ตอนที่แล้วบทที่ 337 – กลับคืนรูปลักษณ์เดิม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 339 – ความลึกล้ำของพลังศักดิ์สิทธิ์

บทที่ 338 – พลังกลับคืนมาแล้ว


“ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลก ๆ เสียหน่อย เธอคิดว่าฉันจะทำอะไร?” ผมรีบเอ่ยออกมา “แค่ตอนนี้ฉันยังไม่มีห้องของตัวเองเท่านั้น เลยไม่มีที่เอาไว้สำหรับทำสมาธิเพื่อฟื้นฟู และรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง ห้องทางด้านโน้นมีคนอยู่กันแน่นไปหมด มันไม่เหมาะที่จะเข้าไปแออัดกันอยู่ในนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกน่ะ”

ทั้งมู่จือและไห่สุ่ยอุทานออกมาพร้อมกัน “อะไรนะ? นายได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?”

ได้เห็นว่าพวกเธอทั้งคู่เป็นห่วงผมมากขนาดนี้ ภายในหัวใจของผมก็มีความรู้สึกที่อบอุ่นขึ้นมาทันที “ไม่ต้องตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นหรอก มันเป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อสักครู่นี้ ตอนที่ปะทะกับมหามารทั้ง 3 คนนั่น จุดชีพจรกับเส้นทางโคจรพลังของฉันถูกพลังมารแทรกซึมเข้ามาเล็กน้อยเท่านั้นเอง”

มู่จือถามออกมาอย่างประหลาดใจ “นายรับสืบทอดพลังมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังไม่สามารถป้องกันได้อีกอย่างนั้นหรือ?”

นั่นทำให้ผมต้องยิ้มหน้าเบ้ออกมา “นั่นมันสามมหามารนะ จะสามารถป้องกันการโจมตีของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างไร? ถ้าไม่นับราชามาร สามคนนั่นถือว่าเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเราแล้ว ในช่วงมหาสงครามระหว่างเทพเจ้าและเหล่ามาร ตอนที่สามมหามารมีพลังสูงสุด แต่ละคนมีความแข็งแกร่งเทียบได้เทวทูตสงครามเล่ยมี่เจีย เทพเลิศล้ำองค์ก่อนเสียด้วยซ้ำ แต่หลังจากที่กลับฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ พวกเขาเหลือพลังอยู่แค่ประมาณ 3 ส่วนของพลังสูงสุดเท่านั้น ไม่อย่างนั้น แค่การจะจัดการกับพวกเขาคนใดคนหนึ่งก็จะเป็นเรื่องที่ลำบากเป็นอย่างยิ่งแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการที่พวกเขาสามคนร่วมมือกันเลย”

มู่จือขมวดคิ้วแน่น “แล้วถ้าอย่างนั้น พวกเราจะทำอะไรได้บ้างล่ะ? พวกเผ่ามารมีความแข็งแกร่งที่มากมายเหลือเกิน ถ้ารวมราชามารเข้ามาอีกคน เราจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร?”

ผมยิ้มออกมา “มันต้องมีวิธีอยู่แล้ว หลังจากการสืบทอดสำเร็จ เล่ยมี่เจียได้ทั้งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอาวุธเทพเอาไว้ให้ด้วย มันเป็นของผู้สืบทอดอาวุธเทพแต่ละคน เมื่อพวกเขาสามารถผสานจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในร่างกายได้แล้ว พลังความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะก้าวกระโดดขึ้นอย่างมากทีเดียว แต่คงต้องรอให้พวกเขาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บกลับไปอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดก่อนเท่านั้น การจะผสานเข้ากับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงจะประสบความสำเร็จได้ ถ้าพลังของพวกเราทุกคนแข็งแกร่งทรงพลังขึ้นแล้ว เวทย์ต้องห้ามของเผ่าเทพเจ้า ต้องสามารถจัดการกับราชามารได้อย่างแน่นอน”

พอได้ยินคำอธิบายของผม แววตาของไหสุ่ยก็เป็นประกายออกมาด้วยความตื่นเต้น เธอน่าจะยินดีที่ได้รู้ว่า มันมีวิธีที่พวกเราจะเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้ ไม่ใช่ไม่มีความหวังเลยเหมือนกับก่อนหน้านี้

มู่จือกล่าวออกมาในทันที “ถ้าอย่างนั้นก็รีบรักษาอาการบาดเจ็บเร็ว ๆ เถอะ พวกเราจะช่วยดูแลเรื่องความปลอดภันให้เอง”

“อา! ใช่แล้ว! มู่จือ ฉันได้ยินมาว่าเธอก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกันไม่ใช่เหรอ อาการดีขึ้นแล้วหรือยัง?” พร้อม ๆ กับตอนที่เอ่ยถามออกไป ผมส่งพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปตรวจสอบร่างกายของเธอทันที แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้ว นั่นทำให้ผมวางใจได้เป็นอย่างมาก

“อาการบาดเจ็บของฉันรักษาหายแล้ว อา! ทำไมพลังของนายถึงได้อุ่นอย่างนี้ล่ะ นี่เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ใช่มั้ย?”

ผมยิ้มและพยักหน้ารับ “เอาล่ะ! ฉันจะทำสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว ไม่ต้องคอยระวังอะไรให้ฉันหรอก แค่พอตื่นมาแล้วพวกเธออยู่ใกล้ ๆ ให้เห็นหน้าก็พอแล้ว อาการบาดเจ็บของฉันไม่ได้ร้ายแรงอะไรนักหรอก” หลังจากที่กล่าวจบ ผมก็ก้มลงจูบที่หน้าผากของทั้งคู่อย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะเกินไปนั่งอยู่บนเตียงของมู่จือ และสวมหน้ากากของเทพเหมันต์กลับลงไปอีกครั้ง

“หลังจากที่รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉันน่าจะสามารถช่วยรักษาคนอื่น ๆ ให้หายเร็วขึ้นได้ด้วย อ้อ! มู่จือ ฉันให้เสี่ยวจินกับเสี่ยวโร่วเฝ้าระวังอยู่ที่กำแพงของป้อมนะ พวกมันมาพร้อมกับฉันนี่แหละ ถ้ามีเวลา เธอน่าจะต้องไปสอบถามเสี่ยวจินหน่อยนะ ว่าทำไมเผ่ามังกรถึงยังไม่มาปรากฏตัวที่นี่อีก? แล้วก็น่าจะต้องเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเผ่ามารอย่างใกล้ชิดด้วย”

มู่จือรับคำ พร้อมกับกล่าวออกมา “นายฟื้นฟูร่างกายไปให้สบายใจเถอะ เรื่องพวกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอล แล้วแผลเป็นของนายก็หายดีแล้วนี่ ทำไมยังถึงใส่หน้ากากอยู่อีกละ ไม่เห็นจะต้องปิดหน้าอีกเลยนี่?” เธอถามออกมาอย่างสงสัยจริง ๆ

ผมยิ้มให้เธอ ก่อนจะอธิบายออกมา “นี่เป็นหน้ากากของเทพเหมันต์ มันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกชิ้นหนึ่ง ฉันได้มันมาโดยบังเอิญน่ะ มันช่วยทำให้จิตใจสงบได้เร็วขึ้น เหมาะสำหรับช่วยทำสมาธิได้มาเลยล่ะ” หลังจากกล่าวจบ ผมก็ไม่เสียเวลาอีก เริ่มหลับตาของตัวเองลง และหมุนเวียนพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายทันที ตอนนี้ผมได้เจอหน้ากับทุกคนที่อยากเจอมานานแล้ว และก็รับรู้สถานการณ์ปัจจุบันของแต่ละคนเรียบร้อย สภาพจิตใจของผมนั้นสงบลงเป็นอย่างมาก การทำสมาธิเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อผมส่งจิตใจของตัวเองเข้าไปสำรวจภายในร่างกาย ผมก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก พลังทำลายของมหามารทั้ง 3 คนนั่นร้ายแรงกว่าที่คิดเอาไว้ไม่น้อย ช่องทางโคจรพลังของผมเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งไปเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ มันทำให้การหมุนเวียนพลังในร่างกายผิดเพี้ยนเป็นอย่างมาก แต่หลังจากหมุนเวียนพลังไปเพียงไม่กี่รอบ สายธารแห่งพลังสีทองของผมก็ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้อีกครั้ง และมันก็ยังหมุนเวียนไปทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธาตุแสงที่อยู่รอบตัวก็ถูกดูซึมเข้ามาในร่างกายอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ และสะสมอยู่ในร่างกายของผมแทนพลังที่ถูกใช้ใปก่อนหน้านี้อย่างต่อเนื่อง แสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากร่างกาย ทำให้ทั้งห้องกลายเป็นสีทองไปด้วยแล้ว แรงกดดันที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งมู่จือและไหสุ่ยเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

“พี่มู่จือ พวกเราออกไปข้างนอกกันดีว่า ดูเหมือนว่าพลังของจางกงจะรุนแรงเกินไปที่พวกเราจะอยู่ใกล้ ๆ ได้ ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!” ไหสุ่ยเอ่ยขึ้นมากับมู่จือ หน้าตาของเธอนั้นแสดงอาการออกมาอย่างที่พูดจริง ๆ

มู่จือยังมีสภาพดีกว่าไหสุ่ยเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องหาที่นอนกันใหม่แล้วล่ะคืนนี้ จางกงนี่ก็เกินไปจริง ๆ ไม่ยอมบอกพวกเราว่าพลังของเขารุนแรงมากถึงขนาดนี้แล้ว แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาแม้จะมีความกดดันรุนแรงมาก มันก็ยังมีความอบอุ่น และทำให้รู้สึกสบายตัวไม่น้อย ไหสุ่ย เธอทนไม่ไหวแล้วอย่างนั้นหรือ? งั้นออกไปข้างนอกกันเถอะ” หลังจากที่พากันออกจากห้องไปแล้ว มู่จือก็เดินไปตามหาตงรื่อ แจ้งให้เขารับรู้ว่าผมกำลังทำสมาธิอยู่ ให้ช่วยมาดูแลเรื่องความปลอดภัยของผมด้วย ส่วนตัวเธอเองนั้น พาไหสุ่ยออกไปหาเสี่ยวจินที่กำแพงป้อม

หลังจากที่ออกมาจากห้องได้แล้ว สีหน้าของไหสุ่ยก็กลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง แต่ก็มีความรู้สึกที่ซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ คล้ายกับว่ากำลังมีเรื่องอะไรถกเถียงกับตัวเองอยู่อย่างหนัก แต่มู่จือที่กำลังอยู่ในอารมณ์ยินดีที่ผมกลับมา ไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว

ส่วนตัวผมเองนั้น หลังจากที่หมุนเวียนพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็เริ่มรู้สึกได้ว่า ตอนที่ผมต่อสู้กับสามมหามารนั้น ผมไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ใช้พลังออกไปได้ไม่ถึง 7 ส่วน มันมีสาเหตุมาจากความเหนื่อยอ่อน ที่ต้องเดินทางไปทั่วตั้งแต่ออกมาจากหุบเขาแบ่งฟ้า และยังไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังไม่คุ้นเคยกับพลังของตัวเองอย่างเต็มที่เลยด้วยซ้ำ ไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์เลย

หลังจากที่ผมพบกับเรื่องนี้ ความมั่นใจของผมก็เพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย ถ้าผมตั้งใจฝึกฝน ทำตัวเองให้คุ้นเคยกับพลังในร่างกายของตัวเองได้ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของผมจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด