่าฉันจะซื้อมาได้ฉันต้องไปยืนต่อแถวยาวถึงข้างนอกร้านเลย   ว่าแต่แล้วเธอล่ะ?"

"ฉันจะไปกินของหวาน ฉันได้ยินว่ามีเมนูใหม่ที่ 'สวนนารุ' ด้วย!"

"โอ้ ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีของอร่อยมาก...ฉันขอไปด้วยได้ไหม?"

นักเรียนทุกคนเดินคุยกันขณะออกจากห้องเรียนไป

พวกเขาทำให้ฉันนึกถึงตอนฉันเรียนอยู่สมัยมัธยม

ถึงในอนาคตพวกเขาอาจจะกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งทวีป แต่นักเรียนพวกนี้ก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนกลาง เป็นวัยหนุ่มสาวที่ยังไม่ถูกแตะต้องจากความเป็นจริงอันโหดร้ายของสังคม

เป็นวัยที่สร้างความทรงจำที่แสนสนุกสนานกับเพื่อน

เป็นช่วงเวลาที่ดี ...

ฉันอิจฉาพวกเขามาก

แต่ตัวฉันกลับต้องมาเข้าโรงเรียนอีกครั้ง...

สายตาของฉันยังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือเรียนขณะที่ฉันหมกมุ่นอยู่กับความคิด

คาบบรรยายทั้งหมดเป็นอะไรที่ง่ายมาก

มันคือบทนำสู่การเป็นฮีโร่ ซึ่งเป็นเนื้อหาทั้งหมดที่ฉันรู้อยู่แล้ว

ดังนั้นฉันจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสรุปแผน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไปเก็บชิ้นส่วนที่ซ่อนอยู่

ทว่าชิ้นส่วนที่ซ่อนอยู่เพียงชิ้นเดียวที่ฉันสามารถไปเก็บได้ด้วยค่าสถานะอันน่าสมเพชของฉันอยู่ในป่าตะวันออกของสถาบัน

คงจะใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการไปและกลับ

ฉันขาดเรียนไปไม่ได้

การเข้าเรียนเป็นข้อบังคับในห้องฮีโร่

การขาดเรียนจะส่งผลให้ถูกลงโทษ

จะแก้ตัวอย่างรู้สึกไม่สบายก็ใช้ไม่ได้ผลเช่นกัน

ไม่ใช่แค่อาจารย์ แต่รวมถึงเพื่อนนักเรียนด้วยที่จะต่อว่าฉันว่าละเลยเรื่องสุขภาพร่างกาย

การออกเดินทางในคืนวันศุกร์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

จนกว่าจะถึงเวลานั้น ควรมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเพียงอย่างเดียวเสียก่อน

ฉันต้องการหาภารกิจมาทำ แต่แทบจะไม่มีภารกิจใดที่เหมาะกับสถานะของฉันเลย

ภารกิจลับมีหลายรูปแบบ แต่ภารกิจที่สามารถทำได้ด้วยความสามารถปัจจุบันของฉันไม่คุ้มกับความเหนื่อยและเวลา

ไว้ค่อยไปทำภารกิจพวกนี้หลังจากที่ฉันเสริมพลังของตัวเองด้วยชิ้นส่วนที่ซ่อนอยู่

ดังนั้นการฝึกพลังจึงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันในตอนนี้ทำได้

เนื่องจากค่าสถานะของฉันต่ำ ฉันจึงได้แต่ต้องยกระดับผ่านการฝึกฝน

ขณะที่ฉันกำลังจะมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อม

"เฮ้ ธีโอ นายแก้ปัญหานี้ได้ไหม?"

ออร์คที่นั่งถัดจากฉัน น็อคตาร์ ได้พูดขึ้น

ฉันหันหน้าไปทางเขา

น็อคตาร์ สวมแว่นตาทรงกลม ซึ่งไม่ปกติเลยสำหรับออร์ค เขากำลังจ้องเขม็งไปที่หนังสือเรียน

หลังจากคาบแรกจบลง น็อคตาร์ เป็นหนึ่งในคนที่มองฉันด้วยสายตาที่สับสน

เขาเป็นออร์คที่แปลกมาก

ในเนื้อเรื่องเดิม เขาเป็นตัวละครพิเศษที่ตายก่อนเวลาอันควร เพราะเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ในช่วงปลายปีแรก

ในเส้นทางผู้ใช้หอก ตัวเขาก็มีสภาพแบบเดียวกับธีโอ มีเพียงคำอธิบายสั้นๆ ถึงเรื่องการตายของเขาปรากฏขึ้น

ด้วยบทบาทของเขา อย่างน้อยเขาก็ควรจะเป็นตัวละครที่มีชื่อสิ

จากนั้นฉันก็นึกถึงคำพูดของผู้พัฒนาเกมที่มักจะกล่าวว่า "เราไม่ได้สร้างตัวละครพิเศษขึ้นมาอย่างง่ายๆ นะ!"

ขณะที่กำลังคิดอยู่ น็อคตาร์ ก็ถามเสียงดังว่า

"นายก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้เหมือนกันเหรอ?"

เสียงของเขาดังมาก

ด้วยความตกใจ ฉันจึงหันมองไปรอบๆ

ไม่มีใครอยู่ที่นั่น มีเพียงน็อคตาร์ และฉันเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องเรียน

ออร์คและมนุษย์กิ้งก่าที่นั่งอยู่ด้านหลังห้องออกจากห้องเรียนไปนานแล้ว

"...คำถามข้อนี้มันไม่ได้ยากขนาดนั้น"

ฉันก้มศีรษะลง

มันเป็นปัญหาที่แก้ง่ายนิดเดียว

แต่ออร์คมีสติปัญญาต่ำกว่ามนุษย์

กระทั่งออร์คชั้นยอดที่เข้าร่วมห้องฮีโร่ของโรงเรียนเอลิเนีย พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจเนื้อหาของคาบบรรยายห้องฮีโร่เลย

การที่จะได้เห็นออร์คเรียนอย่างขยันขันแข็งจึงเป็นเรื่องหายากกว่าการเห็นยูนิคอร์นเสียอีก

พวกเขาไม่ฉลาดพอที่จะคิดค้นกลวิธี กลยุทธ์หรือวิธีการรวบรวมข้อมูลที่ซับซ้อน

พวกเขายังขาดความสามารถในการสั่งการผู้ช่วยด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะทางเผ่าพันธุ์ที่ไม่อาจลบเลือนไปได้

ฮีโร่ที่ดีจำเป็นต้องใช้สมองในการทำอะไรหลายอย่าง

พวกเขาต้องมีความสามารถในการสั่งการผู้คน

แต่ออร์คไม่มีทั้งสองอย่าง

นับตั้งแต่ก่อตั้งสถาบัน ไม่มีออร์คแม้แต่ตัวเดียวที่สำเร็จการศึกษาจากห้องฮีโร่

ทั้งหมดถูกไล่ออกเพราะขาดคุณสมบัติการเป็นฮีโร่

แม้ว่าพวกเขาจะสามารถสอบเข้าได้ตามที่ รยูค ผู้ก่อตั้งหลักตั้งใจไว้ก็ตาม

ออร์คที่นั่งข้างหลังฉันในวันนี้คงจะหายไปก่อนที่จะถึงปีที่สาม

เขาไม่มีใครให้ถามแล้วเหรอ?

"...ส่วนไหนที่นายไม่เข้าใจ?"

“เอ่อ บรรทัดที่แปด เมื่อเผชิญหน้ากับนักเวทย์ระดับ 6 ที่ใช้เวทย์ไฟเป็นหลัก ฉันควรทำยังไง ฉันไม่รู้วิธีจัดการจริงๆ”

ฉันพิจารณาระดับสติปัญญาของเขาและอธิบายให้ง่ายที่สุด

"อืม... ฉันไม่ค่อยเข้าใจแฮะว่าฉันจะสามารถฟันหัวพวกมันด้วยขวานก่อนที่พวกมันจะยกไม้เท้าขึ้นมาได้ไหม แต่ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถผ่าเหล็กด้วยขวานของฉันได้"

ดูเหมือนน็อคตาร์จะมีปัญหาในการทำความเข้าใจ คงน่าจะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อที่เขาจะเข้าใจทั้งหมด....

แต่เนื่องจากฉันตัดสินใจที่จะสอนเขา ฉันควรใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

ทว่าเอ่อ...ร่างกายของฉันเริ่มรู้สึกเจ็บปวด

ความอดทนของฉันได้มาถึงขีดสุดแล้ว

แต่ถ้าฉันจะต้องพูดตามแบบฉบับธีโอว่า "แกมันก็เป็นแค่ออร์คโง่เขลาตัวใหญ่ที่ไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ แบบนี้ อย่าทำให้ชื่อของฮีโร่เสื่อมเสีย จงออกไปจากโรงเรียนแห่งนี้ซะ"

น็อคตาร์คงโกรธจัด

ออร์คอาจจะดูปัญญาอ่อนไปหน่อย แต่พวกมันมีพละกำลังที่ดุร้าย

ฉันอดทนต่อความเจ็บปวดและอธิบายรายละเอียดทุกอย่าง ราวกับสอนลูกพี่ลูกน้องในโรงเรียนประถมที่อายุน้อยกว่ามาก

ฉันใช้การเปรียบเทียบต่างๆ และอธิบายให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง “อ้าว! ทำเสร็จแล้วเหรอเนี่ย!? ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าจะไวขนาดนี้”

ฉันทำให้น็อคตาร์เข้าใจได้สำเร็จ

เขาดีใจจนมุมปากยกขึ้น

กรามของเขาใหญ่เป็นอย่างมาก

ออร์ค มักจะยิ้มเมื่อพวกเขามีส่วนร่วมในการกระทำที่ทำลายล้างและรุนแรง

แค่เข้าใจคำถามเดียวก็มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ?

“น็อคตาร์  นายเรียนไปทำไม? ฉันไม่ได้ว่านะ อย่าเข้าใจผิด”

“แน่นอนว่าก็ต้องเพื่อการจบการศึกษาจากสถาบันและกลายเป็นฮีโร่ออร์คคนแรก นายไม่สามารถเป็นฮีโร่ได้หากไม่ฉลาดใช่ไหมล่ะ? โรงเรียนเอลิเนียเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในทวีป เพื่อที่จะเป็นออร์คที่เก่งที่สุด ฉันต้องพิชิตภูเขาลูกเล็กๆ ที่มีชื่อว่าการเรียนให้จงได้”

"ฉันเห็นด้วยนะ"

ฉันพยักหน้าด้วยสีหน้าเฉยเมย

มันเป็นความทะเยอทะยานที่น่าทึ่งมากสำหรับออร์คที่มักจะไม่คิดเรื่องอะไรแบบนี้

แน่นอนว่าพวกออร์คต้องการเป็นฮีโร่เช่นเดียวกับมนุษย์

สิทธิพิเศษที่มาพร้อมกับการเป็นฮีโร่นั้นน่าดึงดูดยิ่ง

ทว่าเป็นเรื่องยากสำหรับออร์คมากที่จะมาร่ำเรียนอะไรเช่นนี้

พวกเขาตระหนักถึงขีดจำกัดอย่างรวดเร็ว สิ้นหวังและยอมแพ้

แมวไม่สามารถเอาชนะเสือได้ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนไม่ใช่เหรอ?

ถึงเสือจะเกียจคร้านและโง่เขลา แต่พวกนายคิดว่ามันจะแพ้แมวหรอ?

ก็เช่นเดียวกับความแตกต่างในด้านความฉลาดของมนุษย์และออร์ค

น็อคตาร์มองมาที่ฉันแล้วพูดขึ้น

“ธีโอ ฉันรู้ว่าทำไมนายถึงถามคำถามนั้น ฉันคงดูโง่มาก แต่ฉันสาบานกับตัวเองและเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ยิ่งใหญ่ว่าฉันจะเป็นวีรบุรุษ และฉันก็เป็นความหวังของคนมากมายในชนเผ่า ฉันจะเป็นฮีโร่ แม้ว่าฉันจะล้มลงระหว่างทาง ฉันก็จะลุกขึ้นสู้ต่อไป”

"อย่างนั้นเหรอ?"

ฉันผงกศีรษะอย่างแรง

คำพูดของน็อคตาร์โดนใจฉันอย่างมาก

แม้ว่าฉันจะไม่ได้แบกรับความหวังของชนเผ่านับไม่ถ้วน ทว่าคำพูดของเขาก็มีผลกับฉันเช่นกัน

ดังที่ออตลันกากล่าว พรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดนั้นไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว

แต่นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวของการไม่พยายาม

แม้ว่าจะต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง เราก็ต้องลุกขึ้นและเดินหน้าต่อไป

ทำให้ดีที่สุดตราบเท่าที่ยังสามารถทำได้

"นายทำให้ฉันคิดได้หลายอย่าง ขอบคุณนะน็อคตาร์ "

“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ”

น็อคตาร์หัวเราะขึ้นมา

***

ภายในห้องของธีโอ เอมี่ยืนตัวแข็งทื่อ

เธอจ้องมองตะเกียงวิเศษในมือด้วยสีหน้าสับสน

เพื่อทำตามคำขอของธีโอ เอมี่ได้พยายามซ่อมแซมตะเกียงวิเศษ

มันเป็นงานที่ง่ายๆ

สาเหตุที่ตะเกียงวิเศษส่วนใหญ่ดับก็เพราะมานาของหินวิเศษหมดลง

สิ่งที่เธอต้องทำคือเติมมานาให้เต็ม

ทว่าตะเกียงวิเศษอันนี้กลับปกติดี แต่ตัวอาคมเวทย์มนตร์ภายในหายไปจนหมด

ราวกับว่ามันเป็นอย่างนั้นมาตลอด

"..."

ไม่ว่าเธอจะครุ่นคิดมากเพียงใด ก็ยังหาคำตอบไม่ได้

เธอนำมือทั้งสองข้างมากุมศีรษะตัวเองด้วยความเครียด

ธีโอไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ไม่สิ เขาไม่มีมานาเลยต่างหาก

แม้ว่าเขาจะสามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้

ถ้ามีวิธีอื่นที่เขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ เธอซึ่งรับใช้เขาตั้งแต่เขาอายุสิบขวบคงจะไม่มีทางไม่รู้

แม้จะเกิดในตระกูลวัลเดอร์กที่ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับไม่มีพรสวรรค์อะไรเลย

เขาเป็นคนเกียจคร้านที่ไม่คิดพยายามอะไรสักนิดเดียว

ในระหว่างการประเมินเปิดเทอมของโรงเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาพบว่าเขาไม่มีมานาเลย

เขาจึงออกจากศูนย์การประเมินด้วยใบหน้าที่โกรธจัดและโยนรายงานการประเมินใส่เธอ

แน่นอนเธออ่านมัน ไม่มีมานา ไม่มีความสามารถพิเศษเช่นกัน

'หรือว่า...? พลังเขาตื่นแล้วยังงั้นเหรอ?

การตื่นขึ้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮีโร่ส่วนน้อยที่มักพยายามฝึกฝนตัวเองตลอดเวลา

ไร้สาระน่า

แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว มันก็เป็นการคาดเดาที่สมเหตุสมผล

ตลอดหกปีที่ผ่านมา เขามักจะดูถูกและเหยียดหยามเธอแทบทุกวัน

เธอคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งขององค์กรและฆ่าเขาหลายร้อยครั้ง

แต่เมื่อคืนนี้และแม้กระทั่งเมื่อเช้านี้...

น้ำเสียงของเขานุ่มนวลขึ้น และดูมีน้ำใจมากขึ้น

ในหัวเค้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นเหรอ? หรือเขาแค่สวมหน้ากากเพื่อหลอกลวงเธอ?

'เฮ้อ ฉันไม่สามารถเดาอะไรง่ายๆ ได้เลย'

เอมี่มองไปที่ตะเกียงวิเศษอีกครั้ง

มันดูสะอาดสะอ้านเกินไป

เท่าที่เธอรู้ มีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้นที่ทำให้มันมีสภาพเช่นนี้

อย่างแรกคือคาถาวงเวทย์ที่ 8 ผลาญมานา

ในทวีปนี้มีแค่ไม่ถึงสิบคนที่สามารถใช้คาถานี้ได้

อย่างที่สองคือความสามารถของหัวหน้ากลุ่มลอบสังหารที่เธอเป็นสมาชิก

แน่นอนว่ามีไม่กี่คนทั่วทั้งทวีปที่มีความสามารถนี้เช่นกัน

ทว่าผู้ที่สามารถใช้มันได้อย่างชำนาญนั้นหายากมาก

'ฉันต้องคิดออกให้เร็วที่สุด'

ขณะที่ถือตะเกียงวิเศษในมือ เอมี่ก็กลับไปที่ห้องของเธอ

เธอเริ่มเขียนจดหมายทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด