ตอนที่แล้ว[ตอนฟรี] ตอนที่ 39 : บาร์บีคิวมังกร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[ตอนฟรี] ตอนที่ 41 : หลงอ้าวเทียน ความหวังแห่งรังจู่หลง

[ตอนฟรี] ตอนที่ 40 : สายฟ้าวิบัติ


จวินเซียวเหยาอายุเพียงสิบปีและเป็นผู้เชี่ยวชาญสวรรค์ที่เก้าแห่งขอบเขตแก่นแท้จิตวิญญาณ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกแล้ว

แต่ตอนนี้กลิ่นอายของจวินเซียวเหยากำลังพุ่งทะยานอีกครั้ง ผู้ชมทุกคนต่างก็ตกใจครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่จะทะลวงขอบเขตอีกแล้วหรือ?

“ท่าไม่ดีแล้ว หรือว่ามันจะเป็นวิบัติของกายาเทพบรรพกาล?” จวินจ้านเทียนขมวดคิ้วและเงยหน้ามองเมฆดำทะมึนรูปคลื่นขนาดใหญ่

สำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไป ถ้าหากพวกเขาทะลวงขอบเขตจากแก่นแท้จิตวิญญาณเข้าสู่สะพานศักดิ์สิทธิ์ มันจะไม่มีวิบัติเกิดขึ้น

แต่กายาเทพบรรพกาลนั้นแตกต่าง

กายารูปแบบนี้เป็นสิ่งที่สวรรค์และโลกไม่ยอมรับ เว้นก็แต่มีโซ่ตรวนทั้งสิบคอยยับยั้งไว้

เมื่อไหร่ก็ตามที่กายาเทพบรรพกาลกำลังจะทะลวงขอบเขตขั้นใหญ่ สวรรค์จะส่งการลงทัณฑ์มายับยั้ง

และจากขอบเขตแก่นแท้จิตวิญญาณเข้าสู่ขอบเขตสะพานศักดิ์สิทธิ์ มันคือการทะลวงขั้นใหญ่

ไม่เพียงแค่จวินจ้านเทียนที่เห็นฉากทัศน์นี้ แต่แขกคนอื่นก็สังเกตเห็นเช่นกัน

“เป็นไปได้หรือเปล่าว่านั่นคือวิบัติของกายาเทพบรรพกาล?”

“เป็นเช่นนั้น ลือกันว่าเมื่อกายาเทพบรรพกาลกำลังจะทะลวงขอบเขตใหญ่ ส่วนใหญ่มักจะต้องประสบกับวิบัติจากสวรรค์ ตอนนี้ดูเหมือนบุตรพระเจ้ากำลังจะงานเข้านะ”

สำหรับผู้บ่มเพาะ สิ่งที่อันตรายที่สุดคือการก้าวข้ามวิบัติให้ได้

หากไม่ระวัง เจ้าก็ตาย จะเป็นความสำเร็จหรือความผิดพลาดในชีวิตที่ผ่านมาก็ไร้ความหมาย

สำหรับร่างกายของผู้ครองกายาเทพบรรพกาล การโจมตีของวิบัติยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากกว่าวิบัติธรรมดาเสียอีก

ผู้บ่มเพาะทั่วไปไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้เลย

“เซียวเหยาไม่ต้องกังวล ปูและคนอื่นจะปกป้องเจ้า!”

จวินจ้านเทียนและคณะผู้อาวุโสลุกขึ้นยืน พวกเขาปลดปล่อยลมหายใจอันทรงพลังของขอบเขตผู้ศักดิ์สิทธิ์

ในอดีตมันก็มีบางขุมกำลังที่ต้องการบ่มเพาะกายาเทพบรรพกาล

และทุกครั้งที่กายาเทพบรรพกาลทำการก้าวผ่านวิบัติ ก็จะมีกลุ่มคนที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนปกป้องให้รอดพ้นจากวิบัติ

อย่างไรก็ตาม จวินเซียวเหยาผู้หล่อเหลาดุจพระเจ้ายังคงมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับน้ำนิ่ง ดวงตาของเขายังคงสุขุม

“ท่านปู่ นั่นไม่มีความจำเป็นเลย มันก็แค่วิบัติง้องแง้งที่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง หลานชายคนเดียวก็พอ…”

ได้ยินจวินเซียวเหยากล่าว จวินจ้านเทียนและคนอื่นถึงกับผงะ

ใบหน้าของผู้บ่มเพาะโดยรอบถึงกับแข็งค้าง

ตอนนี้ วิบัติได้เปลี่ยนแปลงเป็นเส้นสายฟ้าและผ่าลงมาในที่สุด!

วิบัติอันน่าสะพรึงกลัว!

จวินเซียวเหยายืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า เส้นผมดำราวผ้าไหม สยายไปด้วยแสงเจิดจรัส พลิ้วสะบัดตามแรงลม

ชุดขาวราวหิมะรวมกับแขนเสื้อที่โบกพัดไปมา เสมือนผู้เป็นอมตะที่ต้องการลอยล่องหนีไปตามสายลม

จวินเซียวเหยายกมือข้างหนึ่งขึ้นและเตาหลอมนรกก็สำแดงอีกครั้ง (เปลี่ยนจากเตาหลอมอเวจี)

กระแสคลื่นสายฟ้าฟาดได้พุ่งเข้าปะทะกับเตาหลอมนรก

ทันใดนั้นร่างกายของจวินเซียวเหยาก็สั่นสะเทือน

ในร่างกายของเขา พลังปราณและโลหิตทองคำพวยพุ่งและร่างเงาของเทพคชสารก็ปรากฏในทันที มันมีพลังอันไร้ขีดจำกัดที่สามารถปราบปรามสวรรค์และจักรวาล!

งวงของเทพคชสารทะลวงขึ้นไปสู่ท้องนภาและสายฟ้าก็กระหน่ำใส่ร่างกายของจวินเซียวเหยา

“หนึ่งแสนกระแสสายฟ้าวิบัติ จงหล่อหลอมร่างกายอมตะของข้าซะ!”

ไม่เพียงจวินเซียวเหยาจะไม่กลัวสายฟ้าวิบัติ แต่เขากระทั่งใช้ประโยชน์จากมันในการหล่อหลอมกายาเทพบรรพกาล

ครืนน!

สายฟ้ายังคงกระหน่ำลงมา แต่มันไม่สามารถทำร้ายจวินเซียวเหยาได้เลยหรืออย่างมากก็แค่ผลักให้เขาถอยหลังเล็กน้อย

“นี่มัน…สัตว์ประหลาด…” แขกจากหลายขุมกำลังพูดไม่ออกครั้งแล้วครั้งเล่า

ผู้บ่มเพาะคนไหนบ้างที่ก้าวข้ามวิบัติแล้วจะไม่สั่นสะท้านเพราะกลัวตาย

ในทางกลับกัน จวินเซียวเหยาถือว่าวิบัติคือโชคหล่นทับ เขาใช้มันทุบตีและหล่อหลอมร่างกาย

“เฮ้อ ดูเหมือนข้ายังคงประเมินเซียวเหยาต่ำไป” จวินจ้านเทียนและผู้อาวุโสยิ้มมุมปากและส่ายหัว

บางครั้ง พรสวรรค์ของจวินเซียวเหยาก็ส่งผลให้ผู้บ่มเพาะสุดแกร่งในขอบเขตผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขารู้สึกเหมือนจิตใจกำลังจะสลาย

กระทั่งพวกเขายังรู้สึกไปในแนวนี้ อารมณ์ความรู้สึกของเหล่ารุ่นเยาว์ที่มางานเลี้ยงจะขนาดไหนกัน

“ข้ารู้สึกว่าข้าจะไม่มีวันตามบุตรพระเจ้าแห่งตระกูลจวินทัน…”

“ก็คงเป็นอย่างนั้น ในโลกแห่งความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่นี้คงจะเป็นเวทีที่ตระกูลจวินได้เฉิดฉายแต่เพียงผู้เดียว...”

อัจฉริยะชั้นยอดจากขุมกำลังระดับสูงที่พูดคุยกันทำนองนี้ต่างก็เริ่มมีรอยร้าวปรากฏบนหัวใจแห่งเต๋าของพวกเขา

ในท้ายที่สุด สายฟ้าวิบัติก็ทำอะไรจวินเซียวเหยาไม่ได้

“ไสหัวไป!”

จวินเซียวเหยาผลักฝ่ามืออันราบเรียบออกไปและร่างเงาของเทพคชสารคำรามสู่ท้องนภา ส่งผลให้กระแสคลื่นสายฟ้าม้วนกลับที่ของมันและท้องฟ้าก็สั่นสะเทือนลบเลือนเมฆดำทะมึน!

แสงสว่างเริ่มคืนกลับมาสู่โลก

และการเก็บเกี่ยวของจวินเซียวเหยาก็น่ายินดีเช่นกัน

ประการแรกคือการทะลวงการบ่มเพาะไปสู่ขอบเขตสะพานศักดิ์สิทธิ์ และไม่ใช่แค่ทะลวงธรรมดา แต่เป็นการทะลวงไปถึงขั้นปลายของขอบเขตสะพานศักดิ์สิทธิ์

ระดับขั้นในขอบเขตสะพานศักดิ์สิทธิ์แบ่งออกเป็น ต้น กลาง ปลาย สมบูรณ์แบบ

หลังจากบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบ สะพานศักดิ์สิทธิ์ก็จะถูกสร้างอย่างสมบูรณ์ในร่างกาย

จากนั้นจะเป็นขอบเขตหวนคืนหนึ่งเดียว เป็นขอบเขตที่จิตวิญญาณและร่างกายจะผสานรวมกันอย่างกลมกล่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน

ถัดมาคือการค้นหาเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าหรือเมล็ดพันธุ์อมตะ จากนั้นก็ผสานพวกมันเข้าสู่ร่างกาย เรียกขอบเขตนี้ว่าขอบเขตผสานเมล็ดเต๋า

หลังจากผสานรวมเข้ากับเมล็ดพันธุ์เต๋าก็จะเข้าสู่ขอบเขตนิพพาน เป็นขอบเขตที่จะค้นหาเพลิงในการชำระล้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในจิตสำนึก และแปรเปลี่ยนแก่นแท้จิตวิญญาณไปสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดหรือจิตต้นกำเนิด

หลังจากขอบเขตนิพพานก็จะเป็นขอบเขตทะยานสวรรค์ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นจนน่าขนลุก

สุดท้าย จุดประกายขอบเขตเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพื่อส่องสว่างเส้นทางสู่ขอบเขตอันศักดิ์สิทธิ์

ขอบเขตสะพานศักดิ์สิทธิ์ ขอบเขตหวนคืนหนึ่งเดียว ขอบเขตผสานเมล็ดเต๋า ขอบเขตนิพพาน ขอบเขตทะยานสวรรค์ ขอบเขตเพลิงศักดิ์สิทธิ์!

เหล่านี้คือขอบเขตการบ่มเพาะขั้นกลาง

เหนือขึ้นไปกว่านี้ก็จะเป็นขอบเขตการบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์

และจวินเซียวเหยาผู้มีอายุเพียงแค่สิบปีกลับทะลวงมาถึงขอบเขตสะพานศักดิ์สิทธิ์ขั้นปลาย นี่คือสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

โดยปกติแล้ว อัจฉริยะในช่วงอายุอย่างเขามักจะสลับไปมาระหว่างขอบเขตวิหารศักดิ์สิทธิ์และขอบเขตแก่นแท้จิตวิญญาณ

อย่างหลงฮ่าวเทียนก่อนหน้า ก็เพราะพลังจากแก่นแท้มังกรจึงสามารถทะลวงถึงขอบเขตวิหารศักดิ์สิทธิ์

นอกจากทะลวงขอบเขตแล้ว จวินเซียวเหยายังปลุกอีก 10,000 อนุภาคคชสารยักษ์ในร่างกาย ด้วยความช่วยเหลือจากสายฟ้าวิบัติและแก่นแท้มังกร

กล่าวอีกนัยหนึ่ง พละกำลังของจวินเซียวเหยาในตอนนี้ได้แตะถึง 500 ล้านจินแล้ว!

ช่างน่าขนลุก!

สำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไป พละกำลังจะไม่มากนักประมาณไม่กี่แสนจิน

เหล่าอัจฉริยะชั้นยอดจะประมาณไม่กี่ล้านหรือสิบล้านจิน

ส่วนจวินเซียวเหยามีถึง 500 ล้านจิน

นอกจากนี้ จวินเซียวเหยายังพบอีกว่าสุดยอดกระดูกในอกของเขาก็ดูดซับพลังจากสายฟ้าวิบัติและแก่นแท้มังกรด้วยเช่นกัน

“ดูเหมือนว่าวิบัติครั้งนี้จะเป็นวิบัติในรูปแบบที่ยังไม่สมบูรณ์ ข้าต้องหาทางหล่อเลี้ยงสุดยอดกระดูกนี้ให้ได้” จวินเซียวเหยาคิดกับตัวเอง

สุดยอดกระดูกคล้ายกับกายาเทพบรรพกาล มันมีศักยภาพไร้ที่สิ้นสุดและจะติดตัวจวินเซียวเหยาไปตลอดกาล

ในทำนองเดียวกัน กายาพิเศษทั้งสองนี้ก็ต้องการทรัพยากรหลายอย่างมาหล่อเลี้ยงอย่างบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน

มันเป็นเหมือนหลุมไร้ก้นบึ้งถึงสองหลุม

“โชคยังดีที่ข้าได้มาเกิดในตระกูลโบราณอันร่ำรวย ถ้าข้าไปเกิดในตระกูลที่ยากจนก็คงไม่มีทรัพยากรมาหล่อเลี้ยงพวกมัน นับประสาอะไรกับการบ่มเพาะ”

จวินเซียวเหยาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกรอบ กลับชาติมาเกิดใหม่นี่ต้องมีฝีมือจริงๆ

“เดี๋ยวสิ ข้าเกือบลืมไปแล้วว่ามีเนื้อมังกรกึ่งเทวะอยู่” จวินเซียวเหยาคิด

“น้องเซียวเหยามานี่สิ มากินเนื้อมังกรด้วยกัน!” เจียงลั่วหลีที่กำลังเฝ้ามองจวินเซียวเหยาอยู่ฉลาดอย่างยิ่ง นางรู้ว่าจวินเซียวเหยาต้องการอะไร

ขณะนั้นเอง นางก็นำเนื้อมังกรย่างบาร์บีคิวยื่นให้กับจวินเซียวเหยา นางกะพริบตาปริบๆ ราวกับว่า ‘ข้าเป็นคนดีใช่ไหม’

“ขอบคุณ” จวินเซียวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย

ท่าทางการกินของเขาดูสุขุมและสง่างามมากยิ่งกว่าเจียงลั่วหลีเสียอีก

ต้องบอกว่าเนื้อมังกรระดับกึ่งเทวะจานนี้อุดมไปด้วยแก่นแท้ชีวิตอันน่าทึ่งอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่สุดยอดกระดูกภายในอกของเขาดูดซับมันอย่างตะกละ

จวินเซียวเหยาก็ตั้งตารอถึงวันที่สุดยอดกระดูกจะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

เพียงสายฟ้าวิบัติที่ดูดซับเข้าไป สุดยอดกระดูกยังทรงพลังถึงขนาดนี้

หากทะลวงขอบเขตและบังเกิดวิบัติอีกครั้ง สุดยอดกระดูกจะทรงพลังถึงขนาดไหน

“หลังจากลงชื่อในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดสิบปีแล้ว การลงชื่อครั้งต่อไปก็เป็นคลังสมบัติลับจ้าวเทวะหยวนเทียน ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ข้าต้องเริ่มเตรียมตัวได้แล้ว” จวินเซียวเหยาวางแผน

รางวัลจากการลงชื่อมันช่างหรูหราจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกายาเทพบรรพกาล พลังเทพคชสารทลายโลกันตร์และสุดยอดกระดูก ทั้งหมดนี้เป็นตัวช่วยอันยอดเยี่ยมของเขา

จวินเซียวเหยาสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะได้รับรางวัลอะไรจากการลงชื่อที่คลังสมบัติลับจ้าวเทวะหยวนเทียน?

“แล้วก็เจ้าเซียวเฉินนั่น ไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้ข้าเก็บเกี่ยวอีกหรือเปล่า” จวินเซียวเหยาคิด

หลังจากงานเลี้ยงฉลองวันเกิดสิบปี จวินเซียวเหยาก็สามารถออกเดินทางไปผจญภัยในโลกกว้างและเข้าสู่ดินแดนอมตะได้เสียที

เขาตั้งหน้าตั้งตารอสำหรับดินแดนอมตะอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้เช่นกัน

“ในโลกแห่งความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่นี้ ข้าหวังว่าข้าจะไม่รู้สึกเบื่อเกินไปนะ…” จวินเซียวเหยายืนมือไพล่หลังพลางถอนหายใจในขณะเงยหน้ามองท้องฟ้า

ความไร้เทียมทานนี่มันก็ค่อนข้างเหงาอยู่เหมือนกันนะ

(หากมีคำแนะนำหรือข้อติเตียน สามารถคอมเมนท์เพื่อบอกกล่าวได้นะครับ ^ ^ ขอบพระคุณมากครับที่สละเวลาอ่านจนจบ)

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด