ตอนที่แล้วตอนที่ 4 : ต้องโทษเขา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 : ผักรวมแลกถั่วลิสง

ตอนที่ 5 : อยากทำอาหารให้คนในครอบครัว


ตอนที่ 5 : อยากทำอาหารให้คนในครอบครัว

เมื่อเห็นว่าพี่รองถือมีดตัดฟืนและแบกกระบุงไม้ไผ่ขึ้นหลัง สวีฮุ่ยกำลังจะเรียกเขากลับมากินข้าว เพราะหากพี่รองไม่กินอะไรเลย แล้วจะเอาแรงที่ไหนมาตัดหญ้าตัดฟืน

“ไม่ต้องสนใจเขา พี่รองของเจ้าไม่ยอมปล่อยให้ท้องของตัวเองหิวหรอก !” โจวเสี่ยวเหมยตักไข่ตุ๋นในชามของตนเองให้แม่สามีและลูกสาว ส่วนสวีจื้อหย่งก็แบ่งส่วนของตัวเองให้ลูกสาวเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าสวีเจี้ยนเหวินก็แบ่งให้น้องสาวตามพ่อแม่ด้วย

ตอนแรกสวีฮุ่ยยังรู้สึกหวาดกลัวกับโลกใบใหม่ที่นางไม่คุ้นเคย แต่เมื่อเห็นความรักความเอาใจใส่ของพวกเขาเหล่านี้ ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยและสบายใจขึ้นมาก

ฮึ ! ทะลุมิติมาอยู่ในครอบครัวชาวนาแล้วอย่างไรเล่า ? ข้ามีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ มีหรือที่จะนำพาครอบครัวไปสู่ความมั่งคั่งไม่ได้ ? อีกทั้งตอนนี้นางยังมีมิติหยวนเว่ยที่เปรียบดังสมบัติล้ำค่า จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเป็นเศรษฐีนีในอนาคต

สวีฮุ่ย เจ้าจงจากไปอย่างสบายใจเถิด ! นับแต่นี้ไป ข้าจะปกป้องและดูแลคนในครอบครัวของเจ้าเอง !

สวีฮุ่ยลุกขึ้นยืน แล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักไข่ตุ๋นในชามของตนเองแบ่งให้กับทุกคน “ทุกคนกินด้วยกันเถิด ข้าไม่อนุญาตให้ผลักไปผลักมาแบบนี้ ถ้าหากพวกท่านไม่กิน ข้าก็จะไม่กินเช่นเดียวกัน !”

เติ้งอาเหลียนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงบอกหลานสาวไปว่าตนเองไม่ชอบกลิ่นไข่ ในขณะที่โจวเสี่ยวเหมยอ้างว่าระยะนี้ตนเองปวดฟัน ไม่อยากกินของพวกนี้

ส่วนพ่อลูกสวีจื้อหย่งและสวีเจี้ยนเหวินไม่ได้พูดอะไร แต่ค่อย ๆ ขยับชามหนีออกไปอย่างเงียบ ๆ

“พอพวกท่านไม่ฟังข้า ข้าก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว โอ๊ย ปวดเหลือเกิน !” สวีฮุ่ยแสร้งเอามือกุมหัว

ดังนั้นทุกคนจึงรีบตักไข่ตุ๋นไปกินตามที่สวีฮุ่ยบอก เมื่อนางเห็นว่าพวกเขายอมกินไข่ตุ๋นแล้ว จึงไม่ได้โวยวายว่าปวดหัวอีก

หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว สวีฮุ่ยตั้งใจว่าจะกลับไปนอนพักผ่อนที่ห้อง ทว่าเติ้งอาเหลียนเป็นกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บที่หัวของนาง จึงให้นางไปนอนพักผ่อนที่ห้องของตน

สวีฮุ่ยยังอยากเข้าไปสำรวจดูในมิติ ! นางจะตอบรับไปนอนกลางวันกับผู้อื่นได้เยี่ยงไร

แต่จะว่าไปตะกูลสวีดีต่อเจ้าของร่างเดิมไม่น้อย บ้านอิฐหลังนี้มีห้องทั้งหมดห้าห้อง แต่ก็ยังแบ่งห้องให้นางห้องหนึ่ง ในขณะที่สองพี่น้องเจี้ยนเหวินและเจี้ยนหลินต้องมานอนเบียดในห้องเดียวกันมานานหลายปี

ในที่สุด นางก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้ท่านย่าและพ่อกับแม่กลับไปพักผ่อนที่ห้องตนเองได้อย่างสบายใจ สวีฮุ่ยปิดประตูห้องส่วนตัว นางปีนขึ้นไปบนเตียงและปลดม่านลง ถึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ข้าอยากเข้าไปในมิติ !”

ต้นไม้ต้นนั้นปรากฏขึ้นต่อสายตาของนางอีกครั้ง สวีฮุ่ยมองดูแตงและผลที่ขึ้นบนต้นไม้อย่างละเอียด พวกมันล้วนเป็นพืชผักผลไม้ที่ขึ้นตามเถาวัลย์หรือกิ่งก้าน ในขณะที่เครื่องเทศบนกิ่งฝั่งสีน้ำตาลต่างก็มีอย่างครบครันเช่นเดียวกัน

หลังจากเดินสำรวจในมิติไปรอบหนึ่ง สวีฮุ่ยได้คุยกับตัวเองว่า “ยังต้องปลูกผักบางส่วนที่เติบโตบนดินและใต้ดิน ไม่รู้ว่าจะปลูกใต้ต้นไม้ได้ไหม”

คงต้องหาวิธีนำเมล็ดผักมาทดลอง สวีฮุ่ยเข้าครัวทำข้าวเหนียวแปดสมบัติและผัดถั่วแขกให้ตัวเอง นางกินไปด้วยพลางคิดไปด้วยว่าจะนำของในมิติไปแบ่งปันกับครอบครัวอย่างไรดี ที่นี่ยังขาดเนื้อสดและอาหารทะเลซึ่งเป็นส่วนผสมที่จำเป็นสำหรับการปรุงอาหาร

ตะกูลสวีฐานะยากจน ซึ่งสามารถดูได้จากบ้านที่อาศัยอยู่ สวีฮุ่ยอยากช่วยครอบครัวเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ตั้งแต่พรุ่งนี้เลย แต่นางยังเด็ก  ไม่สามารถอธิบายเรื่องต่างๆ ได้ ถึงใจของนางจะร้อนแค่ไหน ก็ต้องทำไปทีละขั้น

นางหาขวดกระเบื้องมาตักน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนขึ้นมาเล็กน้อย สวีฮุ่ยอยากลองดูเหมือนกันว่าจะนำสิ่งของออกไปจากที่นี่ได้ไหม

“ติ๊ด !”.

ในตอนนี้เอง ได้มีหน้าจอดิจิตอลกะพริบในห้องครัวที่ทันสมัย และหลังจากนั้นราว 3 วินาที ข้อความก็ปรากฏขึ้น

ตามข้อความที่แสดงบนหน้าจอ สวีฮุ่ยถึงได้รู้ว่าที่แห่งนี้เป็นมิติแห่งอาหารอันโอชะ บ่อน้ำพุร้อนกลั่นจากสมุนไพรนับไม่ถ้วนและน้ำแร่ใต้ดินที่มีปราณวิญญาณ การเติมน้ำแร่หนึ่งหยดลงในอาหารและซุปจะสามารถเพิ่มความสดชื่นได้สองถึงห้าเท่า

นอกจากนี้ ในมิติยังมีสูตรอาหารที่หายสาบสูญไปอีกสองสูตร และภูติประจำมิติอีกสองตน ทว่าสิ่งวิเศษเหล่านี้ต้องดูที่โชคชะตา บางทีผู้ที่ได้ครอบครองมิตินี้อาจได้รับสมบัติสองสิ่งนี้โดยบังเอิญ หรือบางทีพวกเขาอาจไม่เคยได้พบพวกมันอีกเลยตลอดชีวิต……

สวีฮุ่ยกำลังจะเลื่อนหน้าจอเพื่ออ่านข้อความด้านล่างต่อ แต่นางได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่นอกหน้าต่างห้องนาง

“ทำไมหน้าต่างห้องนอนของฮุ่ยฮุ่ยถึงพังได้ล่ะ จื้อหย่ง ท่านลองไปหาดูสิว่ากระดาษทำหน้าต่างยังเหลือไหม หากปิดไม่สนิทแล้วปล่อยให้ลมพัดไปหาลูกเรา แล้วนางจะนอนเยี่ยงไร !” โจวเสี่ยวเหมยอยู่บ้านพักผ่อนไปครู่หนึ่ง ในขณะที่นางกำลังจะออกไปทำงานนั้น ก็เห็นว่ากระดาษที่ปิดหน้าต่างห้องนอนลูกสาวขาดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่

สวีจื้อหย่งกลับมาหาในห้องตัวเองสักพักแต่ไม่เจอ จึงไปถามผู้เป็นแม่ถึงได้กระดาษมาหนึ่งแผ่น เติ้งอาเหลียนจึงเข้าครัวไปกวนแป้ง จากนั้นพวกนางก็ช่วยกันเปลี่ยนกระดาษปิดหน้าต่างให้แก่สวีฮุ่ย

สวีฮุ่ยย่องกลับมานอนบนเตียง นางหลับตาลงแล้วแสร้งทำเป็นนอนหลับ หลังจากที่ผู้เป็นย่าและพ่อแม่ของนางช่วยกันเปลี่ยนกระดาษบนหน้าต่างเสร็จแล้ว พวกเขาก็ค่อย ๆ แง้มประตูมาดูหนูน้อย เมื่อพบว่านางนอนหลับสนิท พวกเขาจึงค่อย ๆ ย่องออกไป

ในช่วงเพลาบ่าย เติ้งอาเหลียนรับหน้าที่ทำอาหารเย็นและดูแลหลานสาว นางเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ ประเดี๋ยวนางก็ไปล้างทำความสะอาดคอกหมู ประเดี๋ยวก็ไปดายหญ้าที่สวนหลังบ้าน นานๆ ถึงจะได้ยินนางเรียกเป็ดเรียกไก่มากินอาหาร

สวีฮุ่ยนั่งมองขวดกระเบื้องในมือ นางจะแสดงทักษะการทำอาหารและให้พวกเขาสังเกตเห็นความพิเศษนี้ได้อย่างไร แม้ว่าชีวิตในชนบทจะเรียบง่ายและสะดวกสบาย แต่นางไม่ได้คิดที่จะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต

“ฮุ่ยฮุ่ย ย่าจะเอาต้นหอมไปให้ย่าชุยที่อยู่ข้างบ้านเรา หลานจะไปกับย่าไหม !” เติ้งอาเหลียนเข้าไปในห้องนอนของหลานสาว เมื่อเห็นว่านางสวมรองเท้าเตรียมจะลงจากที่นอนจึงเอ่ยถาม

“ท่านย่าไปเถิด กว่าจะถึงเวลาทำอาหารเย็นคงอีกนาน ท่านย่าไปพูดคุยกับย่าชุยให้คลายเหงาแล้วค่อยกลับมานะเจ้าคะ !” แบบนี้นางจะได้มีเวลาสำรวจครัว เพื่อดูว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง นางจะได้ลองทำอาหารเย็นให้คนในครอบครัวได้ชิมฝีมือของนาง

หลานสาวเป็นเด็กดีรู้เรื่องขนาดนี้ เติ้งอาเหลียนจึงตักน้ำตาลมาทำน้ำหวานให้หลานสาว แล้วไม่ลืมที่จะกำชับนางว่าหากมีเรื่องอันใด ให้ไปเรียกนาง

“ท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่เป็นไรหรอก”

เติ้งอาเหลียนเดินออกไปแล้ว สวีฮุ่ยถึงได้วิ่งไปที่ด้านข้างประตู เมื่อมองลอดช่องประตูออกไปและเห็นว่าผู้เป็นย่าเดินเข้าไปในบ้านหลังที่อยู่ถัดไปแล้ว ผ่านไปสักพักก็มีเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานดังขึ้นจากบ้านที่อยู่ข้างกัน สวีฮุ่ยคาดว่าท่านย่าของนางคงคุยถูกคอกับย่าชุยเป็นแน่ !

ผ่านไปสักพัก ภายในบ้านถึงได้เงียบลง ประตูบ้านของนางเองก็ไม่ได้เปิดออก สวีฮุ่ยถึงได้เดินออกมาจากห้องนอน

ห้องครัวและห้องนอนของสวีฮุ่ยอยู่ห่างกันออกไปอีกสองห้อง ด้านในห้องครัวถูกสร้างไว้อย่างเรียบง่าย มีชั้นวางชามที่ทำมาจากไม้และมีผ้าม่านเนื้อหยาบแขวนอยู่ ด้านในนั้นเต็มไปด้วยจานชามตะเกียบ และอ่างสองสามใบบนชั้นวางชาม

ถัดไปด้านข้างเป็นโถขนาดเล็กใหญ่วางเรียงรายอยู่หลายใบและโอ่งอีกสองใบ ตรงข้ามกับชั้นวางชามเป็นเตาปรุงอาหารสองใบ ใบหนึ่งเป็นเตาใหญ่ อีกใบเป็นเตาเล็ก

สวีฮุ่ยเหยียบม้านั่งไม้เล็ก ๆ เพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในถังบ้าง นางมองอยู่นางถึงได้รู้ว่าด้านในนั้นคือข้าวฟ่าง โอ่งใส่ข้าวฟ่างมีขนาดไม่ใหญ่มาก และมีเมล็ดข้าวฟ่างอยู่เพียงไม่ถึงครึ่งโอ่ง

มีแค่ข้าวคงไม่ดีแน่ ถึงอย่างไรก็ต้องหาผักมาทำอาหารด้วย เพราะคนเราคงจะกินแต่ข้าว แต่ไม่กินผักไม่ได้ !

หลังจากหาอยู่นาน สวีฮุ่ยเห็นเพียงผักแห้งหนึ่งกำและผักดองสองสามชิ้นที่มีกลิ่นอับเนื่องจากความเค็มไม่เพียงพอ

“ต่อให้มีแค่ผักกาดขาวและมันฝรั่งก็ยังดีนี่ !” สวีฮุ่ยมองดูส่วนผสมเหล่านี้แล้วรู้สึกหงุดหงิด นางไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี เพราะตอนนี้นางเกิดความรู้สึกว่าตัวเองมีฝีมือและไม่มีโอกาสได้แสดง

นางหาอ่างน้ำมาแช่ผักแห้ง จากนั้นสวีฮุ่ยก็เดินไปที่สวนหลังบ้านเพื่อดึงต้นหอมขึ้นมา ในตอนที่กลับมานั้น นางก็เห็นว่าข้างประตูห้องครัวมีกระด้งอยู่ใบหนึ่ง ในกระด้งมีหัวไชเท้าแห้ง นางจึงหยิบมันขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วใส่ลงไปในหม้ออีกใบจากนั้นจึงค่อย ๆ เติมน้ำลงไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด