ตอนที่แล้วตอนที่ 35 : หารือเรื่องตั้งร้าน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 37 : ซุปปลาและแป้งทอด  

ตอนที่ 36 : ความลับบนตัวน้องสาว


ตอนที่ 36 : ความลับบนตัวน้องสาว

ในที่สุดก็จะได้ขายของหาเงินเสียที สวีฮุ่ยตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ นางจึงเข้าไปเตรียมเครื่องปรุงที่ใช้สำหรับทำน้ำซุปไว้เป็นจำนวนมาก

“พรุ่งนี้เจ้าก็ตามไปจับปลาด้วยสิ จะได้ปล่อยปลาจากในมิติออกไปบ้าง เพราะซุปปลาตะเพียนอร่อยอย่าบอกใครเชียว !” เฮ่อจิ่นให้สวีฮุ่ยทำซุปปลาสักหม้อเพื่อฝึกฝีมือ

“เจ้าเป็นกิ่งไม้ไม่ใช่หรือ ? เหตุใดถึงได้มีนิสัยตะกละกันเล่า !”

“ข้าบอกเจ้าไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าข้าเป็นภูติ เป็นวิญญาณภูติน่ะ เจ้าไม่เข้าใจหรือไร !” เฮ่อจิ่นน้อยใจที่นางตัดสินมันจากรูปลักษณ์ภายนอก อาหารมิมีพรมแดน เพราะฉะนั้นอย่ามาเลือกปฏิบัติต่อกันแบบนี้สิ

หรือว่าภูติอย่างเขามิคู่ควรที่จะได้ลิ้มรสอาหารอร่อยหรือไร ?

“เอาล่ะ พอแล้ว ข้าผิดเอง เดี๋ยวข้าจะไปทำซุปปลาตะเพียนแล้วเอาไปมอบให้เจ้าแทนคำขอโทษ !”

“ซุปปลาต้องเคี่ยวจนมีสีขาวขุ่น อย่าใส่เครื่องปรุงเยอะเกินไป ข้ามิชอบกลิ่นพวกนั้น และห้ามให้มีกลิ่นคาวปลา มิเช่นนั้นมันจะทำให้หมดความอยากอาหาร……”

สวีฮุ่ยมองเจ้าภูติเฮ่อจิ่นที่เท้าเอวสั่งนางมิหยุดหย่อน นางอยากจะพูดเหลือเกินว่าหากยังพูดมิหยุดเช่นนี้ งั้นเจ้าก็ไปทำเองเลยสิ !

และในตอนที่นางยกซุปปลาออกมาให้ เฮ่อจิ่นกำลังจะกระโดดลงไป แต่กลับถูกสวีฮุ่ยดึงไว้ก่อน “เจ้าอาบน้ำหรือยัง ? ซุปหม้อนี้มิได้ทำไว้ให้เจ้าคนเดียวเท่านั้น ข้าเองก็จะดื่มเช่นกัน !”

“คนที่มิรู้อะไรเลยช่างน่ากลัวจริง ๆ เจ้าเองก็มิคิดบ้างหรือว่าข้าคือใคร ข้าเป็นถึงภูติผู้ยิ่งใหญ่และมีความสามารถสารพัด……”

ยังไม่ทันที่มันจะพูดจบก็ถูกสวีฮุ่ยพูดตัดบทอย่างไร้เยื่อใยแล้ว “เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าอาบน้ำหรือไม่อาบน้ำงั้นหรือ ? ช่วยพูดอะไรที่มันตรงประเด็นหน่อยสิ !”

“ข้าไม่ได้ถือกำเนิดมาเปื้อนฝุ่น อีกอย่างหากเจ้าดื่มซุปที่ข้าแช่ตัวไปแล้ว มันมิเพียงแต่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายของเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำให้เจ้าดูอ่อนเยาว์ไปตลอดกาล ทำให้ผิวของเจ้าดูนุ่มละมุนจากภายในสู่ภายนอก !”

เหตุใดนางถึงรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังโฆษณาตัวเองอยู่ล่ะ ? มันคือภูติจริง ๆ ใช่ไหม? ทำไมถึงดูมิเหมือนภูติเลย !

“เจ้าแอบนินทาข้าในใจอีกแล้วนะ !” เฮ่อจิ่นอยากให้สวีฮุ่ยสบายใจ มันจึงวิ่งลงไปในน้ำแร่ใสแล้วกลิ้งตัวอยู่ในนั้น พอมันขึ้นมาจากน้ำ มันก็สะบัดตัวให้หยดน้ำบนตัวหล่นลงไปในน้ำซุป

“ซุปของวันนี้รสชาติพอใช้ได้ แต่คราวหน้าปิดไฟล่วงหน้าสักหนึ่งนาที รสชาติจะได้ดีขึ้น !” เฮ่อจิ่นกล่าว

สวีฮุ่ยยอมรับคำแนะนำของมันอย่างถ่อมตน เมื่อมองดูเฮ่อจิ่นที่ใช้ชามซุปเป็นเหมือนสระน้ำ นางก็เตือนมันว่าหากมันยังดำผุดดำว่ายอยู่ในชามซุปแบบนี้ หากนางเผลอกินมันลงไปโดยมิได้ตั้งใจก็อย่ามาโทษนางแล้วกัน

“ชิ เจ้าจับข้าให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยพูด ! ก่อนคิดจะกินข้า เจ้าดูหรือยังว่าฟันตัวเองดีพอไหม !”

ทั้งสองเถียงกันตลอดมื้ออาหาร แต่หลังจากกินซุปเสร็จแล้ว อารมณ์ของทั้งคู่ก็ดีขึ้นมาก วันต่อมา สวีฮุ่ยใช้เวลาตลอดทั้งสายไปกับการคัดบทกลอนที่โจวป๋อเทามอบหมายไว้ หากนางอยากไปขายของ นางก็ต้องรีบคัดบทกลอนที่ท่านอาเล็กสั่งให้เสร็จโดยเร็ว

ในช่วงใกล้เที่ยง สวีจื้อหย่งและโจวเสี่ยวเหมยกลับมา ทั้งสองหาทำเลเหมาะสมได้จุดหนึ่งในตลาด ส่วนโต๊ะเก้าอี้ได้เช่าจากร้านละแวกนั้น ดังนั้นพรุ่งนี้เช้าแค่ไปตั้งร้านก็ได้แล้ว

ส่วนจานชามและตะเกียบล้วนซื้อมาจากร้านขายของชำในตลาด ซึ่งได้มาในราคาที่ถูกมากกว่าปกติ โจวเสี่ยวเหมยยังซื้อเกลือและซีอิ๊วหมักมาเพิ่มอีกด้วย

“นี่พวกเรากำลังจะทำการค้ากันจริง ๆ น่ะหรือ ? จนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังมิอยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง !” เติ้งอาเหลียนคล้ายกับพึมพำกับตนเอง จากนั้นนางก็หันไปถามความเห็นจากลูกชายและลูกสะใภ้ของตน

“ท่านแม่ ของเราเตรียมไว้หมดแล้ว เราต้องขายสิ ฮุ่ยฮุ่ยพูดถูก หากเรามิทำ เราก็จะมิมีวันรู้ว่ามันจะดีหรือไม่ ต่อให้ขายมิได้ เราก็ขาดทุนมิมากนัก เพราะโต๊ะเก้าอี้ล้วนเป็นของที่เราเช่ามา หากขายแป้งทอดมิได้ก็ยังเอากลับมากินเองได้ ขอเพียงแค่พ่อของฮุ่ยฮุ่ยจับปลากลับมาได้ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์แล้ว”

“วางใจได้ ! ข้าต้องจับปลากลับมาได้แน่นอน !” สวีจื้อหย่งวางของลงแล้วไปเตรียมอุปกรณ์จับปลาเพื่อเตรียมไปหาปลาที่ริมน้ำ

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก สวีฮุ่ยจึงเก็บกระดาษและพู่กันแล้วเปิดประตูห้องออกมา “วางใจได้ เราต้องทำได้แน่นอน ยามบ่ายข้าจะไปจับปลากับท่านพ่อและพี่รอง พอกลับมาแล้วจะมาทอดแป้งทอดกับพวกท่าน”

“น้องหญิง เจ้าอยู่บ้านเถิด ข้าและท่านพ่อจะจับปลากลับมาให้ได้แน่นอน !” สวีเจี้ยนหลินมั่นใจในตนเองมาก

ซุปปลาหนึ่งหม้อใช้ปลาเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น สวีฮุ่ยเองก็เชื่อมั่นว่าพ่อและพี่รองจะต้องจับปลากลับมาได้ เพียงแต่ที่นางต้องการคือปลาตะเพียน อีกทั้งปลาตะเพียนที่ถูกเลี้ยงในมิติมีรสชาติที่อร่อยและสดใหม่กว่า ทั้งยังมิค่อยมีกลิ่นคาวปลา จึงเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการทำซุป

“ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวก็กลับ ! มิเสียเวลาทอดแป้งหรอก”

สวีจื้อหย่งก้มหน้าลงไปมองลูกสาวตัวน้อยที่ส่งสายตาออดอ้อนมาหาเขา ทันใดนั้นเขาก็อดพยักหน้าตอบรับนางมิได้ เพราะเขามิรู้จริง ๆ ว่าจะปฏิเสธลูกสาวได้เยี่ยงไร

หลังกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ออกไปจากบ้าน คราวนี้สวีฮุ่ยสวมชุดเก่าของพี่รอง นางยังให้แม่ช่วยมวยผมบนหัวของนางให้เป็นเหมือนเด็กผู้ชายอีกด้วย ส่วนผมข้างหน้าก็ถูกหวียาวลงมาปิดคิ้วที่เรียวงามคู่นั้น

ก่อนออกไปข้างนอก นางยังใช้หมึกแต้มเป็นกระบนใบหน้าทั้งสองข้าง ทำให้บัดนี้นางดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง !

สามคนพ่อลูกเดินมาถึงริมตลิ่งแล้ว สวีเจี้ยนหลินจึงถอดรองเท้าและกางเกงเพื่อลงไปจับปลาในน้ำ สวีฮุ่ยเดินอยู่ริมตลิ่ง รอจนกระทั่งมีโอกาสแล้ว นางก็แอบเอาหยดน้ำแร่ในมิติใส่ลงไปในข้องดักปลาและในน้ำ พร้อมกับปล่อยปลาตะเพียนลงน้ำไปบางส่วน

“ท่านพ่อ พี่รอง ที่นี่มีปลาด้วย !” สวีฮุ่ยตะโกนเรียกให้ทั้งสองมาหา

“ปลาใหญ่อีกแล้วใช่ไหม ?” สวีเจี้ยนหลินว่ายน้ำมาหานางอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝูงปลาแตกตื่นว่ายหนีออกไป ในขณะที่เขากำลังหงุดหงิดนั้น สวีฮุ่ยก็ยกข้องดักปลาขึ้นมาตรงบริเวณที่เพิ่งปล่อยปลาตะเพียนไป และในตอนที่ข้องดักปลาเพิ่งจะถูกวักลงไปในน้ำนั้น ปลาที่เพิ่งว่ายออกไปอย่างแตกตื่นก็ได้ว่ายกลับมา นอกจากนี้ยังมีปลาหลีและปลาเฉาว่ายเข้ามาในข้องด้วย

“น้องหญิง เจ้าทำได้เยี่ยงไร !” มันช่างอัศจรรย์เหลือเกิน สวีเจี้ยนหลินลืมว่าตัวเองจะเข้าไปช่วย เขาได้แต่มองด้วยความเหลือเชื่อขณะเอ่ยปากถามน้องสาวของตน

“ข้าค้นพบความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง เวลาที่มือของข้าจุ่มลงไปในน้ำทีไร มักจะสามารถเรียกฝูงปลามาได้ทุกครั้ง หากในข้องดักปลามีน้ำที่ข้าเคยสัมผัสมาก่อน พวกปลาก็จะว่ายเข้ามาหามัน ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ?” สวีฮุ่ยตอบกลับด้วยท่าทางงุนงง

สวีจื้อหย่งจึงช่วยยกข้องใส่ปลาขึ้นมา “เสี่ยวหลินจื่อ อย่าให้คนนอกรู้เรื่องของน้องสาวเจ้าเป็นอันขาด นี่เป็นความลับของบ้านเรา เข้าใจไหม !”

“ขอรับท่านพ่อ ข้าจะจำไว้ !” สวีเจี้ยนหลินลองเอามือของตนเองจุ่มลงไปในน้ำบ้าง แต่ก็มิเห็นปลาเลยสักตัว

จากนั้นเขาลองเอามือของน้องสาวจุ่มน้ำดู เพียงชั่วพริบตาเดียว ฝูงปลามากมายก็พากันแหวกว่ายล้อมเข้ามา ลองไล่เยี่ยงไรก็มิว่ายหนีไป

“กลับบ้านกันเถิด ! ปลาพวกนี้น่าจะเพียงพอสำหรับทำขายในวันพรุ่งนี้แล้ว !” สวีจื้อหย่งจับปลาใส่ลงไปในถังไม้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว คนเรามิควรละโมบ ยิ่งไปกว่านั้นมิควรหาเรื่องให้ความผิดปกติของลูกสาวรู้ไปถึงหูผู้อื่น !

เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยที่รออยู่บ้านได้ทำความสะอาดหม้อ ช้อนและตะเกียบไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ในขณะที่พวกนางกำลังหารือกันว่าจะทอดแป้งทอดเยี่ยงไรนั้น สามคนพ่อลูกที่ไปจับปลาได้เปิดประตูกลับเข้ามาแล้ว !

“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้กลับมาเร็วนัก !” เติ้งอาเหลียนนึกว่าหลานสาวมิสบาย นางจึงรีบรุดไปเอามืออังหน้าผากของหลานสาว แต่หนูน้อยมิได้ตัวร้อนนี่นา !

สวีเจี้ยนหลินชี้ไปยังถังไม้แล้วพูดว่า “พวกเราจับปลากลับมาได้แล้ว !”

สามคนพ่อลูกใช้เวลาออกไปหาปลาจนกลับมาถึงบ้านด้วยเวลามิถึงหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็สามารถจับปลากลับมาได้แล้ว ! หากได้ปลาน้อยเกินไป ซุปที่เคี่ยวออกมาจะรสชาติมิดีนัก ยิ่งเป็นครั้งแรกที่ตั้งร้านยิ่งต้องระวังในเรื่องของรสชาติและราคา มิเช่นนั้นคงมิสามารถเรียกลูกค้าให้กลับมาซื้อได้ จริงไหม ?

เติ้งอาเหลียนคิดว่าหากได้ปลามาน้อยเกินไปก็จะให้ลูกชายและหลานชายไปจับมาเพิ่ม เพราะการต้มซุปแต่ละหม้อควรใช้ปลาตัวเล็กอย่างน้อยห้าถึงหกตัว แต่ในตอนที่นางก้มลงไปมองในถังไม้นั้น นางก็ต้องตกใจ ใครสามารถบอกนางได้บ้างว่าปลาพวกนี้มาจากไหน หรือว่ามันอยู่ในจุดที่ปลาว่ายมาหาพวกเขาเองแล้ว ?

“ท่านย่า ท่านแม่ รีบมานี่เร็ว ข้ามีความลับหนึ่งจะมาเล่าให้พวกท่านฟัง !” สวีเจี้ยนหลินดึงมือย่าและแม่ของตัวเองให้นั่งลงบนตั่ง จากนั้นเขาก็กระโดดชะโงกดูว่ามีใครอยู่นอกรั้วบ้านหรือไม่ เมื่อเห็นว่ารอบบ้านมิมีผู้อื่น เขาจึงพูดถึงความลับของน้องสาวออกมา !

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด