ตอนที่แล้วนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 88 - ก่อนการบินขึ้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 90 - ก่อนจะลงสู่พื้นดิน

นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 89 - พื้นที่ปนเปื้อน


และมันยังมีบริเวณที่ระบุเอาไว้ด้วยสีอื่นอีกไม่น้อย โดยส่วนที่ดึงดูดความสนใจของเดวิดมากกว่าส่วนอื่น คือบริเวณที่ระบุเอาไว้ด้วยสีเหลืองเข้ม

หลังจากที่ดึงภาพตรงส่วนนั้นให้ขยายออกมา ตัวหนังสือโดดเด่นขึ้นมาเป็นคำเตือนอย่างชัดเจน พื้นที่ปนเปื้อน! ต้องสวมชุดรบก่อนเข้าบริเวณนี้เท่านั้น!

คำเตือนนี้ ทำให้เดวิดต้องขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะพื้นที่ปนเปื้อนนี้มีบริเวณกว้างขวางเป็นอย่างมาก มันมีขนาดเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ของแผนที่ทั้งหมดเลยทีเดียว ภายในนั้นมีจุดสีแดงกระจายกันอยู่อย่างหนาแน่น และที่สำคัญกว่านั้น มันมี ‘จุดสีทอง’ ซึ่งระบุเอาไว้ว่าเป็น ‘จุดจัดหาระดับสูง’ มันเป็นพื้นที่สำหรับสนับอุปกรณ์ระดับสูงให้แก่นักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม แต่ดันไปอยู่ในจุดที่มีอันตรายสูงสุดอย่างนี้

คิ้วของเขาเริ่มคลายตัวออกได้เล็กน้อย เมื่อเห็นตัวหนังสือแสดงว่าเป็นจุดจัดหา ปรากฏอยู่ในบริเวณอื่นอีก เป็นจุดสีเงิน ที่ระบุว่า ‘จุดจัดหาระดับกลาง’ และจุดสีทองแดง ที่เป็น ‘จุดจัดหาระดับต่ำ’

พื้นที่สำหรับเสริมอุปกรณ์ให้นักเรียนเหล่านี้ จะกระจายตัวอยู่ระหว่างพื้นที่ปลอดภัยสีน้ำเงิน กับพื้นที่อันตรายสีแดง และพื้นที่ปนเปื้อนสีเหลืองเข้ม โดยจุดจัดหาระดับต่ำ จะอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ปลอดภัยมากนัก

เดวิดใช้มือจับคาง ทำท่าลูบเคราที่ไม่เคยมีอยู่ไปเรื่อย ๆ ระหว่างที่ศึกษาแผนที่นี้อย่างละเอียด ตัดสินใจเลือกจุดที่ตัวเองจะลงพื้น และเส้นทางที่จะเคลื่อนไหวต่อจากนั้น มือข้างที่เหลือของเขาแตะไปทั่วแผนที่นั้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่น ๆ ที่เริ่มเปิดแผนที่ และวางแผนให้กับตัวเองแล้วเช่นกัน

หลังจากเดวิดจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาเหลือบสายตาไปมองดูฟิลลิดาที่กำลังตรวจสอบแผนที่อยู่อย่างเคร่งขรึมเล็กน้อย ก่อนที่จะพิงตัวเข้ากับพนักพิงเพื่อพักผ่อนอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงของเธอดังขึ้นมา

“ฉันยังไม่เคยได้แนะนำตัวกับนายอย่างเป็นทางการเลยสินะ”

“ฉันมาจากเซ็กเตอร์ B-76 แล้วนายละ? นายมาจากเซ็กเตอร์ไหนเหรอ?” ระหว่างที่พูด เธอก็หยิบกระเป๋าออกจากตัก และวางมันบนพื้นข้าง ๆ เท้าของตัวเอง

เปลือกตาของเดวิดกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยกหัวของตัวเองขึ้น ‘ขนาดครอบครัวตัวเอง ความทรงจำในตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ แล้วจะไปจำได้ยังไงว่าตัวเองมาจากที่ไหน?’ แม้ว่าภายในหัวของเขาจะคิดอยู่แบบนั้น แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“นั่นมันเป็นเรื่องสำคัญด้วยอย่างนั้นหรือ?”

ตัวของฟิลลิดาเกร็งไปนิดหนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“อืม? ที่นายพูดก็ถูกอยู่เหมือนกัน มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย” น้ำเสียงของเธอนั้นแปลกไปไม่น้อย

แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยกันต่อไป เรือเหาะเริ่มสั่นตัวอย่างแรงอีกครั้ง ความเร็วของมันดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน และตัวเรือเหาะเหมือนจะหักเลี้ยวไปทางซ้ายอย่างแรง

แกว๊กกก!!!

เสียงแหลมสูงดังกังวานขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้สะท้อนก้องเข้ามาในห้องโดยสาร และสร้างความลำบากให้กับกลุ่มนักเรียนอีก ดูเหมือนว่าในตอนนี้ ห้องโดยสารจะเปิดอุปกรณ์ควบคุมเสียงไว้เรียบร้อยแล้ว

และเรือเหาะเริ่มแสดงตัวเป็นยานรบอย่างเต็มที่แล้ว มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ากำลังหลบหลีกอะไรบางอย่างอยู่ และในบางจังหวะ จะมีเสียงกระแทกอย่างแรงดังขึ้นมา ทำให้ความเร็วของเรือเหาะตกลงมา แต่ยังสามารถเดินทางมุ่งหน้าต่อไปได้เรื่อย ๆ

ที่ห้องควบคุมของเรือเหาะ กัปตันสตีฟกำลังยืนสั่งการด้วยเสียงอันเย็นชา ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่เดิมเขาคิดว่าการเดินทางในครั้งนี้จะน่าเบื่อ เพราะมันเป็นเพียงภารกิจขนส่งนักเรียนเท่านั้น การที่มีสัตว์กลายพันธุ์ระดับสีน้ำตาล 3 ตัวเข้ามาจู่โจมอย่างนี้ ทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

“ผู้หมวด ยกเลิกการควบคุมของตัวเองเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวผมจะเป็นคนควบคุมเอง ยานลำนี้ ต้องให้ผมควบคุม ถึงจะแสดงประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุด” นายทหารหญิงที่กำลังบังคับเรือเหาะหลบหลีกการโจมตีอยู่ตอนนี้ ถึงกับกลอกตาไปมา ออกคำสั่งให้เรือเหาะขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ ก่อนที่จะถอดหมวกที่ใช้ควบคุมยานออกจากศีรษะตามคำสั่ง

สตีฟถูมือตัวเองเพื่อกระตุ้นความรู้สึกตัวเอง ก่อนจะหยิบหมวกควบคุมยานของตัวเองขึ้นมาสวมทันทีเช่นกัน ข้อมูลจำนวนมากถูกส่งผ่านเข้ามาในหัวทันที มันปรับเคลื่อนความถี่สมองของสตีฟให้ผสานเข้ากับสัญญาณที่ใช้ควบคุมเรือเหาะลำนี้ทันที เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น หน้าจอการควบคุมต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นให้เขาเห็นรายละเอียด และสภาพภายนอกยานทั้งหมด

“นานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ไม่ค่อยได้ยืดเส้นยืดสายเลย” เสียงที่เขาพึมพำออกมา ทำให้ลูกเรือที่อยู่ในห้องควบคุมนี้มีสีหน้าแปลก ๆ เพราะเขาเพิ่งควบคุมเรือเหาะลำนี้ด้วยตัวเองไปเมื่อวาน แต่พูดเหมือนกับว่าไม่ได้ขับมันมาแล้วหลายปีอย่างนั้นแหละ

วูซซซ!!

ตอนนี้เรือเหาะกำลังแกว่งอย่างแรง และถูกบังคับให้เคลื่อนที่ถอยหลัง จากแรงโจมตีของสัตว์กลายพันธุ์ที่ปะทะเข้ากับม่านป้องกันของเรือเหาะอย่างรุนแรง เครื่องยนต์ขับเคลื่อนกำลังปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาตำแหน่งการบินเอาไว้ และขยับทิศทางหลบหลีกการโจมตีอย่างต่อเนื่อง

ทักษะในการควบคุมยานของกัปตันสตีฟนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก เรือเหาะกำลังเคลื่อนที่อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นนกนางแอ่น หลบเลี่ยงกงเล็บของนกพิราบกลายพันธุ์ขนาดยักษ์ และยืดระยะออกมาห่างจากพวกมัน สร้างเป็นโอกาสที่เหมาะสมขึ้นมา

ในตอนนี้ เรือเหาะกลายเป็นยานรบไปแบบเต็มตัวแล้ว ที่ปีกทั้ง 2 ข้าง ปรากฏกระบอกปืนขึ้นมาข้างละ 3 กระบอก และพวกมันบรรจุกระสุนเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ

ตึด!! ตึด! ตึด! ตึด! ตึด!

กระสุนถูกสาดออกไปอย่างรวดเร็ว ระดมยิงไปที่นกพิราบกลายพันธุ์อย่างแม่นยำ และมันกระทบเข้ากับเป้าหมายเกือบทุกนัด

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

แทนที่จะเป็นเสียงกระสุนปืนกระทบเข้ากับกล้ามเนื้อ มันกลายเป็นเสียงระเบิดที่ดังขึ้นมาแทน กระสุนที่ถูกยิงออกไป มีพลังโจมตีราวกับเป็นจรวดมิสไซล์ขนาดเล็กเลยก็ไม่ปาน

หลังจากโจมตีออกไปเพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น เรือเหาะก็บินวนดูผลงานศิลปะของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ แต่แล้วสีหน้าที่ยิ้มแย้มของกัปตันสตีฟก็เริ่มเปลี่ยนเป็นมืดมน เพราะเจ้านกพิราบกงเล็บเหล็กกลายพันธุ์ตัวหนึ่ง ยังไม่ตกลงไปตายอย่างที่คิดเอาไว้ แม้ว่าบนร่างกายของมัน จะกลายเป็นหลุมเป็นบ่อจากกระสุนขนาดใหญ่นั้นไปหมดแล้วก็ตาม

และที่ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาที่เป็นสีแดงเข้มของเจ้าสัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้ เริ่มเปลี่ยนสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากเดิมที่เป็นเพียงสีน้ำตาเข้มเพียงอย่างเดียว มันเริ่มมีประกายสีเหลืองเข้ามาปะปน และเริ่มผสมผสานกันเข้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน

กัปตันสตีฟพึมพำกับตัวเองออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าตัวนี้จะกำลังพัฒนาขึ้นไปเป็นระดับสีแดงแล้ว โชคไม่ดีเลยจริง”

การแบ่งระดับความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิต หรือสัตว์กลายพันธุ์ ก็ใช้ระดับสีเป็นตัวระบุเช่นเดียวกัน และมันสามารถแยกระดับของสัตว์กลายพันธุ์ได้อย่างง่าย ๆ ด้วยสีของดวงตาพวกมันด้วย

สัตว์กลายพันธุ์ระดับสีดำ จะมีดวงตาสีดำ มันเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่มีระดับต่ำที่สุดแล้ว เมื่อมันวิวัฒนาการต่อไป จะกลายเป็นสัตว์กลายพันธุ์ระดับสีน้ำตาล พร้อมกับสีของดวงตาที่จะเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลด้วย และมันจะเป็นแบบนี้ไปถึงระดับสีแดง

ยังมีอีกวิธี ที่สามารถระบุระดับของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ออกมาได้ และเป็นวิธีที่สะดวกกว่าการมองเข้าไปที่ดวงตาของมันไม่น้อย นั่นคือการวัดรังสีปนเปื้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของพวกมัน เครื่องมือสแกนระดับล่าง ๆ สามารถวัดระดับได้ตั้งแต่อยู่ห่างจากสัตว์กลายพันธุ์หลายร้อยเมตรเลยทีเดียว และถ้าเป็นเครื่องมือในระดับสูง สามารถตรวจสอบให้ในรัศมีหลายตารางกิโลเมตรในครั้งเดียว

นี่คือเหตุผลที่สถานที่จัดการแข่งขันถูกกำหนดขึ้นอย่างมั่นใจ ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับสูงอยู่ในพื้นที่ด้วย เพราะมันถูกแสกนตรวจสอบมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่นั่นไม่ได้ครอบคลุมถึงสัตว์กลายพันธุ์ที่เคลื่อนที่ได้ระยะไกล และกำลังขวางทางพวกเขาอยู่ในตอนนี้เลย

ดวงตาของนกพิราบกงเล็บเหล็กค่อย ๆ กลายเป็นสีแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันส่งเสียงร้องดังลั่นออกมา คลื่นอากาศเคลื่อนที่ตรงเข้าหาเรือเหาะที่กำลังบินวนอยู่อย่างรวดเร็ว

สีหน้าของกัปตันสตีฟกลายเป็นน่าเกลียดจนดูไม่ได้ไปแล้ว เขาออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว “เพิ่มพลังงานควอนตัมไปที่ระดับสูงสุด พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้ว” การจัดการกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์สีน้ำตาลนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง มันไม่ได้ยากเย็นเกินไปนัก ด้วยประสิทธิภาพของยานรบลำนี้ บวกกับทักษะในการควบคุมยานของเขา ไม่ว่าจะมีพวกมันกี่ตัว ก็ยังสามารถรับมือได้สบาย

แต่มันจะกลายเป็นคนละเรื่องไปเลย ถ้าเป็นการรับมือกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับสีแดง แม้ว่าจะเป็นการวิวัฒนาการขึ้นไปเพียงระดับเดียว แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อาวุธที่พวกเขานำติดยานมาด้วย ไม่สามารถรับมือ หรือกำจัดพวกมันได้แน่

สตีฟเป็นนายทหารที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ เขาไม่โง่จนจะรอให้เจ้าสัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้วิวัฒนาการจนสำเร็จ และฟื้นตัวกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แน่ เขาเลือกที่จะหนีออกไปในทันที

ซูม!!!

วูซซ!!!

เสียงของเครื่องยนต์ขับเคลื่อนคำรามออกมาอย่างรุนแรง มันทำให้ตัวเรือเหาะสั่นไหวอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง ก่อนที่แรงส่งจะพามันพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด ทิ้งเอาไว้เพียงร่องรอยของไอพ่นเป็นสายยาว 2 สายเท่านั้น

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด