ตอนที่แล้วบทที่ 11 ฝึกฝน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 ใครเอาเธอไป?

บทที่ 12 ชีวิตในปราสาท


หกเดือนผ่านไปและตอนนั้นเป็นช่วงกลางฤดูหนาว เอลริคอายุครบหกขวบแล้ว และจะถึงวันเกิดของอาลิสอีกสามวัน ผู้ดูแลปราสาทต่างกำลังวุ่นวายกับกิจกรรมในการเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับวันเกิดปีที่สี่ของเจ้าหญิง เอลริคและเบลซที่เริ่มมีขนาดเท่าสุนัขตัวใหญ่พิเศษสังเกตเห็นว่าคนคนเดียวที่อารมณ์ไม่ได้สนุกสนานด้วย คือ ราชาจอห์น ฟอสต์

เอลริคถามโอดิสเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้บอกว่าเป็นเพราะ Isibella แม่ของเจ้าหญิงอาลิสเสียชีวิตหลังคลอดเธอออกมา มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แม้จะได้รับการดูแลระดับพิเศษของสตรีผู้สูงศักดิ์ แต่การเกิด 1 ใน 200 ครั้งจะจบลงด้วยการที่แม่ ลูก หรือทั้งคู่เสียชีวิตไป

หลังจากที่เอลริครู้เข้า เขาก็อยากจะให้กำลังใจราชาฟอสต์ เขาเดินไปที่ห้องของราชาซึ่งอยู่ด้านล่างห้องโถงสั้นๆ จากห้องบัลลังก์ เมื่อเขาไปถึงประตู ทหารรักษาการณ์ก็แจ้งให้ราชาฟอสต์ทราบโดยทันทีถึงการมาของเขาพร้อมกับความปรารถนาที่จะเข้าไป ราชาฟอสต์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เอลริคต้องการพบเขาในห้องส่วนตัวของเขา เขาตัดสินใจที่จะให้เข้ามาเพื่อดูว่าทำไม

เมื่อราชายินยอม องครักษ์จึงเปิดประตูให้เอลริคและเบลซเข้าไปได้ ตอนนี้ทุกคนในปราสาทคุ้นเคยกับเบลซที่ทำตัวเหมือนเงาของเอลริคมานานแล้ว สำหรับบางคนพวกเขาจะรู้สึกว่ามันแปลกถ้าพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

เมื่อทั้งสองเข้าไปก็คำนับและทักทายมาตรฐานเมื่อเข้าเฝ้าพระราชาตามที่อาจารย์สอน เขาเสริมว่าเขาเห็นราชาอารมณ์ไม่ค่อยโอเคเล็กน้อยในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา และพยายามเข้ามาให้กำลังใจเขาเท่านั้น

เมื่อได้ยิน ราชาฟอสต์คิดว่าบทเรียนที่เขาได้รับต้องมีส่วน เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเด็กวัย 6 ขวบทั่วไปมักไม่คุ้นเคยกับอากัปกิริยาเหล่านี้หรือไม่ได้พยายามทำให้ใครบางคนรู้สึกดีขึ้น

"ข้าหวังว่าพระองค์คงไม่ถือสาอะไรกับข้า ข้าถามโอดิสว่าเขารู้ไหมว่าทำไมพระองค์ถึงไม่สบอารมณ์ เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับมารดาของเจ้าหญิง และยังอธิบายว่าทำไมข้าไม่เคยเห็นเธออยู่กับพระองค์ ข้าขออภัยสำหรับความสูญเสียของพระองค์ ฝ่าบาท หากพระองค์ตกลง พระองค์สามารถพูดคุยเกี่ยวกับเธอได้ เพราะมันคงทำให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย” เอลริคบอกราชา

“ขอบคุณเอลริค เราเห็นว่าบทเรียนเรื่องมารยาทไม่ได้สูญเปล่าสำหรับเจ้า เราได้แต่หวังว่าอาลิสจะได้รับมันเหมือนเจ้าสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี”

"อย่างที่โอดิสบอกเจ้านั่นแหละ ภรรยาของเรา อิซิเบลลา แม่ของเจ้าหญิงอาลิสเสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดเธอหนึ่งวัน เราคิดถึงอิสซี่ของเราอย่างสุดซึ้ง แม้ว่าหลายคนรวมถึงที่ปรึกษาใหญ่โอดิสจะบอกเราว่า 'การเป็นราชานั้นไม่ดีเลย หากไม่มีราชินี' แต่เราพบว่าเราไม่สามารถที่จะรักผู้หญิงคนอื่นได้จริงๆ มันเป็นเวลาสี่ปีแล้วที่ฉันไม่สามารถเอาชนะเธอได้และอาจจะไม่มีวันทำได้ด้วย" จอห์นรำพึงถึงอิซซิเบลล่าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

“เราจะจัดพิธีรำลึกถึงเธอในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันเกิดอาลิส เนื่องจากวันนั้นเป็นวันที่เธอจากไป ข้าคิดว่ามันคงช่วยพระองค์ได้ และข้าแน่ใจว่าเจ้าหญิงอาลิสต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับแม่ของเธอสักหน่อย” เอลริคแนะนำราชาของเขาไป

จอห์นฉุกคิดได้ว่าทำไมไม่ใครคิดเรื่องนี้ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา อาจเพราะเขาเอาแต่คิดถึงเธอ และจอห์นอดรู้สึกไม่ได้ว่าเด็กหกขวบคนนี้ฉลาดกว่าที่ปรึกษาทั้งหมดของเขา เมื่อเขากล่าวว่า

"ใช่ เราคิดว่าเจ้าพูดถูก เราจะจัดพิธีรำลึกถึงราชานีของเรา อิซซิเบลล่า ในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันประสูติของเจ้าหญิงอาลิสจากนี้ไป"

เขากำลังคิดว่าควรตั้งเขาเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของเขาด้วย แต่คนอื่นๆคงจะฆ่าตัวตายไปด้วยความอับอายขายหน้าที่ถูกเด็กชายอายุหกขวบแกล้งทำเป็นฉลาด ถ้าเพียงแต่เขาอายุมากขึ้นกว่านี้น่ะนะ.....

"เราจะให้เจ้าบอกโอดิสเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาสามารถรับและแจ้งข่าวสารกับงานที่มากขึ้นนอกเหนือจากภาระงานที่หนักอยู่แล้วได้ดีกว่าใครๆที่เรารู้จัก ขอบคุณที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนะ เจ้าคงถูกบังคับให้ออกไปแน่ๆ ถ้าเรากับเจ้าอยู่กันนานเกินไป แถมเจ้าหญิงผู้เอาแต่ใจของฉันอาจจะโกรธที่ฉันห้ามไม่ให้เจ้าเล่นกับเธอ เธอรู้ว่าการฝึกของเจ้าในสัปดาห์นี้ถูกระงับเพื่อให้เจ้าใช้เวลากับเธอได้"

"เบลซ เราขอบใจที่ยอมปล่อยให้เธอปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนลูกม้า เรารู้ว่าเธอเป็นคนอื่นคนเดียวนอกจากเอลริคที่เจ้าให้แตะต้องตัวได้ เจ้ายังมีประโยชน์มากในการจุดเตาและเทียนที่นี่เมื่อเร็วๆนี้เช่นกัน เราจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าได้กินแพะเพิ่มในคืนนี้เพื่อเป็นการขอบคุณนะ ตอนนี้เจ้าสองคนไปได้ละหล่ะ เอลริค อย่าลืมบอกโอดิสเกี่ยวกับความคิดของเจ้าและสิ่งที่เราจะทำต่อไประหว่างทางไปพบอาลิสนะ"

ราชาตรัสก่อนจบบทสนทนา นี่อาจนานที่สุดเท่าที่เขาเคยคุยกับเด็กคนอื่นนอกจากลูกเขาเอง แต่เอลริคทำให้เขาดีขึ้นมากจริงๆ

หลังคำนับราชา เอลริคและเบลซออกจากห้องเพื่อแวะที่ห้องทำงานของโอดิสเพื่อบอกเขาให้แจ้งข่าวแก่สาวใช้ที่ทำงานหนักอยู่และพนักงานในครัว เรื่องนี้ทำให้โอดิสปวดหัวอย่างมากในระหว่างที่เขาทำงานอย่างหนักในการตรวจสอบการเงินสิ้นปีของอาณาจักร เขายังไม่ลืมบอกถึงวันหยุดใหม่ที่พวกเขาต้องสร้างและเตรียมตัวให้พร้อมในอีกสี่วัน

เมื่อเขาไปถึงห้องของเจ้าหญิงอาลิส เธอรีบวิ่งไปกระโดดขึ้นหลังของเบลซ และถามแบบงอนๆ

"เธอไปไหนมาทั้งวัน"

"อ๋อ เราไปพบราชา พ่อของเธอมาไง เราถามว่าจะให้อะไรเธอในวันเกิดของเธอดี" เขาจำต้องโกหกเธอไป

“แล้วเธอจะเอาอะไรให้เราล่ะ”

“รอก่อนสิ เราจะไม่บอกเธอหรอกคุณเจ้าหญิง เดี๋ยวจะไม่ประหลาดใจ”

"เยี่ยมไปเลย! เจ้าม้ามังกรน้อย ไปเล่นกันเถอะ" พูดจบทั้งสามก็ออกไปเล่นในลานสนามซึ่งตอนนี้ได้รื้อบ่อน้ำออกแล้ว สองสามวันต่อมาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า แต่ทั้งสามคนเล่นอยู่ในลานแห่งนี้ กินและนอนอย่างสบายใจ พวกเขาเล่นจนถึงเวลาที่สาวใช้เรียกพวกเขาโดยบอกว่าได้เวลาเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงวันเกิดของมกุฏราชกุมารีอาลิสแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดเล่นและออกไปเตรียมตัว เจ้าหญิงอาลิสไปที่ห้องของเธอ และเอลริคกับเบลซไปที่ Dragon's Keep(ซุ้มมังกร) ที่พวกเขาสร้างขึ้น

หลังจากแช่น้ำร้อนเป็นเวลานาน เอลริคก็สวมชุดเกราะและชุดยูนิฟอร์มของเขา พร้อมกับดาบขนาดเล็กเล่มใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ชุดเกราะและชุดเครื่องแบบเป็นของขวัญจากกัปตันเดวิส ในขณะที่เบลคมอบดาบใหม่ให้เขาในวันเกิดครบรอบหกปีของเขา เครื่องแบบของเขาเป็นแบบพิเศษ เป็นสีม่วงเข้มและมีตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรอยู่ด้านหลังด้วยด้ายสีทอง นี่เป็นเพราะสถานะของเขาในฐานะเพื่อนคู่หูและผู้พิทักษ์ของราชกุมารีแห่งฟอสต์ เขาเลยได้สวมมันในฐานะพิเศษเท่านั้น ภายใต้ชุดนี้ยามในเครื่องแบบทหารยศต่ำกว่าระดับอัศวินจะคำนับเขาทุกคน เขารู้สึกว่ามันน่ารำคาญไปหน่อย ที่ตลกคือผู้คุมยืนกรานว่าต้องทำแบบนั้นเพื่อเป็นการเคารพเขา และความจริงที่ว่าเขาได้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงเอาไว้ เบลซมีอานหนังสีดำที่มีสัญลักษณ์ของอาณาจักรอยู่ด้านหนึ่งและอีกด้านมีเปลวไฟ สิ่งนี้ใช้แทนเครื่องแบบของเธอซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของยศและทำขึ้นตามคำขอของเจ้าหญิงอาลิส เอลริคและกัปตันเดวิสต่างคิดว่าเป็นการทำให้เจ้าหญิงขี่ม้าตัวจิ๋วได้ง่ายขึ้น

ราชกุมารีอาลิสต้องไปอาบน้ำร้อนด้วย พื้นเตี้ยกว่าที่เบลซและเอลริคใช้ จากนั้นสาวใช้สามคนจะช่วยเธอสวมชุดเดรสยาวพริ้วสีเดียวกับเครื่องแบบของเอลริค คงสามารถบอกได้ว่าเธอกับเอลริคแต่งตัวออกงานเป็นทางการ แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเด็กสี่ขวบก็ตาม เป็นที่คาดหมายว่าขุนนางทั้งหมดของอาณาจักรและบริเวณโดยรอบจะต้องนำของขวัญมาให้เจ้าหญิงแน่ๆ

ในงานเลี้ยง เอลริคได้รับการเต้นรำครั้งที่สองกับเจ้าหญิงอาลิส เนื่องจากพ่อของเธอซึ่งเป็นกษัตริย์ได้เต้นรำครั้งแรก เธอปฏิเสธคำขอเต้นรำจากคนอื่น ดังนั้นตลอดทั้งปาร์ตี้ มีเพียงสามคนที่เธอเต้นรำด้วยคือราชาผู้เป็นพ่อของเธอ เอลริค และเบลซที่ยังได้เต้นรำกับเธออีกต่างหาก เรื่องนี้ทำให้เจ้าชายแห่งอาณาจักรใกล้เคียงไม่ค่อยพอใจนัก

สำหรับของขวัญ ราชาจอห์น ฟอสต์ บิดาของเธอได้มอบมงกุฏใหม่ที่ทำจากมรกตที่เข้ากับสีดวงตาของเธอ โอดิสมอบลูกม้าตัวจริงให้เธอเพื่อให้เธอฝึกขี่ม้าจริงและพยายามให้เบลซได้หยุดพักบ้าง เอลริคใช้เงินที่ได้มาในฐานะผู้พิทักษ์ซื้อสร้อยคอมรกตที่เข้ากับรัดเกล้าที่เธอได้รับจากราชา ของขวัญอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นชุดเดรส งานศิลปะ หนังสือ และตุ๊กตา อย่างไรก็ตาม ตระกูลผู้ดีในท้องถิ่นที่เป็นเจ้าของเบเกอรี่ชื่อดังได้มอบเค้กสี่ชั้นที่คลุมด้วยดอกไม้สีชมพูและสีม่วงให้กับเธอ

ในวันต่อมา พิธีอันศักดิ์สิทธิ์จัดขึ้นโดยมีเพียงผู้ใกล้ชิดของราชาฟอสต์, อาลิสและอดีตสางงามที่เป็นว่าที่ราชินีเท่านั้นที่เข้าร่วม รวมถึงเอลริคและโอดิสด้วย เนื่องจากเหตุการณ์นี้เป็นความคิดของเขาเพื่อเจ้าหญิง และหลังจากพูดคุยกับราชาเป็นเวลานานเช่นกัน

พระราชาและสตรีสองสามคนพูดถึงชีวิตของราชินีอิซซิเบลล่าและความรักที่เธอรักผู้คนในอาณาจักร ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นขอทานหรือขุนนางก็ตาม ว่ากันว่าเธอมักจะไปแจกเหรียญและขนมปังให้กับผู้ยากไร้ เจ้าหญิงได้เรียนรู้มากมายจากแม่ที่เธอไม่เคยรู้จักทำให้เธอมีความสุข นี่ทำให้เธอหยิกแก้มเล็กๆของเอลริคที่นั่งข้างๆเธอ ราชาฟอสต์และโอดิสสังเกตว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างต่อเอลริคก็เป็นได้ นับตั้งแต่ที่เขาช่วยเธอขึ้นมาจากบ่อน้ำ

หนึ่งปีผ่านไป ตอนนี้เบลซมีตัวขนาดเท่ากับม้าหนุ่มแรกเกิดแล้ว เอลริคเองมาถึงตอนนี้ที่เริ่มเรียนประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการเต้นรำเท่านั้น และจากที่ฝึกมา ทหารทุกคนปฏิเสธที่จะต่อสู้กับเขาอีกต่อไปด้วยความกลัว ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะอัศวินส่วนใหญ่ในการฝึกฝนได้แล้ว แม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าพวกเขาถึงสามเท่าก็ตาม

เป็นอีกครั้งที่งานเลี้ยงของเจ้าหญิงอาลิส เจ้าหญิงอาลิสเต้นรำกับเขาและพ่อของเธอเท่านั้น ปีนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของเธอถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน เนื่องจากจอห์นรู้สึกว่าเธอคงต้องการให้เป็นเช่นนั้น

อีกหนึ่งปีผ่านไป เอลริคต้องขี่เบลซ ที่ขนาดของมันเท่าลูกม้าโตเต็มตัวไปรอบๆ บริเวณปราสาทเพื่อลาดตระเวน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของเขาเมื่อไม่ได้คุ้มกันเจ้าหญิงอาลิสโดยตรง ตอนนี้การฝึกอยู่กับอัศวินรุ่นเยาว์ในขณะที่เขาเกือบปลิดชีวิตอัศวินรุ่นใหม่คนหนึ่งในการฝึกที่ไม่เชื่อทหารคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาบอกว่าเอลริคแข็งแกร่งแค่ไหนและอย่าให้อายุมาหลอกเขา จนกระทั่งการดวลของพวกเขาจบลงด้วยการที่อัศวินเยาว์วัยนั้นคว่ำหน้าลงในโคลนโดยมีเครื่องหมาย X ทับ ซึ่งหัวใจของเขาเกือบถูกเสียบคาชุดเกราะ เขาเข้าใจถึงความแตกต่างของฝีมือที่การฝึกฝนในช่วงเวลานั้นยากที่จะวัดกันได้ มันเหมือนกับการเปรียบเทียบความสามารถของคนขับรถสูตรหนึ่งกับหญิงชราที่ขับรถเฉพาะวันอาทิตย์ การเสียท่าอย่างน่าสงสารเกิดขึ้นเร็วมากจนเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเริ่มขึ้นในขณะที่เขาใช้เวลาทั้งหมดสามวินาทีภายใต้ดาบของเอลริค

สามปีต่อมา และตอนนี้เอลริคอายุสิบขวบแล้ว ยังคงเรียนวิชาประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการเต้นรำเท่านั้น และการฝึกฝนจะต้องทำโดยกัปตันเดวิสผู้พิทักษ์เท่านั้นแล้วเพราะเขาสามารถจัดการผู้พิทักษ์ปราสาทส่วนใหญ่ได้หมด ในความเป็นจริงมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าดวลกับเขาในการฝึกซ้อม ไม่มีใครแน่ใจว่าเป็นเพราะความอัปยศอดสูของการเสียหน้าของใครบางคนให้กับคนที่อายุน้อยมากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือเพราะกลัวว่าจะถูกเผาโดยเบลซที่ตอนนี้มีขนาดเท่าม้าผู้ใหญ่โดยทำหน้าที่เป็นพาหนะสำหรับเอลริค

ตอนนี้เธอมีปีกขนาดเท่าปีกค้างคาวงอกออกมาจากหลังของเธอ ซึ่งดูแปลกไปจากขนาดปัจจุบันของเธอ อย่างไรก็ตามไม่มีใครโง่พอที่จะลองทดสอบกับมังกรพ่นไฟ

ในงานเลี้ยงวันเกิดเจ้าหญิงอาลิสวัยแปดขวบ เธอเต้นรำกับราชาและเอลริคผู้เป็นพ่อของเธออีกครั้ง และทำให้สร้างความขุ่นเคืองให้กับเจ้าชายที่มาร่วมงานเลี้ยงด้วยความหวังที่จะเรียกร้องความสนใจจากเจ้าหญิง หลังจากถูกเจ้าหญิงอาลิสดูแคลน เขาก็รู้สึกละอายที่ต้องลองถามเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์คนอื่นๆที่มาร่วมงานเลี้ยง บางคนได้ยินเสียงขู่ก่อนที่จะถูกบีบให้ออกไปโดยเอลริคอีก เอลริคถึงขั้นบอกเขาว่าหากพวกเขากลับมา เขาจะแอบวางยาและให้เบลซกินพวกเขาทั้งเป็นต่อหน้าทุกคน เรื่องนี้ทำให้ราชาฟอสต์, โอดิส, กัปตันเดวิส และเจ้าหญิงอาลิสพอใจกับวิธีที่เขาทำงานในฐานะผู้พิทักษ์ของเธอ ลำพังการขู่ทำร้ายเธอก็พอที่จะมั่นใจปฏิกิริยาตอบสนองของเขาแล้ว นี่ถ้ามีเจ้าชายพยายามจะแตะต้องเธอ เขาก็เข้าไปแยกตัวออกมาอย่างทันท่วงที

เช้าวันต่อมาก่อนที่จะเริ่มพิธีรำลึกถึงราชินี สาวใช้คนหนึ่งวิ่งมาที่ป้อมมังกรของเอลริค ในขณะที่เห็นทหารยามวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่ขาของเขาจะพาเขาไปที่ห้องของราชา เมื่อสาวใช้เข้าไปปลุกเจ้าหญิงอาลิสแบะพบว่าเธอไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว และมีรอยเปื้อนสีแดงบนหมอน สาวใช้ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเลือดหรือน้ำทับทิมจากถ้วยที่หยดลงกับพื้นในบางจุด เป็นที่ทราบกันดีว่าเจ้าหญิงชอบซ่อนตัวจากเธอเป็นครั้งคราว แต่วันนี้มีความสำคัญดังนั้นจึงไม่ควรเกิดขึ้น

ด้วยความกลัวที่เลวร้ายที่สุดเธอจึงบอกคนเฝ้าประตูของเจ้าหญิงว่าไม่พบเธอ ยามรักษาการณ์บอกให้เธอไปบอกเอลริค เพราะว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ของเธอ และมังกรเบลซของเขามีจมูกที่ดีกว่ามนุษย์มาก มันอาจจะดีกว่าสุนัขล่าสัตว์ส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ ส่วนเขาจะรีบไปกราบทูลพระราชาโดยเร็ว

ห้าชั่วโมงต่อมาเบลซและเอลริคยังคงหาเธอไม่พบ โอดิสพบว่าเป็นเรื่องแปลกที่ไม่พบโน้ตหรืออะไรเลย เป็นเรื่องปกติที่จะมีการทิ้งหมายเรียกร้องค่าไถ่ไว้เมื่อเจ้าหญิงหรือสตรีผู้สูงศักดิ์ถูกลักพาตัว เขาเคยต้องรับมือกับการลักพาตัวน้องสาวของราชาฟอสต์ก่อนที่พวกเขาจะแยกไปแต่งงานมาก่อน ส่วนมากจะเป็นกลุ่มมือสังหารภายใต้การจ้างวานของเจ้าหญิงคู่แข่งที่ต้องการแต่งงานกับเจ้าชายใดก็ตามที่ติดตามเธอในเวลานั้น

ตอนนี้พวกเขารู้เพียงว่าเธอหายตัวไปและใครก็ตามที่พาเธอไปก็เป็นมือฉมังที่สามารถเข้าและออกจากปราสาทได้อย่างไร้ร่องรอ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด