ตอนที่แล้วตอนที่ 1245 มันไม่เหมือนกับที่พวกเจ้าคาดไว้สินะ..
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1247 คุณพูดเองเถอะ..

ตอนที่ 1246 ประโยคเดิม ชีวิต และความตายของเขาอยู่ในมือของท่านแล้ว!


ตามที่ หยุน จงเจิ้ง กล่าวไว้ ไม่มีใครยืนขึ้น และบอกคําตอบให้แก่ ชายใบหน้าเหลี่ยม หรือไม่พวกเขาก็ไม่รู้จริงๆ หรือต่อให้รู้.. ก็ไม่มีใครยอมคิดขายสำนักนิกายของตัวเอง

“เป็นไปได้ไหมว่าพวกเจ้าหยุนเหมินจริงๆ แล้ว ไม่กลัวที่จะถูกทำลายจริงๆ!” ชายใบหน้าเหลี่ยม ได้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นออกไปว่า : “ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าคิดให้ดี ในฐานะที่เป็นสำนักนิกายซ่อนเร้น.. มันไม่ง่ายที่จะสืบทอดต่อๆ กันมาได้ และข้าก็เห็นว่ามันไม่ง่ายเลยสำหรับพวกเจ้าที่จะหลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาลึกนี้ ข้าเองได้เสียเวลาไปมากในการออกตามหาพวกเจ้า แต่พอมาตอนนี้หรือพวกเจ้าเห็นแก่เพียงสิ่งนอกกายแค่อันเดียว จนเต็มใจที่จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากกว่างั้นหรือ!”

หยุน จงเจิ้ง ที่ได้ยินก็ได้หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า : “หยุนเหมินอย่างเรา ไม่เคยคิดเสียใจที่ต้องตาย เจ้ามันดูถูกเรามากเกินไป และหยุนเหมินของข้านับตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ก็ไม่เคยคิดก้มหัวให้แก่ศัตรูใดมาก่อน! เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า และเจ้าก็ควรรีบลงมือโดยเร็ว!”

ชายใบหน้าเหลี่ยม พูดว่า : “ข้าขอแนะนําให้ท่านลองพิจารณามันดูใหม่อีกครั้ง”

หยุน จงเจิ้ง ก็ได้หัวเราะเยาะไปว่า : “พิจารณาอะไร.. ข้าขอถามเจ้าว่า หากถ้าข้ามอบสมบัติไปให้กับเจ้าแล้ว เจ้ายังคิดที่จะปล่อยพวกเราไปหรือไม่?”

ชายใบหน้าเหลี่ยม ได้พยักหน้า แล้วกล่าวว่า : “ข้าจะทํา”

หยุน จงเจิ้ง กล่าวว่า : “ไม่ เจ้าไม่ทำ แม้ว่าข้าจะมอบทรัพย์สมบัติของเราไปให้เจ้าเดี๋ยวนี้ และเมื่อเจ้าได้รับสมบัติแล้ว เจ้าก็ยังคงฆ่าสังหารเราชาวหยุนเหมินทั้งหมด ข้าพูดไม่ผิดหรอก ในเมื่อตั้งแต่ต้นเจ้าก็คิดที่จะมอบความตายให้แก่เรา แล้วคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าทำมันสำเร็จงั้นหรือไง!”

ทางนี้ หลินฟาน เองก็ได้พยักหน้า และจริงๆ แล้ว เขาก็มองออกว่า ชายใบหน้าเหลี่ยมผู้นี้ที่ทำคือ ใช้กลอุบายหลอกลวงผู้คน จากสไตล์ของผู้ชายคนนี้ เขาจะฆ่าสังหารหมู่ชาวหยุนทั้งหมด ในเรื่องนี้.. เขาเองก็ไม่ได้แปลกใจ อย่างที่กล่าวกันว่า ‘ตัดรากถอนโคน’ แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายหลัง เหมือนเมื่อคืนที่เขาได้กําจัดกลุ่มของ หลี่ เสี่ยงสุ่ย ลงทั้งหมด

ชายใบหน้าเหลี่ยม ได้หัวเราะออกมา : “พอแล้ว ข้าปล่อยให้ท่านพูดมามากพอแล้ว..”

เขาไม่ได้วางแผนที่จะไว้ชีวิตคนพวกนี้จริง และก็ดูเหมือนว่ากลอุบายหลอกลวงนี้ ..จะล้มเหลวลงไปแล้วเช่นกัน

เมื่อเห็นสีหน้าดวงตาของ ชายใบหน้าเหลี่ยม ที่เปลี่ยนไป มันราวกับว่าเขาได้มีเป้าหมายใหม่ขึ้นมาแล้วในตอนนี้ ครั้นก็ได้ก้มตัวลงไปคว้า หยุน จงเจิ้ง และโยนเขาไปทาง ชายหนุ่มสองคน เมื่อนั้นทั้งสองก็ล้มลงไป

แต่ทั้งสองคนก็ยังรับ หยุน จงเจิ้ง เอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว

ทุกคนรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่า ชายใบหน้าเหลี่ยม คนนี้ ..ต้องการคิดที่จะทําอะไร เพราะจู่ๆ นั้นเขาก็เกิดปล่อย หยุน จงเจิ้ง ขึ้นมา หรือ เขา.. รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เขาไม่ได้รับอะไรออกไปอย่างแน่นอน เลยเกิดมีมโนธรรมขึ้นมาในใจ และได้คิดที่จะยอมแพ้ไปแล้ว?

อย่างไรก็ตาม.. ในขณะที่ทุกคนกําลังสับสนอยู่

ทันใดนั้น ชายใบหน้าเหลี่ยม ก็ได้หายไปจากจุดที่ยืนอยู่ และได้ปรากฏตัวขึ้นอีกจุด พร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าจับผู้หญิงที่อยู่ใกล้ที่สุดคนหนึ่ง

ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยเช่นกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า ชายใบหน้าเหลี่ยม เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบสนองได้ทัน และโดน ชายใบหน้าเหลี่ยม ผู้นี้ปราบลงอย่างสมบูรณ์…

ชายใบหน้าเหลี่ยม จ้องมองไปที่ หยุน จงเจิ้ง แล้วกล่าวว่า : “ผู้นำหยุน.. เจ้าใจแข็งมากจริงๆ แต่ถึงขนาดยอมที่จะทําลายชีวิตของผู้คนในหยุนเหมินของเจ้าเองหรือไม่นั้น ในเรื่องนี้ข้ากลับไม่ค่อยอยากจะเชื่อเจ้าเท่าไหร่นัก ในตอนนี้เราลองมาเล่นเกมกันหน่อยดีกว่า นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ข้าเริ่มฆ่าสังหารศิษย์สาวกของหยุนเหมินไปทีละคนๆ ต่อหน้าเจ้า.. และก็พวกเจ้า จนกว่า ผู้นำหยุน ของพวกเจ้าคิดเปลี่ยนใจ และมอบสมบัตินั้นมาให้กับข้า! ผู้นำหยุน.. ชีวิต และความตายของนางผู้หญิงคนนี้ มันอยู่ในมือของท่านแล้ว”

ในที่สุดคนทั้งปวงก็เข้าใจเจตนาของ ชายใบหน้าเหลี่ยม แล้ว การที่เขาปล่อย หยุน จงเจิ้ง ไปไม่ใช่ว่าเขาคิดที่จะยอมแพ้ แต่เขากลับมีเป้าหมายใหม่ที่จะใช้คุกคาม หยุน จงเจิ้ง ด้วยชีวิตของผู้คนทั้งปวงในหยุนเหมิน

หญิงสาวที่ถูก ชายใบหน้าเหลี่ยม จับก็ได้พยายามดิ้นรน โดยเธอเองก็ได้บอกว่า ไม่กลัวความตาย แต่เมื่อความตายได้ใกล้เข้ามาเธอก็ยังคงรู้สึกกลัวมัน..

หยุน จงเจิ้ง ไม่ได้มองไปที่ ชายใบหน้าเหลี่ยม แต่เขากลับมองไปรอบๆ ผู้คนที่เป็นศิษย์สาวกหยุนเหมิน แล้วพูดว่า : “เหล่าศิษย์สาวกหยุนเหมิน จงฟัง เตรียมพร้อมรบ และจงสู้ให้จนถึงที่สุด!”

คนทั้งหมดของหยุนเหมินก็ได้อยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด และเมื่อได้ยินเสียงคำสั่งนี้จาก หยุน จงเจิ้ง คนทั้งปวงก็ต่างพากันเดือดพล่าน และได้กู่ร้องพร้อมกันออกไปว่า : “เตรียมต่อสู้กับศัตรูให้ถึงที่สุด จงสู้จนตัวตาย!”

ความรู้สึกของผู้คนทั้งปวงนั้นดูฮึกเหิมอย่างมาก และทุกคนก็ได้มีการแสดงออกอย่างที่ไม่กลัวความตายออกมา

ฉากนี้ หลินฟาน ที่ได้เห็นเขาถึงขั้นตกตะลึงไปจริงๆ สําหรับศิษย์สาวกหยุนเหมินเหล่านี้ เขาเองอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเล็กน้อย ในโลกนี้ มีคนทั้งตระกูลที่ไม่กลัวความตายอยู่จริงๆ นะเหรอ? ตระกูลแบบนี้ คงมีแต่ในสำนักนิกายซ่อนเร้น นอกจากนี้คนในเจียงหู ก็ยังค่อนข้างมีความโหดเหี้ยม กระหายเลือดอยู่มาก..

หลินฟาน ได้ถามตัวเอง แน่นอนว่าเขาทําไม่ได้ ในสายตาของ หลินฟาน การมีชีวิตอยู่นั้น มันสําคัญกว่าสิ่งอื่นใด เพราะไม่ว่าจะเผชิญกับความพ่ายแพ้อะไร แค่เพียงการมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะมีโอกาสพลิกตัวขึ้นมาได้ แต่เมื่อตายไปแล้วก็ไม่เหลืออะไร ใช่.. อย่างเช่นการเห็นความตายดั่งการคืนสู่มาตุภูมิ หรือการไม่ยี่หระต่อความตายใดๆ… นี่ก็ดูออกจะเลือดร้อนเกินไป แต่พอหลังจากเลือดร้อนแล้ว ศัตรูยังคงลอยนวล แต่ตัวเองกลับต้องมาตาย และแล้วความแค้นครั้งใหญ่นี้ ก็ไม่สามารถตามไปล้างแค้นได้อีกต่อไป!

คนที่คิดเหมือนๆ กับ หลินฟาน จริงๆ แล้วมีจํานวนไม่น้อย อย่างสุภาษิตที่ว่า ‘ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา’(1) นี่คือคําพูดที่บรรพบุรุษได้ใช้เตือนสติ และเรียนรู้ที่จะอดทนต่อความพ่ายแพ้

ในปีนั้น กษัตริย์แห่งแคว้นเยว่ ได้สู้รบ และพ่ายแพ้ ถ้าเขาปฏิบัติต่อความตายเหมือนหมู่บ้านแห่งนี้ เขาเองคงได้ตายลงไปในสนามรบ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง.. แคว้นเยว่ ก็คงล่มสลายไปนานแล้ว ในตอนนั้น โกวเจี้ยน เจ้าแห่งแคว้นเยว่ ได้เลือกที่จะอดทนต่อความอัปยศอดสู เต็มใจยอมตกเป็นเชลยของแคว้นอู๋ ทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อประจบสอพลอก ฟูไช กษัตริย์แห่งแคว้นอู๋ จนในที่สุดก็ได้รับความโปรดปรานจาก ฟูไช และได้ถูกปล่อยตัวกลับไปยังแคว้นเยว่ ต่อมาเขาก็ได้ฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้น และในที่สุดก็เอาชนะแคว้นอู๋ได้ เมื่อนั้นก็ได้บังคับให้ ฟูไช ฆ่าตัวตาย ความแค้นครั้งใหญ่นี้ก็ได้รับการแก้แค้น นี่คือที่มาของเรื่อง ‘นอนฟืนชิมน้ำดีขม’(2)

ตัวอย่างดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลก ตัวอย่างเช่น หลิว เป้ย์ (เล่าปี่, 刘备) เมื่อช่วงเวลาที่อ่อนแอ เขาได้เลือกที่จะซ่อนความสามารถ ซึ่งมันทําให้แม้ว่าเขาจะอยู่ในค่ายโจโฉ แต่เขาก็ยังสามารถรักษาตัวเองเอาไว้ได้ ต่อมาในการแบ่งแผ่นดินออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งก็ตกไปเป็นของเขา

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ หาน ซิ่น (ขุนศึกซึ่งรับใช้ หลิว ปัง, 韩信) เพื่อรักษาตัวเอง หาน ซิ่น จึงได้ลอดหว่างขาของพวกอันธพาล แต่ต่อมาเขาก็ได้กลายเป็นแม่ทัพของราชวงศ์ฮั่น

คนเราภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก แม้แต่ความอัปยศอดสูก็สามารถทนได้ แล้วจะมีอะไรที่ทนไม่ได้ล่ะ?

ทุกครั้งที่คิดถึง หาน ซิ่น หลินฟาน ก็จะบอกกับตัวเองว่า ต้องแข็งแกร่งขึ้น เพราะการแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอย่างสถานการณ์ของ หาน ซิ่น ได้ และหลินฟาน จะไม่ยอมให้ตัวเองถูกดูถูกเด็ดขาด

เมื่อเทียบกับความอัปยศอดสูอย่างของ หาน ซิ่น แล้ว หลินฟาน หวังว่าตัวเองจะมีชีวิตเหมือน เหวย เสี่ยวเป่า (อุ้ยเสี่ยวป้อ, 韦小宝) มากกว่า, เหวย เสี่ยวเป่า ไม่ได้มีวรยุทธที่แข็งแกร่งแต่อย่างใด แต่เขาสามารถอยู่รอดมาได้ในหมู่ของผู้ยิ่งใหญ่ จนขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุด และไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเจียงหูคนใด เขาก็สามารถรับมือได้หมด

หากมองในมุมมองทั้งสามของ หลินฟาน และเหวย เสี่ยวเป่า ต่างก็มีสิ่งที่เหมือนกัน บางคนรู้สึกว่าการหลบหนีเป็นเรื่องที่น่าอับอาย และยอมตายดีกว่าหนี แต่ หลินฟาน และเหวย เสี่ยวเป่า ไม่คิดอย่างนั้น สู้ไม่ได้ก็แค่หนี นี่จึงเป็นวิธีที่ถูกต้อง

ปัจจุบัน หลินฟาน เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหยุนเฉิง แต่ หลินฟาน ก็เกิดมาจากชนชั้นล่าง และครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดอย่างประมาทมุทะลุ ในโลกนี้ ..เขาใช้ชีวิตเหมือนกับแมลงตัวเล็กๆ ที่ดิ้นรนอยู่ในโลกที่มีการแข่งขันสูง และหนทางรอดของแมลงตัวเล็กๆ ก็คือ ต้องมีความยืดหยุ่น สามารถงอได้ และยืดหดได้ สู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็หนี

แน่นอนว่าความคิดของ หลินฟาน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความชื่นชมของเขาที่มีต่อทุกคนในหยุนเหมิน คนที่เห็นความตายดั่งการคืนสู่มาตุภูมิ คนจำพวกนี้มักจะเต็มไปด้วยความเลือดร้อน และทําให้ผู้คนที่ได้เห็นถูกกระตุ้นอารมณ์ขึ้นมา

เป๊าะ!

ในเวลานี้ ได้มีเสียงที่น่ากลัวดังขึ้น

ชายใบหน้าเหลี่ยม ได้หักคอผู้หญิงที่อยู่ในมือคนนั้น

หัวของผู้หญิงคนนั้นก็ได้ห้อยตกลงมา และเสียชีวิตทันที!

เมื่อเห็นสิ่งนี้แล้ว ทุกคนในหยุนเหมินต่างพากันโศกเศร้า และโกรธแค้นอย่างมาก แต่สิ่งนี้กลับไม่ได้ทําให้พวกเขาเกิดความกลัว แต่มันกลับส่งเสริมให้อารมณ์ของพวกเขาในตอนนี้ มันยิ่งมีมากขึ้น ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้จนถึงที่สุดนั้น มันก็ได้มีมากยิ่งขึ้น!

ชายใบหน้าเหลี่ยม ที่ได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ไอ้คนพวกนี้นี่มันไม่กลัวตายจริงๆ คนจำพวกที่ไม่กลัวตายเช่นนี้นั้น คือพวกที่รับมือได้ยากที่สุด ต่างจากพวกที่กลัวตาย เพียงแค่ขู่คุกคามอีกฝ่ายเล่นๆ ก็พากันยอมจำนนแล้ว แต่กลับคนที่ไม่กลัวตายนั้น มันดันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก

ชายใบหน้าเหลี่ยม มองไปที่ทุกคน ทันใดนั้นเขาก็ยกยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา และกระโจนเข้าใส่ฝูงชนทันที

ทุกคนได้เตรียมพร้อมต่อสู้อยู่ก่อนแล้ว ต่างก็กระโจนเข้าใส่ ชายใบหน้าเหลี่ยม ออกไปอย่างกล้าหาญ และไม่กลัวตายในทันที แต่พวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ของ ชายใบหน้าเหลี่ยม ..ที่ไหน เมื่อนั้นพวกเขาต่างก็ถูก ชายใบหน้าเหลี่ยม ซัดจนปลิวว่อนออกไป

ในไม่ช้า ชายใบหน้าเหลี่ยม ก็คว้าจับเด็กน้อยวัยสามขวบเอาไว้ได้ด้วยมือเดียว และฝ่าวงล้อมออกมา

เด็กน้อยวัยสามขวบคนนั้นร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว

ทุกคนที่เห็นเช่นนี้ ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป

ชายใบหน้าเหลี่ยม ได้มีสีหน้าที่ดุร้าย พร้อมกับพูดหัวเราะออกไปว่า : “พวกเจ้าไม่กลัวตาย? งั้นข้าก็ต้องการดูว่า เจ้าตัวเล็กนี่ มันไม่กลัวตายด้วยหรือไม่! ผู้นำหยุน.. ประโยคเดิม ชีวิต และความตายของเขาอยู่ในมือของท่านแล้ว!”

(1)[ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา (留得青山在,不怕没柴烧)] - เป็นอุปมาอุปไมยว่า ‘ตราบใดมีชีวิต ก็ย่อมต้องมีความหวัง’ 

(2)[นอนฟืนชิมน้ำดีขม (卧薪尝胆)] - เป็นสำนวนที่มักใช้เพื่อสอนว่า คนเราต้องผ่านการเคี่ยวกรำตนเอง อดทน เพียรพยายามอย่างยิ่ง เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จดังที่มุ่งหวังไว้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด