CD บทที่ 383 ปล่อยให้จินตนาการได้โลดแล่น
จ้าวหยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที เนื่องจากฝันร้ายของเขา เขาหันไปดูนาฬิกาก็พบว่า ตอนนี้เวลาตีสี่ ท้องฟ้าข้างนอกยังมืดอยู่ มันเป็นคืนที่มืดมิด ไม่มีลม และในบ้านก็อบอ้าว ทำให้เหงื่อออกทั่วทั้งตัว
‘น่ากลัวชะมัด! อย่างที่เขาว่ากันเลย! 'สิ่งที่คุณนึกถึงในตอนกลางวัน คุณจะฝันถึงในตอนกลางคืน' การสืบสวนคดีสุสานโบราณที่มีเหยื่อที่เสียชีวิต มันทำให้ฉันคิดไม่ตกจนเก็บเอาไปฝัน…’ จ้าวหยู่คิด
เขาเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะและลุกจิบน้ำ เขาต้องการเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อกลับไปนอนอย่างสงบ แต่จู่ ๆ เขาก็นึกถึงแจกันสมัยราชวงศ์หมิงที่เขาทิ้งไว้นอกห้องนอน
‘เชี่ย! แจกันนั่นมาจากสุสานใช่มั้ย? หรือว่าฉันจะฝันร้ายเพราะมัน?’ เขาคิดกับตัวเอง
แม้ว่าจ้าวหยู่จะรู้ตัวว่าเขาคิดมากไป แต่เขาไม่สามารถหลับได้เมื่อเขาลงไปนอนบนเตียง
หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะอยู่กับต้าเหิง มันช่วยให้เขารู้สึกสบายใจกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่เจียงเสี่ยวเฉินซึ่งอยู่ชั้นล่างได้สอบกลางภาคเสร็จแล้วและพาต้าเหิงกลับไปที่บ้านเกิดของเธอเพื่อไปเที่ยว!
‘ต่อให้ฉันอยากหลับ ก็คงหลับไม่ลงแล้ว!’ เขาคิด
จ้าวหยู่ลุกขึ้นเพื่อตรวจสอบโทรศัพท์ของเขาเพื่อดูว่ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมสุสานหรือไม่?
หลังจากกวาดตาดูสักพัก เขาก็พบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าสถานีโม่หยางจะพบสิ่งของที่ถูกขโมย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาโจรปล้นสุสานได้ ราวกับว่าคนเหล่านั้นหายไปในอากาศ
ทันใดนั้น จ้าวหยู่ก็นึกถึงสมมติฐานของหลี่ซิวเซิง นั่นก็คือเรื่องของเทวรูปทองคำ หากมีเหตุจูงใจมาจากเรื่องนี้ มันก็ยิ่งทำให้คดีที่เรียบง่ายมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
‘ถ้าอย่างนั้น… ความจริงคืออะไร? มันจะเกี่ยวข้องกับเทวรูปทองคำหรือไม่?’ จ้าวหยู่คิด ‘ถ้าฉันขุดคุ้ยเรื่องของนักโบราณคดีทั้งสามคนอย่างละเอียด ฉันจะได้เบาะแสมาเพิ่มหรือไม่?’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็มีแรงฮึดขึ้นมาทันที เขาล้างหน้าแต่งตัวและไปที่สถานีตำรวจทันทีพร้อมปืน
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ปล่อยแสงสว่างขับไล่ความมืดให้จางหายไป
เมื่อจ้าวหยู่กำลังเดินทางไปสถานีตำรวจ เขาก็จุดบุหรี่เพื่อรับคำทำนายใหม่ เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า ‘สิ่งที่ดีมักจะมาหาผู้ที่รอคอย’
ในที่สุด จ้าวหยู่ก็ได้รับคำว่า ‘Gen’ ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จ้าวหยู่ไม่ได้ใส่ใจคำว่า ‘Kan’ ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงเลย ตราบเท่าที่เขาได้รับคำว่า ‘Gen’ เขาก็ดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
‘เยี่ยมไปเลย! ในเมื่อวันนี้ได้คำว่า 'Gen' ฉันไปหาเบาะแสกันดีกว่า บางทีฉันอาจสามารถไขคดีในวันนี้เลยก็ได้!’ เขาคิด
แม้จะเป็นตอนเช้าตรู่ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ทำการอยู่ในคลังเก็บอาวุธในสถานีตำรวจ จ้าวหยู่มาคืนรถและปืน จากนั้นก็ไปที่ห้องทำงาน เขาสังเกตเห็นไฟห้องทำงานยังเปิดอยู่ ดูเหมือนว่าน่าจะมีคนเข้าเวรตลอดทั้งคืน
จ้าวหยู่ผลักประตูเบา ๆ และพบว่าห้องยังเงียบ ไวท์บอร์ดสำหรับเขียนความคืบหน้าของคดีที่อยู่ตรงหน้าเขาเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสาม สองอันแรกถูกใช้เพื่อบันทึกคดีฆาตกรรมสุสาน ในขณะที่อีกอันหนึ่งใช้สำหรับบันทึกคดีหญิงสาวในชุดโบราณเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว
หากต้องการเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับเทวรูปทองคำ เขาคงต้องเพิ่มไวท์บอร์ดอันที่สี่
“จ้าวหยู่… เกิดอะไรขึ้น?” ทันใดนั้น จ้าวหยู่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยจากมุมห้อง เมื่อมองไปทางต้นเสียง เขาก็พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจอ
ผู้กองเหมี่ยว
แต่เขาเห็นว่าเหมี่ยวอิงนอนอยู่บนโต๊ะที่อยู่ห่างจากแสงไฟ เธอดูง่วงนอนมาก
“คุณ… ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?”
เมื่อมองไปที่เหมี่ยวอิงที่เหนื่อยล้า หัวใจของจ้าวหยู่ก็เริ่มเจ็บปวดเพราะเธอ เขาเดินไปอย่างรวดเร็วและถอดเสื้อนอกเพื่อคลุมเธอเอาไว้
“ทำไมคุณมาที่นี่กลางดึก? คุณมีเบาะแสใหม่หรือเปล่า? อืม?” เหมี่ยวอิงไม่สามารถลืมตาได้ เธอพูดทั้งที่ตาเธอแทบจะปิด
"ไม่ไม่!" จ้าวหยู่ลูบหลังของเหมี่ยวอิงเบา ๆ และพูดว่า “ฉันมาที่นี่เพื่อวิเคราะห์คดี ผู้กองเหมี่ยว ก่อนหน้านี้ฉันนอนมาพอแล้ว คุณดูเหนื่อยมาก ทำไมคุณไม่นอนพักสักหน่อยล่ะ? คุณไปนอนเถอะ ฉันจะดูคดีต่อเอง…”
จ้าวหยู่แตะเธอเบา ๆ สองสามครั้ง และเหมี่ยวอิงก็ผล็อยหลับไป
จ้าวหยู่รอจนกระทั่งเหมี่ยวอิงนอนสนิท และค่อย ๆ ถอยห่างจากโต๊ะของเธอ เมื่อมองไปที่เหมี่ยวอิงในขณะหลับลึก หัวใจของเขาก็เจ็บปวด คดีนี้ทำให้ผู้หญิงแกร่งอย่างเธอต้องลำบาก หลายสถานีกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด เธอคงรู้สึกกดันที่ต้องแบกรับภาระหนักไว้คนเดียว
‘ไม่ต้องกังวล ผู้กองเหมียว!’ จ้าวหยู่พูดในใจของเขา ‘ไม่ว่ายังไง ฉันจะแบ่งเบาภาระของคุณ! คราวนี้คอยดูฉันให้ดี ฉันจะทุ่มสุดตัวและไขคดีให้คุณก่อนใคร!’
จากนั้น เขาหันกลับไปหาไวท์บอร์ดและเริ่มมองข้อมูลของคดีฆาตกรรมสุสานอย่างละเอียด หลังจากที่เขาดูข้อมูลของคดีอีกครั้ง เขาดึงไวท์บอร์ดมาอีกแผ่นหนึ่งมาเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับเทวรูปทองคำ
หลังจากที่เขาเพิ่มข้อมูล ท้องฟ้าก็เกือบจะสว่างแล้ว แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง แม้จะไม่มีแสงจากหลอดไฟ แต่เขาก็สามารถเห็นข้อมูลบนไวท์บอร์ดได้อย่างชัดเจน
เจ้าเมืองหลู่หย๋า ฉิวเชิง, การอธิษฐานขอฝนในวัดพระทอง, เทวรูปทองคำสิบสององค์, สุสานของเจ้าเมือง, เหยื่อในโลงศพ, นักโบราณคดีชราทั้งสาม…
จ้าวหยู่พยายามจัดระเบียบข้อมูลตามลำดับเวลา และเขาก็ตระหนักได้ว่า ยังคงมีแง่มุมมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ในข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้
‘นักโบราณคดีชราทั้งสาม พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรในคดีฆาตกรรมสุสาน?’ เขาคิด ‘พวกเขาตามหาเทวรูปทองคำจริง ๆ หรือ?
แล้ว… มันมีเทวรูปทองคำอยู่ในสุสานของเจ้าเมืองจริง ๆ หรือไม่? ถ้ามี แล้วทำไมพวกโจรปล้นสุสานจึงฆ่านักโบราณคดีเพียงคนเดียวด้วย?
ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสามคนจะดูสนิทสนมกัน แต่ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะฆ่ากันเอง ต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
แต่ถ้าไม่มีเทวรูปทองคำ ทำไมโจรไม่นำของทุกอย่างออกจากสุสาน?
แล้วทำไมพวกสถานีโม่หยางถึงพบแต่โบราณวัตถุ แต่กลับไม่พบของอย่างอื่นที่เป็นของโจรปล้นสุสานเลย
พวกโจรหนีไปกับพร้อมกับเทวรูปทองคำหรือว่าไปทำอย่างอื่น? แล้วนักโบราณคดีอีกสองคนไปอยู่ที่ไหน?’ จ้าวหยู่ครุ่นคิด
เขารู้สึกว่าคดีนี้เต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล และมีหลายเรื่องที่อธิบายไม่ได้
ตามการสันนิษฐานของหลี่ซิวเซิง หากเจ้าเมืองฉิวเชิงได้นำเทวรูปทองคำไปจริง ๆ เขาก็น่าจะนำพวกมันไปที่สุสานเพื่อฝังไปด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสร้างสุสานในสถานที่ที่ไม่เป็นไปตามหลักคำสอนของฮวงจุ้ย ด้วยวิธีนี้โจรปล้นสุสานจึงไม่สามารถทำลายหลุมฝังศพของเขาได้
แต่ตามความเข้าใจของจ้าวหยู่ เขารู้สึกว่าความน่าจะเป็นที่เจ้าเมืองฉิวจะนำเทวรูปทองคำเข้าไปในสุสานของเขานั้นค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเทวรูปทองคำนั้นมีมูลค่ามากเกินไป
ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองฉิวจะทิ้งคำขอของเขาให้ฝังเทวรูปทองคำพร้อมกับเขา แต่ลูก ๆ ของเขาก็อาจจะไม่ได้ทำตาม
ฉิวเชิงเป็นเพียงเจ้าเมืองที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น เขาไม่ใช่ญาติของจักรพรรดิหรือขุนนางที่ร่ำรวย ลูกหลานของเขาจะไม่ต้องการครอบครองเทวรูปทองคำของเขาได้อย่างไร?
เป็นการยากที่จะบอกว่าลูก ๆ ของฉิวเชิงหลอกเขาเหมือนกับที่เขาหลอกชาวบ้าน ลูก ๆ ของฉิงเชิงอาจนำเทวรูปทองคำที่ทำจากหินไปไว้ในหลุมฝังศพของเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิต
‘เทวรูปทองคำปลอมพวกนั้นจะหลอกพวกโจรปล้นสุสานได้รึเปล่านะ?’ จ้าวหยู่คิด
จู่ ๆ จ้าวหยู่ก็ตบหัวของเขาและคิดกับตัวเองว่า
‘ฉันกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย? นี่ฉันมโนไปไกลขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”