ตอนที่แล้วบทที่ 326 – เมืองหลวงของอาณาจักรอ้ายเซี่ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 328 – สถานการณ์ในปัจจุบัน

บทที่ 327 – พบกับหม่าเคออีกครั้ง


วังหลวงของอาณาจักรอ้ายเซี่ยยังคงตั้งอยู่อย่างยิ่งใหญ่อย่างที่ควรจะเป็น ตอนที่พวกเราทั้งคู่ปรากฏตัวเข้ามาในเขตของวังหลวงได้แล้วนั้น สภาพรอบตัวก็เต็มไปด้วยประกายแห่งทองคำและหยก ที่ประดับอย่างงดงามไปทั่วทุกแห่ง สะท้อนกับแสงอาทิตย์ในยามเช้าออกมาอย่างงดงาม นี่ก็เป็นสถานที่อีกแห่งที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับผมไม่น้อยเลยทีเดียว

“จางกง ทำไมท่านถึงได้เหม่อลอยบ่อยจังเลยล่ะ?” เสียงของเจี้ยนซานดังขึ้นมาที่ข้างตัว สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากต้องเคลื่อนย้ายระยะสั้นมานับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว

“เจี้ยนซาน ระดับพลังของเจ้าทำไมถึงได้ลดลงไปมากขนาดนี้? เจ้าได้รับบาดเจ็บอะไรอยู่หรือเปล่า? ดูเหมือนว่าระดับพลังของเจ้าจะสู้เมื่อก่อนไม่ได้เลยนะ?” ผมเปลี่ยนเรื่องออกมา

ดวงตาของเขาเบิกกว้างอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยปากออกมาได้ในที่สุด “ท่านอย่ามาพูดอะไรแบบนี้อีกนะ มันจะทำให้ข้าโกรธขึ้นมาได้จริง ๆ พลังลดลงมากอย่างนั้นหรือ? ถึงแม้ว่าตอนนี้ระดับพลังของข้าจะยังไม่บรรลุถึงระดับนักบุญ แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดของอัศวินศักดิ์สิทธิ์แล้วนะ ท่านอย่างได้เอาพวกคนธรรมดาอย่างพวกเรา ไปเทียบกับตัวเองอย่างนั้น ท่านเป็นผู้สืบทอดแห่งเทพเจ้านะ พลังของท่านมันต้องต่างจากคนธรรมดาอยู่แล้ว”

คำที่เจี้ยนซานกล่าวออกมา ทำให้ผมเข้าใจได้ในทันที ‘ใช่จริงด้วย เพราะตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน ว่าระดับพลังนั้นอยู่ในระดับไหนแล้ว หลังจากที่รับสืบทอดพลังแห่งเทพเจ้ามาได้สำเร็จ รู้สึกแต่เพียงว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น และรู้สึกว่าคนอื่นอ่อนแอลง’ และได้ออกเขาออกไปไม่เต็มปากนัก “ข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แค่ต้องการให้กำลังใจเจ้า อยากให้เจ้าฝึกฝนให้หนักขึ้นอีกเท่านั้น”

เขาคำรามออกมาทันที “ตอนนี้ข้าก็ฝึกหนักจนแทบจะไม่ได้พักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการที่จะบรรลุระดับนักบุญนั้น มันเป็นขั้นตอนที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง กว่าจะเพิ่มระดับให้สูงขึ้นจากตอนนี้แค่เพียงเล็กน้อย ก็ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก เลยพูดเรื่องพวกนี้กันเถอะ ไม่ใช่ว่าท่านมาที่วังหลวงนี้ เพื่อจะถามข้อมูลที่อยู่ของพวกเราไม่ใช่หรือ? รีบตามหาคนมาสอบถามกันเถอะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา ก่อนจะพากันเคลื่อนย้ายกันไปตั้งหลักอยู่ที่ในสวนหิน ใช้สัมผัสพิเศษจากพลังศักดิ์สิทธิ์คอยหลีกเลี่ยงไม่ให้เวรยามที่กำลังทำหน้าที่อยู่พบตัวได้ ขณะที่ผมกำลังมองซ้ายมองขวาเพื่อจดจำทิศทางอยู่นั้น เจี้ยนซานก็เอ่ยถามออกมา “ทำไมพวกเราไม่เดินเข้าไปทางประตูหน้าโดยตรงเลยล่ะ? ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเจอใครไม่ได้เสียหน่อย?”

ผมตอบเขากลับไป “ข้าไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายใหญ่โตไป แค่ต้องการพูดคุยสอบถามกับหม่าเคอโดยตรงเท่านั้น ทำอย่างนี้น่าจะเร็วกว่า ถ้าเราเดินเข้าทางประตูหน้า อาจจะต้องผ่านพิธีการ และตอบคำถามไม่จบสิ้นแน่ เข้ากันมาเองแบบนี้ ลดความยุ่งยากพวกนั้น และประหยัดเวลาได้มากกว่าเยอะ”

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฟังดูก็มีเหตุผลอยู่นะ แต่ว่าท่านจำทางได้หรือยัง พวกเราต้องไปทางไหนกันต่อ?”

ผมเริ่มรำคาญเขาขึ้นมาบ้างแล้ว จึงส่งสัญญาณให้เงียบเสียงลง “เจ้าหลับตาอยู่เงียบ ๆ ไม่ต้องส่งเสียง และไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ” หลังจากนั้น ผมก็พาเขาเคลื่อนย้ายอีก 2 ครั้ง เข้าสู่วังหลวงชั้นใน อันเป็นที่ตั้งของตำหนักใหญ่ได้ในที่สุด ก่อนจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบสภาพภายในก่อนเพื่อความรอบคอบ แต่ก็ต้องแปลกใจ ที่พบว่าข้างในนั้นไม่มีใครอยู่เลย ‘หม่าเคอไม่อยู่ที่นี่? เขาออกไปไหนตั้งแต่ยังเช้าอยู่แบบนี้?”

และตอนนั้นเอง มีนางกำนัล 2 คนกำลังเดินมุ่งมาทางที่พวกเรายืนอยู่ ผมรีบพาเจี้ยนซานลอยตัวขึ้นมาหลบอยู่ที่บริเวณใต้หลังคาทันที

ได้ยินหญิงสาวทั้ง 2 คนกำลังกระซิบกระซาบกันมาตลอดทาง

“ท่านพี่ ทำไมองค์ราชาถึงได้ต้องทรงงานหนักขนาดนี้? ออกไปว่าราชการตั้งแต่เช้าตรู่ ต่อให้มีเรื่องของพวกเผ่ามารเข้ามา ก็ไม่น่าจะต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยนี่ ตั้งแต่พระองค์ทรงขึ้นครองบัลลังก์ อาณาจักรอ้ายเซี่ยของพวกเรานั้นมีกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวันอยู่แล้ว แถมยังมีพวกดินแดนผู้พิทักษ์แห่งเทพอะไรนั้น มาให้ความช่วยเหลืออีกด้วย ไม่เห็นต้องน่ากังวลอะไรมากเลย บางที หลังจากจบเรื่องวุ่นวายพวกนี้ไป อาณาจักรของเราอาจจะแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรต้าลู่เลยก็ได้นะ นับว่าเป็นบุญของอาณาจักรอ้ายเซี่ยไม่น้อยเลย ที่ได้องค์ราชามาเป็นผู้ปกครอง”

นางกำนัลอีกคนหัวเราะคิกคักออกมา “ทำไม? เจ้าอยากเป็นสนมขึ้นมาแล้วอย่างนั้นหรือ? จะว่าไป พระองค์ก็ยังทรงหนุ่มแน่น ทั้งหน้าตาก็หล่อเหลา แถมยังเต็มไปด้วยความสามารถ แต่ว่านะ! อย่าได้คิดอาจเอื้อมเลยจะดีกว่า ทรงรักและถนุถนอมองค์ราชินีมากเหลือเกิน ตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์มา ยังไม่ได้รับสนมเลยแม้แต่คนเดียว เจ้าเลิกฝันเฟื่องไปคนเดียวเถอะ”

“พี่นี่ช่างเหลือเกินจริง ๆ เดี๋ยวนี้รู้จักล้อข้าเล่นแล้วอย่างนั้นหรือ? พี่ก็ฝันกลางวันอยู่ไม่ต่างจากข้านักหรอกใช่หรือไม่?”

................

ผมนั้นเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเลยทีเดียว นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าหม่าเคอจะเป็นที่ชื่นชอบมากถึงขนาดนี้ได้ นับว่าไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลย เขาสามารถปกครองอาณาจักรได้เป็นอย่างดีทีเดียว และจากที่ได้ยินมา ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่ท้องพระโรง ผมแค่ต้องพาเจี้ยนซานไปที่นั่นเท่านั้นเอง

หลังจากค่อย ๆ เคลื่อนย้ายระยะสั้นไปเรื่อย ๆ พยายามไม่ให้มีใครเห็นตัว หลบกลุ่มของทหารที่กำลังลาดตระเวนอยู่อีก 2-3 ครั้ง ผมก็มาถึงบริเวณด้านนอกของท้องพระโรงได้แล้ว จากพลังเวทย์ที่แผ่ออกมาจากด้านใน ดูเหมือนว่าจะมีคนรวมกันอยู่ในนั้นไม่น้อย ผมใช้พลังศักดิ์สิทธิ์สร้างม่านพลังออกมาคุ้มครองพวกเราทั้งคู่เอาไว้ ก่อนที่จะพากันขึ้นไปบนหลังคา เพื่อที่จะฟังว่าข้างในนั้นกำลังปรึกษากันเรื่องอะไรอยู่

“องค์ราชา! ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะค่อนข้างคับขัน แต่การที่จะส่งกองกำลังนักเวทย์ไปเพิ่มไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ผู้อำนวยการเจิ้น และอาจารย์ใหญ่ตี้ พวกเรามี 2 เมธีเวทย์ประจำการอยู่ที่นั่นแล้ว ประกอบกับกำลังคนจากดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพที่เป็นพันธมิตรกับพวกเราอีก กำลังพลของที่นั่นน่าจะเพียงพอแล้ว พวกเราต้องการกำลังพลสำหรับการป้องกันเมืองหลวงแห่งนี้เหมือนกันนะ” เสียงที่ค่อนข้างชราดังออกมาให้ได้ยิน

“ไม่หรอก! ข้าไม่คิดว่ากำลังพลแค่นั้นจะเพียงพอเลย การโจมตีครั้งใหม่นี้ไม่น่าจะเหมือนเดิมอย่างแน่นอน ในระยะหลัง เผ่ามารเก็บเนื้อเก็บตัว อยู่ในความสงบมากเกินไป ถ้าพวกมันจะทำการโจมตีอีกครั้ง ต้องเป็นการโจมตีที่รุนแรงกว่าที่ผ่านมาทั้งหมดแน่ ๆ และจากข่าวที่รายงานเข้ามา กำลังส่วนใหญ่ของพวกมันก็รวมกันอยู่ที่ป้อมปราการแล้ว ข้าถึงได้ตัดสินใจที่จะนำกองกำลังนักเวทย์จากสหพันธ์เวทย์มนต์หลวงไปด้วยตัวเอง เพื่อเสริมการป้องกันให้หนาแน่นมากขึ้นไปอีก การป้องกันในครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในสงครามกับเผ่ามารได้เลย พวกเราต้องแสดงเป็นตัวอย่างให้อีก 2 อาณาจักรได้เห็น ว่าต้องทุ่มกำลังเข้าจัดการกับพวกมารอย่างจริงจัง” เสียงของหม่าเคอดังตอบออกมา มันเต็มไปด้วยอำนาจและบารมีเป็นอย่างมาก ‘นี่..นี่ยังเป็นเจ้าหม่าเคอคนนั้นอยู่หรือเปล่าเนี่ย? ป้อมปราการ? เกิดอะไรขึ้นที่นั่น? ทำไมเขาต้องเสริมกำลัง และถึงจะต้องเดินทางออกไปด้วยตัวเอง? แล้วพวกมู่จืออยู่ที่ไหนกัน?’ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของพวกเขา ความคิดในหัวผมก็วิ่งอย่างวุ่นวาย

"องค์ราชา! ได้โปรดทบทวนอีกครั้งด้วยเถิด พระองค์เป็นผู้ปกครองอาณาจักร? จะทรงออกไปเสี่ยงอันตรายไม่ได้เป็นอันขาด ข้าน้อยผู้ชรา ขออาสานำกองกำลังนักเวทย์เดินทางไปเอง!”

“ไม่มีการทบทวนใด ๆ ทั้งสิ้น การตัดสินใจของข้าถือเป็นข้อสิ้นสุดแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งออกไป รวบรวมกองกำลังนักเวทย์ เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางไปที่ป้อมปราการในทันที และถ่ายทอดคำสั่งให้กองพลที่ 3 ทำหน้าที่เป็นกองทัพรักษาเมืองในช่วงเวลานี้ด้วย เลิกประชุมได้!” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากท้องพระโรงไม่น้อย เหล่าขุนนางเริ่มทยอยกันเดินกลับออกไปจนหมด ในท้องพระโรงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“องค์ราชา จะไม่ทรงคิดทบทวนอีกครั้งจริง ๆ หรือ?” เสียงของไห่เย่วดังขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

และมีเสียงของหม่าเคอดังตอบออกมา “ครั้งนี้ข้าจะทำตัวขี้ขลาดหลบอยู่ที่ในเมืองหลวงนี้ไม่ได้แล้ว เจ้าแค่ต้องรอข้ากลับมาเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไป พวกเราต้องสามารถกำจัดพวกเผ่ามารพวกนั้นจนหมดสิ้นไปได้แน่”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด