ตอนที่แล้วบทที่ 19 แข่งขันทักษะการทำอาหาร (ต้น)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 21 น่าสนใจ

บทที่ 20 แข่งขันทักษะการทำอาหาร (ปลาย)


หากยังหาอาหารเลิศรสไม่ได้ฉินชิงจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด เพราะตราบใดที่มีอาหารกินฉินชิงก็จะยิ่งมีความสุข เวลานี้ยังมีอีกหลายจานที่ต้องชิม ฉินชิงรู้สึกว่าจิตวิญญาณของตัวเองถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

แต่ฮ่องเต้กลับตรงกันข้ามกับนาง ฉินชิงมองไปที่ฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าเขาเจออาหารอร่อยๆ บ้างหรือยัง

เมื่อคิดถึงอาหารอร่อยฉินชิงก็เริ่มลองกินอีกครั้ง ครั้งนี้ฉินชิงได้พบกับอาหารอร่อยมากหนึ่งอย่าง นั่นก็คือฝูหรงจีเพี่ยน

ตามคำอธิบายของขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ อาหารจานนี้ใช้ไข่และเนื้อไก่เป็นวัตถุดิบหลัก วิธีทำคือเอาไข่ขาวออกมา คัดไข่แดงออก นำพังผืดของเนื้ออกไก่ออก จากนั้นก็สับเนื้อไก่ให้ละเอียดเล็กน้อย

ตามด้วยการผสมเนื้ออกไก่และไข่ขาวเข้าด้วยกันและนำไปทอดในหม้อ  จากนั้นก็นำไปแช่ในน้ำสะอาดเพื่อล้างสองรอบ สุดท้ายก็ใช้เก๋ากี้และถั่วลันเตามาบดให้ข้นแล้วราดลงบนเนื้อ ก็จะกลายเป็นฝูหรงจีเพี่ยน

ฉินชิงได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าเป็นจานที่ละเอียดอ่อนมาก รสชาติก็กลมกล่อม คิดไม่ถึงว่าอาหารจานนี้จะทำออกมาได้อร่อยขนาดนี้ ถ้าให้เดาชาตินี้ก็คงเดาไม่ถูกว่ามันทำมาจากอะไร

ดังนั้นจึงให้คะแนนอาหารจานนี้แปดคะแนน รสชาติจืดไปหน่อย เทียบกับเป็ดอมตะไม่ได้

เมื่อฉินชิงได้กินฝูหรงจีเพี่ยนนุ่มๆ จิตวิญญาณการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย จึงลองชิมอาหารไปหลายสิบจานในคราวเดียว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอาหารจานไหนอร่อยเลย

ฉินชิงรู้สึกว่าถ้าตนยังลองแบบนี้ต่อไป กินอีกไม่เท่าไรตนอาจจะอิ่มก็ได้ ดังนั้นจึงอยากเปลี่ยนกฎ

นางเดินไปข้างๆ ฮ่องเต้อย่างรวดเร็วและพูดกับเขา

“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากเปลี่ยนกฎ ลองชิมอาหารเช่นนี้มันช้าเกินไป กินไม่กี่คำก็อิ่มแล้ว”

“เจ้าจัดการแข่งคัดเลือกเอง เจ้าตั้งกฎของเจ้าเอง อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนเถอะ เจิ้นเองก็รู้ว่าทำเช่นนี้มันช้าเกินไป”

ดังนั้นฉินชิงจึงครุ่นคิดและกล่าวว่า

“หยินผิง หยินซั่น หลิวหลี ฉางชิง จางกงกง พ่อครัวใหญ่ พวกเจ้าเลือกลูกน้องของตนมาคนละหนึ่ง จากนั้นแบ่งผู้เข้าแข่งขันไปคนละสิบ ไปลองชิมอาหารดู ตราบใดที่มีห้าคนบอกว่าอร่อยก็ให้ยกมาที่โต๊ะนี้”

จางเต๋อจงเลือกเสี่ยวอันจื่อลูกศิษย์ของตน พ่อครัวใหญ่เลือกขันทีน้อยที่คอยอธิบายอยู่ข้างๆ เมื่อครู่นี้ หยินผิงและหยินซั่นก็เลือกจิ่นซิ่วและจิ่นซู เท่านี้ก็สามารถแบ่งกลุ่มได้หนึ่งต่อสิบคนแล้ว

ให้พวกเขาลองชิมดูย่อมไม่กล้ากินแบบมั่วซั่วแน่นอน หนึ่งคนชิมเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเลือกกินแค่ขอบจาน

ไม่นานนักเหลียงอี้และฉินชิงก็มีอาหารหลายสิบอย่างมาวางอยู่ตรงหน้า ได้แก่ เนื้อสัตว์ตุ๋น ซุปเต้าหู้เหวินซือ หมูสองไฟ ปลาทองไร้กระดูก ปลาเบญจมาศ หมูนึ่งราดซอสกระเทียม ไป่เหอซู หมูกรอบ หมูนึ่งข้าวคั่ว บะหมี่เซ่าจื่อ น้ำซุปผักกาด โจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า ทอดมันปลา ปลานึ่ง

ฉินชิงรีบใช้ตะเกียบคีบเนื้อสัตว์ตุ๋นเข้าปากทันที รสชาติเผ็ดแผ่ซ่านเต็มปากของฉินชิง รสชาติเผ็ดชาแต่อร่อย เป็นเอกลักษณ์ เนื้อมีรถเผ็ด นุ่ม เคี้ยวง่าย ผักที่วางอยู่ด้านข้างก็สดใหม่มาก

ฉินชิงรู้ตั้งแต่คำแรกว่าเป็นหลี่เต๋อหรงทำ ฉินชิงให้เต็มสิบโดยไม่กลัวว่าเขาจะทระนงตนเกินไป

ฉินชิงกินไปหนึ่งคำก็มองไปที่ฮ่องเต้ซึ่งกำลังจะคีบอาหาร นางคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องเตือนเขา อาหารจานนี้ตนกินก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เขาที่ชอบกินรสหวานต้องเป็นอะไรแน่ๆ

“ฝ่าบาท อาหารจานนี้เผ็ดมาก ท่านต้องกินอย่างระวังหน่อยนะเพคะ”

เหลียงอี้มองฉินชิงที่เผ็ดจนริมฝีปากบวมแดง ดังนั้นจึงตัดสินใจกินนิดเดียว ฮ่องเต้คีบเนื้อชิ้นเล็กๆ แต่เขาก็ยังคงเผ็ดจนดื่มน้ำตลอด

แต่เขาก็ยังอยากกินอย่างฉินชิง อาหารรสเผ็ดก็มีมนตร์เสน่ห์เช่นนี้

แต่จุดประสงค์หลักของวันนี้ก็คือการได้ลองชิมอาหารต่างๆ เช่นนั้นกินเล็กน้อยก็พอแล้ว ฉินชิงมองไปที่จานบนโต๊ะ เลือกปลาทองไร้กระดูกที่มีรสชาติไม่เผ็ด

เนื้อปลาของอาหารจานนี้มีรสหวาน ทั้งนุ่มทั้งลื่นและยังเด้ง แสดงเอกลักษณ์ของอาหารเมืองซุ่นเต๋อที่ใส สดชื่น นุ่ม ลื่น และสดใหม่ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หลังจากทานอาหารรสเผ็ดแล้วมาทานอาหารจานนี้ กลับรู้สึกว่ารสชาติไม่ได้ถูกเจือจาง ทั้งยังเข้ากันได้ดี ฉินชิงก็ยังให้สิบคะแนนกับอาหารจานนี้

หลังจากกินปลารสหวาน ฉินชิงก็อยากกินปลาเบญจมาศที่อยู่ข้างๆ ปลาเบญจมาศจานนี้และปลาทองไร้กระดูกเมื่อครู่เป็นเหมือนการทดสอบทักษะการใช้มีด ต้องหั่นเนื้อปลาเป็นชิ้นๆ ด้วยมีดแล้วนำไปทอดในกระทะ

รสชาติในปากนั้นสัมผัสได้ถึงความกรอบและหวานเปรี้ยวผสมกัน ทั้งยังมีความนุ่มของเนื้อปลา ข้างนอกเกรียมข้างในนุ่ม จานนี้เป็นจานที่สุดยอดมาก เมื่อฉินชิงกินอาหารที่อร่อยเต็มสิบมาสามอย่างติดต่อกัน ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

ดังนั้นนางจึงเริ่มลองเมนูอื่นๆ เช่น หมูสองไฟ อาหารจานนี้ไม่เผ็ดเท่าเนื้อสัตว์ตุ๋น ระดับความเผ็ดนั้นนิดเดียวเพราะถึงอย่างไรก็ใช้พริกหยวก พ่อครัวโรยพริกแดงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ

จุดเด่นของหมูสองไฟก็คือมันแต่ไม่เลี่ยน อาหารจานนี้เมื่อเทียบกับจุดเด่นของอาหารที่อร่อยเต็มสิบเมื่อครู่นี้ก็ได้ไปแปดคะแนน

เมื่อฉินชิงกินหมูสองไฟเสร็จแล้วก็จิบน้ำชา ล้างรสชาติในปากแล้วชิมต่อ

ครั้งนี้ตะเกียบของนางเล็งไปที่บะหมี่เซ่าจื่อบนโต๊ะ บะหมี่เซ่าจื่อนี้ต้องทำโดยพ่อครัวจากมณฑลส่านซี แปดแต้มสำหรับสิ่งนี้ เนื้อเซ่าจื่อเป็นของแท้ กลิ่นเค็มสุดจะบรรยาย จึงให้แปดคะแนน

หลังจากกินบะหมี่เซ่าจื่อแล้ว ฉินชิงก็คีบหมูนึ่งราดซอสกระเทียม  หมูนึ่งหั่นบางและสมส่วน แต่ละชิ้นมีความหนาประมาณสองหรือสามมิลลิเมตร กลิ่นกระเทียมมาเต็มๆ หมูนึ่งจานนี้จึงได้เก้าคะแนน

หลังจากกินหมูนึ่งแล้ว ฉินชิงก็เล็งตะเกียบไปที่หมูกรอบบนโต๊ะ อาหารจานนี้เป็นหนึ่งในอาหารจานใหญ่ที่ฉินชิงจะได้กินทุกวันปีใหม่เมื่อมาที่นี่

ตอนเด็กๆ จำได้ว่านางกับพี่รองไปขโมยหมูกรอบที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ กัดไปหนึ่งคำก็ทั้งฉ่ำและนุ่ม เป็นรสชาติที่สมบูรณ์แบบในสมัยเด็ก

แต่ตอนนี้หมูกรอบบนโต๊ะไม่อร่อยเลย อาจเป็นเพราะว่าอาหารอร่อยจานนั้นยังอยู่ในความทรงจำของฉินชิง จึงให้ได้แค่เจ็ดเท่านั้น

พอกินอะไรมันๆ เลี่ยนๆ แล้ว แน่นอนว่าต้องอยากกินอาหารที่ทำให้หายเลี่ยน ฉินชิงจึงตักเต้าหู้เหวินซือขึ้นมากินหนึ่งช้อนและจิบน้ำอีกสองคำ

จริงๆ แล้วเต้าหู้เหวินซือนี้ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และวัตถุดิบอื่นๆ ก็ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ที่ละเอียดมากเช่นกัน ทั้งหมดถูกใส่ลงไปในซุปจนซุปข้นขึ้น ว่ากันว่าที่เต้าหู้เหวินซือได้ชื่อนี้เพราะคนที่คิดค้นอาหารจานนี้ก็คือพระชื่อเหวินซือ

รสชาติจืดๆ แต่นุ่มมาก จานนี้ให้แปดคะแนน

หลังจากกินของจืดๆ ย่อมต้องการกินอาหารรสเข้มข้น ฉินชิงคีบหมูสับนึ่งแป้งที่สามารถกินได้หนึ่งคำมาประกบกับหมั่นโถวและกินหมดในคำเดียว หมูสับนึ่งแป้งกับหมั่นโถวสามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว หมั่นโถวสามารถละลายความมันเลี่ยนของหมูสับนึ่งแป้งได้ ส่วนหมูสับนึ่งแป้งก็ช่วยหมั่นโถวที่ไร้รสชาติ ทั้งสองช่วยเสริมกันและกัน อาหารจานนี้ให้แปดคะแนน

ส่วนน้ำซุปผักกาด ฉินชิงเองก็เคยได้ยินชื่อบ้างในยุคปัจจุบัน ว่ากันว่าการทำน้ำซุปนั้นซับซ้อนมาก แต่พอกลายเป็นอาหารกลับมีหน้าตาเรียบง่ายและรสชาติจืดๆ

ตอนนี้ฉินชิงเองก็ใกล้จะอิ่มแล้ว ในฐานะนักชิม เมื่อกินอิ่มต้องทำอย่างไร? แน่นอนว่าต้องพักก่อนค่อยกินต่อ แต่ตอนนี้ฉินชิงยังไม่อิ่มอย่างเต็มที่ นางมองอาหารบนโต๊ะที่นางยังไม่ได้กิน เหลือเพียงทอดมันปลา โจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า และไป่เหอซู

ฉินชิงรู้สึกว่าปริมาณอาหารที่นางยังกินได้ สามคำก็ไม่นับว่ามีปัญหาอะไร

วัตถุดิบในการทำทอดมันปลานั้นเป็นเนื้อปลาจริงๆ ด้านในยังเพิ่มเห็ดหอมเพื่อเพิ่มความสดใหม่และมีวัตถุดิบอื่นๆ อีกเล็กน้อย ดูน่ากินยิ่งนัก หน้าตาภายนอกเป็นสีทองและดูกรอบ ด้านในก็สดและนุ่ม อาหารจานนี้ให้เก้า

จากนั้นก็เป็นโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้าเป็นอาหารที่คนธรรมดาไม่ค่อยได้กิน ในที่สุดก็ได้เจอกับเนื้อที่ไม่ติดมันและโจ๊กข้าว ให้เก้าคะแนน

และของสุดท้ายก็คือของหวาน เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกว่าทำออกมาได้สวยงามมาก ขอบข้างเป็นสีขาว ตรงกลางเป็นสีชมพูเข้ม คล้ายกับดอกลิลลี่มาก ไม่รู้ว่าพ่อครัวคิดออกมาได้อย่างไร

กินของหวานแต่กลับไม่เลี่ยน เมื่อเข้าปากก็ละลาย ความหวานกำลังดี ทำให้คนยากจะห้ามใจไหว

ในที่สุดอาหารให้ชิมทั้งหมดก็หมดแล้ว ฉินชิงตัดสินใจตัดพ่อครัวที่ทำหมูกรอบนั้นออกไป ส่วนพ่อครัวที่ทำอาหารจานที่เหลือทั้งหมดก็ให้มาทำอาหารให้นางกินที่ครัวเล็กของตำหนักจงชุ่ย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด