ตอนที่แล้วบทที่ 339 – ความลึกล้ำของพลังศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 341 – เหตุเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

บทที่ 340 – การสืบทอดเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์


ผมพยักหน้าอย่างยินดี “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก เทวทูตสงครามเล่ยมี่เจียได้ส่งมอบจิตวิญญาณของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนมีไว้ในครอบครองมาให้กับผมแล้ว ทุกคนต้องผสานเข้ากับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี่ก่อน ถึงจะสามารถใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเวทย์ต้องห้ามของเผ่าเทพเจ้าที่เราจะใช้ร่วมกันในคราวหน้า ก็จะมีพลังอำนาจมากขึ้นจนถึงจุดสูงสุดเลยทีเดียว พวกเราจะไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีวิธีจัดการกับราชามารแล้ว แต่ท่านเล่ยมี่เจียได้กล่าวเตือนเอาไว้ ว่าก่อนที่จะรับสืบทอดพลังของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของตัวเอง ไม่อย่างนั้น ความเสี่ยงที่จะล้มเหลว หรือถึงขนาดได้รับบาดเจ็บสาหัส จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว คงต้องขอถามอย่างจริงจังอีกครั้ง มีใครยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บโดยสิ้นเชิงบ้างหรือไม่?”

จ้านหู่หันมองกลับไปที่ทุกคนอีกครั้ง ก่อนจะเป็นคนกล่าวตอบออกมา “ข้าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แล้ว ซิวซือก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก พวกเรา 2 คนได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดอยู่แล้ว แค่ 2-3 วันก็สามารถรักษาจนหายดีได้แล้ว แถมแตรของเทพแห่งท้องฟ้าของซิวซือ ยังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ทุกคนน่าจะไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรหลงเหลืออยู่อีก แล้วเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์คืออะไร มันมีความแข็งแกร่งมากขนาดนั้นเลยหรือ?”

ผมพยักหน้าให้เขาอีกครั้ง “เรื่องนี้ผมก็อธิบายได้ไม่ละเอียดนักหรอก ว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คืออะไรกันแน่ แต่มันจำเป็นสำหรับการดึงพลังที่ซ่อนอยู่ในอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมา ความแข็งแกร่งน่าจะหลับไหลอยู่ในอาวุธศักดิ์สิทธิ์มากกว่า ส่วนจิตวิญญาณเป็นคล้ายกับกุญแจ ที่จะทำให้แต่ละคนสามารถผสานเข้ากับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงอยู่ได้ดีขึ้น พวกพี่น่าจะสามารถทำความเข้าใจกับความหมายนี้ได้ หลังจากที่ได้รับสืบทอดเจตจำนงอย่างสมบูรณ์แล้ว ถ้าผมคาดเอาไว้ไม่ผิด พวกพี่แต่ละคน น่าจะบรรลุระดับเทพสงครามได้เป็นอย่างน้อยเลยล่ะ”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น ก็อุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “อะไรนะ? เทพสงครามอย่างนั้นหรือ?” แววตาของทุกคนต่างเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

ในฐานะของผู้ที่ฝึกตนเองด้วยแนวทางของนักรบ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ล้วนแต่ตั้งเป้าหมายสูงสุดเอาไว้ให้กับตัวเอง ว่าจะต้องบรรลุถึงขั้นเทพสงครามให้ได้ในสักวันหนึ่ง มันเป็นระดับที่สามารถเทียบเท่าได้กับมหาเมธีเวทย์เลยทีเดียว มันเป็นขั้นสุดยอดของการฝึกตนเป็นนักรบแล้ว ถ้าพวกเขาสามารถสืบทอดจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ พลังของพวกเขาแต่ละคน ไม่น่าจะต่ำกว่าผมมากนัก โอกาสของพวกเราในการโค่นล้มราชามารจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน

ผมกล่าวต่อออกไป “ใช่แล้ว ฟังกันไม่ผิดหรอก จนถึงตอนนี้แล้ว ราชามารอาจจะปรากฏตัวออกมาเมื่อไรก็ได้ ในเมื่อทุกคนต่างก็อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์กันแล้ว ก็อย่างเสียเวลากันต่อไปอีกเลย ยืนจัดตำแหน่งให้เป็นวงกลม แล้วอัญเชิญอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองออกมาเลยเถอะ”

จ้านหู่ ซิวซือ เกาเต๋อ ซิงโอว และตงรื่อ พากันมายืนล้อมกันเป็นวงกลม โดยมีผมยืนเป็นจุดศูนย์กลางอยู่ ส่วนมู่จือและไหสุ่ยถอยออกไปยืนอยู่ห่าง ๆ ตั้งแต่แรกแล้ว

จ้านหู่ร่ายเวทย์ออกมาเป็นคนแรก “ราชาแห่งเผ่าเทพประทานเกราะแห่งเทพสงครามแก่ข้า ไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดจะกล้ำกลายได้ ข้าจะขจัดเหล่ามารชั่วร้าย” แสงเจิดจ้าสีน้ำเงินล้อมอยู่รอบตัวเขาอย่างเข้มข้น ชุดเกราะของเทพสงครามค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นบนร่างกายของเขาทีละชิ้น กลิ่นอายและแรงกดดันที่เต็มไปด้วยความกระหายในการต่อสู้ แผ่กระจายออกสู่อากาศโดยรอบ

ซิวซือก็ร่ายเวทย์ออกมาเช่นกัน “ราชาแห่งเผ่าเทพประทานแตรของเทพแห่งท้องฟ้าแก่ข้า เมื่อเสียงแตรของข้าคำราม มันจะฉีกสวรรค์ทั้งเก้าออก” แสงสว่างสีขาวอันอ่อนโยนเปล่งออกมา และปกคลุมตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เปลี่ยนตัวของเขาให้กลายเป็นลูกบอลแสงสีขาวขนาดใหญ่ ในมือปรากฏแตรของเทพแห่งท้องฟ้าขึ้นมาเช่นกัน

ซิงโอวส่งเสียงออกมาอย่างหนักแน่น “ราชาแห่งเผ่าเทพประทานค้อนของเทพแห่งไททันแก่ข้า มันจะย้ายดินเคลื่อนฟ้า เพื่อปกปักษ์เส้นทางแห่งความถูกต้อง” แสงสีเหลืองเรืองขึ้น ก่อนที่ค้อนของเทพแห่งไททันจะปรากฏตัว แสงสีเหลืองนั่นค่อย ๆ ขยายตัวลงมาผสานกับร่างของเขาจนหมดทั้งตัว

เกาเต๋อร่ายเวทย์ “ราชาแห่งเผ่าเทพประทานโล่ของเทพแห่งสายฟ้าแก่ข้า แม้แต่หมื่นดาบก็ไม่อาจทำร้ายข้าได้” แสงสีแดงสว่างวาบออกมาที่แขนของเขา โล่ของเทพแห่งสายฟ้าขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาอยู่ตรงนั้น แสงสีแดงค่อย ๆ เพิ่มความเข้มขึ้นในทันที ส่งกลิ่นอายของความแข็งแกร่งที่สามารถต้านทานการโจมตีทุกชนิดได้ออกมา

ตงรื่อก็กล่าวคำร่ายออกมา “ราชาแห่งเผ่าเทพประทานธนูของเทพแห่งลมแก่ข้า ความรวดเร็วและรุนแรงดังสายลม ก่อให้เกิดธนูแห่งนิรันดร์กาล” แสงสีเขียวอันเข้มข้นเปล่งออกมารวมตัวกันเป็นจากธนูแห่งเทพเจ้าทันทีอยู่ในมือของเขาทันที พร้อมกับรัศมีสีเขียวที่เข้มข้น มันค่อย ๆ กระจายไปคลุมอยู่รอบตัวเขาเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

รัศมีของพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าเริ่มผสานรวมกันโดยมีผมเป็นจุดศูนย์กลาง

หลังจากที่ได้รับความทรงจำมาจากเล่ยมี่เจีย ผมเข้าใจความเสี่ยงของการสืบทอดจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้เป็นอย่างดี หน้าที่ของผมคือการปกป้องร่างกายของพวกเขา ไม่ให้เกิดอันตรายใด ๆ ขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้น ผลลัพธ์ของมันคือความล้มเหลวที่อาจจะถึงแก่ชีวิตได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

และผมก็เริ่มเอ่ยคำร่ายออกมาเสียงดัง “ราชาแห่งเผ่าเทพประทานดาบศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำแก่ข้า มันจะส่องแสงพุ่งทะยานด้วยรัศมีอันเลิศล้ำแห่งสวรรค์” ดาบศักดิ์สิทธิ์สีเงินปรากฏตัวขึ้นอยู่ตรงหน้าอก ก่อนที่จะค่อย ๆ ลอยขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะ เปล่งแสงสีเงินออกมาปกคลุมไปตลอดทั้งร่างกาย ผมค่อย ๆ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์สีทอง และขยายขนาดออกไปครอบคลุมพวกเขาทั้งห้าเอาไว้ ยื่นมือทั้งสองออกไปจับที่ด้ามของดาบศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แน่น เรียกปีกแห่งแสงทั้งหกข้างให้ปรากฏขึ้นที่กลางหลัง และให้มันคอยช่วยรวบรวมธาตุแสงจากสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเข้ามา

“ทุกคน! ตั้งสมาธิของตัวเองไว้ที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ พยายามผสานกับพลังที่กำลังจะได้รับ มันจะมีความเจ็บปวดเป็นอย่างมากแน่นอน ตั้งสติเอาไว้ และทนรับความเจ็บปวดนั้นให้ได้” ความเจ็บปวดที่เกิดจากการสืบทอดพลังของเทพเจ้า ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผมไม่คลาย แม้ว่าจะยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาจะเป็นแบบเดียวกันหรือไม่ แต่ผมก็ต้องเอ่ยเตือนเอาไว้ล่วงหน้าก่อน

“เริ่มลงมือได้เลย พวกเรารับเอาไว้ได้อย่างแน่นอน” เสียงของจ้านหู่ดังขึ้นอย่างหนักแน่น เช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ ที่พากันมองมาที่ผมอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะสะบัดมืออย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยดวงแสงสีน้ำเงิน ขาว เหลือง แดง และเขียวออกมาจากกระเป๋ามิติ ให้มันปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า ลำแสงห้าสีพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีที่พวกมันปรากฏตัวออกมา พร้อม ๆ กับทำให้ร่างกายของทั้งห้าคนนั้นสั่นไหว เช่นเดียวกันกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ราวกับว่าพวกมันกำลังจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง คนทั้งห้ากำลังใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ดูดซับและควบคุมพลังงานที่กำลังผันผวนอย่างหนักของอาวุธศักดิ์ที่ตัวเองครอบครองอยู่

ผมกระชับมือเข้าที่ด้ามดาบศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำอีกครั้ง เร่งปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ให้มากขึ้นไปกว่าเดิมอีก ม่านพลังสีทองที่ครอบพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ แผดประกายเจิดจ้าออกมายิ่งขึ้น มือซ้ายของผมปล่อยมือออกจากด้ามดาบ ขยับอย่างรวดเร็วเพื่อปลดผนึกของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออก ส่งให้พวกมันพุ่งเข้าหาทุกคนที่ถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่อย่างรวดเร็ว

ตามความทรงจำของเล่ยมี่เจีย พวกเขาทุกคนจะต้องใช้เวลาสักระยะ กว่าที่จะสามารถควบคุมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากที่รับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในร่างกายแล้ว สักระยะที่ว่านี้ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานแน่ ๆ ในความรู้สึกของผม

แต่ในขณะที่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กำลังจะลอยหายเข้าไปในหน้าผากของทุกคน เรื่องผิดปกติก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน หมอกสีเทาอันชั่วร้ายลอยออกมาอย่างไม่มีใครได้ทันตั้งตัว และดูเหมือนว่าม่านพลังป้องกันศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถหยุดยั้งมันได้เลย มันพุ่งตรงไปกระแทกกับตัวของคนทั้งห้าอย่างรุนแรง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด