ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 391 ออกจากการปิดประตูบ่มเพาะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 393 ก่อนเกิดพายุ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 392 คลื่นใต้น้ำ (อ่านฟรี)


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 392 คลื่นใต้น้ำ (อ่านฟรี)

แปลโดย iPAT  

ฟู่ชิงยินมาคนเดียวในชุดสีเขียวโทรมๆของเขา เขาดูเหมือนนักดาบพเนจร แต่เขาสามารถดึงดูดสายตาของทุกคน แม้แต่ดารานำของค่ำคืนนี้เช่นฮัวเฉิงซานก็ไม่สามารถขโมยซีนจากเขา

เมื่อเทียบกับวังหลอมรวมดาบ ตระกูลฮัวก็เหมือนหัวหน้าหมู่บ้านที่ห่างไกล แม้พวกเขาจะมีชื่อเสียงที่สุดในมณฑลชิงเหอ แต่มันยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับวังหลอมรวมดาบ

“นั่นคือฟู่ชิงยินของวังหลอมรวมดาบ ดาบที่เขาถือเป็นหนึ่งในสิบดาบที่มีชื่อเสียงของวังหลอมรวมดาบ มันมีชื่อว่าเมืองที่ล่มสลาย!” อันฉงจื่อแนะนำ

“งั้นหรือ? เขาดูเหมือนพึ่งก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์เช่นเดียวกับเสี่ยวฮัว”

“อย่าประมาทเขา ดาบเมืองที่ล่มสลายเป็นสมบัติล้ำค่าของวังหลอมรวมดาบ กล่าวกันว่ามันเก็บเจตจำนงของปรมาจารย์ดาบรุ่นก่อนของวังหลอมรวมดาบเอาไว้ เขาไม่เพียงครอบครองพลังที่น่าตกใจแต่การบ่มเพาะของเขาก็ก้าวหน้าเร็วมาก เขาจะกลายเป็นตัวตนสำคัญของมณฑลชิงโจวอย่างแน่นอน” อันฉงจื่ออธิบาย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่นางเห็นคือรอยยิ้มมั่นใจของหลี่ฉิงซาน “อย่ากังวล ผู้ชายของเจ้าจะไม่แย่ไปกว่าเขาในอนาคต”

“ช่างไร้ยางอายนัก!”

“เขาเป็นผู้ประสานงานของกองกำลังพันธมิตรปราบปีศาจ นิกายจำนวนมากเข้าร่วมกับพวกเขาแล้ว ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะการจัดการของเขา ด้วยการบ่มเพาะของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะถือรองเท้าให้เขา!” ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย หลี่ฉิงซานกับอันฉงจื่อหันกลับไปด้วยความประหลาดใจและเห็นหวังฝูซื่อยืนอยู่ตรงนั้น

“ผู้บัญชาการ ท่านกล่าวเกินจริงไปหน่อยหรือไม่? โอ้ วันนี้ท่านแต่งตัวค่อนข้างมีสีสัน!” หลี่ฉิงซานเห็นหวังฝูซื่อในชุดใหม่เอี่ยมและดูฉูดฉาดกว่าปกติมาก

“ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ” ฟู่ชิงยินมองศึกษาฮัวเฉิงซาน

“ขอบคุณคำพูดที่เป็นมงคล” ฮัวเฉิงซานสุภาพแต่ทำตัวเหินห่าง ทั้งสองอาจเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดแต่มันยังมีความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งและความสำเร็จในอนาคต

“สหายฟู่ เจ้ามาด้วยตนเอง เป็นเกียรติอย่างมากสำหรับที่พำนักอันต่ำต้อยของข้า!” ฮัวเฉิงซานไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ขณะที่บิดาของเขาออกมาต้อนรับฟู่ชิงยินด้วยตนเอง เขายิ้มจากหูถึงหู ด้านหลังเขาคือกลุ่มผู้ฝึกตนก่อกำเนิดทั้งชายและหญิงที่มาร่วมแสดงความยินดี ทุกคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญจากบางนิกาย พวกเขาทักทายฟู่ชิงยินราวกับกำลังตรวจสอบคำพูดก่อนหน้าของหวังฝูซื่อ

แม้พวกเขาจะไม่ใช่สมาชิกกองกำลังพันธมิตรปราบปีศาจ แต่พวกเขาก็ยังต้องทักทายเขา ในภูมิภาคนี้ฟู่ชิงยินกลายเป็นตัวตนที่ทรงอิทธิพลไปแล้ว เขาสามารถกำหนดชะตากรรมของนิกายได้ด้วยการสะบัดมือ

“อา...นั่นไม่ใช่ผู้นำนิกายเซียวแห่งนิกายอาภรณ์สีชาดงั้นหรือ?”

“และผู้อาวุโสแห่งนิกายหุบเขาเมฆากุหลาบ”

จอมยุทธ์พลังปราณทั้งหมดอุทานเมื่อเห็นการปรากฏตัวของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันและเริ่มพูดคุยกัน ฟู่ชิงยินกลายเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจ ขณะที่ฮัวเฉิงซานกลายเป็นคนที่ไร้นัยสำคัญ

หลี่ฉิงซานยิ้ม “ผู้บัญชาการ หากเขาแข็งแกร่งเช่นนั้นจริง เหตุใดท่านไม่ไปต้อนรับเขา?”

“ต้อนรับตูดเจ้าสิ กองกำลังพันธมิตรปราบปีศาจก็คือกองกำลังพันธมิตรปราบปีศาจ ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ก็คือผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์!” หวังฝูซื่อมองเขาด้วยความโกรธก่อนจะหันหลังและเดินจากไป

“วันนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกับตาแก่หวัง? เหตุใดเขาจึงหงุดหงิดนัก?” หลี่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย

“เจ้าไม่เคยสนใจเรื่องใดๆของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ซึ่งเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่รู้ เมื่อเร็วๆนี้มีคดีที่เกี่ยวข้องกับนิกายอาภรณ์สีชาด”

ครั้งแรกที่ศิษย์นิกายอาภรณ์สีชาดออกจากนิกาย พวกเขาจะต้องทำภารกิจทดสอบที่เรียกว่า ย้อมอาภรณ์ด้วยเลือด พวกเขาต้องฆ่าคนหนึ่งร้อยคนด้วยมือของพวกเขาเอง

มันฟังดูเหมือนภารกิจนองเลือด แต่มันไม่ผิดกฎหมาย เพราะมันเกี่ยวกับการรักษาความยุติธรรม มณฑลชิงเหอเต็มไปด้วยโจรและอันธพาล โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาจะไม่มีความผิดหากพวกเขาสังหารคนธรรมดาในยุทธภพ

แต่เมื่อเร็วๆนี้มีศิษย์คนหนึ่งของนิกายอาภรณ์สีชาดซึ่งครั้งหนึ่งเคยเลี้ยงม้าให้กับตระกูลที่ร่ำรวยในช่วงวัยเด็กและถูกทารุณกรรมมามากเป็นผลให้เขาใช้ภารกิจนี้เพื่อกลับไปสังหารหมู่ แม้แต่เด็ก ผู้หญิง และคนรับใช้ก็ไม่เว้น พวกเขามีจำนวนเจ็ดสิบเอ็ดคน ดังนั้นเขาจึงสังหารคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นอีกราวสามสิบคนเพื่อให้ครบหนึ่งร้อยคน

เขากระตุ้นให้ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ในพื้นที่ออกมาตรวจสอบและจับกุมเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่คาดหวังว่าฆาตกรจะเป็นศิษย์ของนิกายอาภรณ์สีชาด เขากระทั่งสังหารผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์อีกสองคนก่อนจะหลบหนีกลับไปที่นิกาย

โดยพื้นฐานแล้วเขาได้ทำลายข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วยการฆ่าผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ ดังนั้นหวังฝูซื่อจึงต้องไปเยี่ยมนิกายอาภรณ์สีชาดเป็นการส่วนตัวเพื่อขอให้พวกเขามอบตัวฆาตกร ในอดีตนิกายอาภรณ์สีชาดย่อมไม่กล้าต่อต้าผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีรย์ แต่ด้วยการเข้าร่วมกองกำลังพันธมิตรปราบปีศาจ พวกเขาจึงมีกองกำลังที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เมื่อรวมกับวังหลอมรวมดาบ พวกเขาจึงไม่สนใจผู้บัญชาการหมาป่าทองแดงเช่นหวังฝูซื่ออีกต่อไป ผู้นำนิกายปฏิเสธว่าฆาตกรไม่ใช่สมาชิกนิกายอาภรณ์สีชาดและบอกให้หวังฝูซื่อไปหาที่อื่น

จากด้านข้างของฟู่ชิงยิน ผู้นำนิกายอาภรณ์สีชาดมองไปที่หวังฝูซื่อและยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ

ผู้ฝึกตนที่ทำตามใจตัวเองมักถูกใส่กุญแจมือโดยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถเชิดหน้าขึ้นได้ในที่สุด

อันฉงจื่อกล่าวต่อ “ไม่เพียงเท่านั้น คดีทั้งหมดค่อนข้างยากลำบากขึ้นในระยะหลังตราบเท่าที่พวกเขาเกี่ยวข้องกับกองกำลังพันธมิตรปราบปีศาจ เจ้าไม่สามารถตำหนิผู้บัญชาการที่หงุดหงิด” นางมองไปรอบๆก่อนจะลอบสื่อสารกับหลี่ฉิงซาน “ตอนนี้เสี่ยวฮัวออกมาจากการปิดประตูบ่มเพาะแล้ว มันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า”

หลี่ฉิงซานลอบสั่นไหวอยู่ภายใน สงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจยังไม่ปะทุขึ้นแต่การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างมนุษย์เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากนี้มันจะไม่สงบสุขอีกต่อไป

ผิวน้ำที่สงบนิ่งมานับพันปีเริ่มกระเพื่อม ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับปีศาจเป็นเพียงวังน้ำวนที่ใหญ่ที่สุด แต่มันยังทำให้เกิดวังน้ำวนอีกนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่

“อย่ากลัวไปเลย ข้าจะปกป้องเจ้าในฐานะศิษย์พี่ของเจ้า!” อันฉงจื่อสัมผัสได้ว่าหลี่ฉิงซานรู้สึกกระวนกระวาย ดังนั้นนางจึงลูบหัวเขาด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองหยอกล้อกันแต่อันฉงจื่อคิดผิดอยู่เรื่องหนึ่ง หลี่ฉิงซานไม่เคยกลัว ตรงข้าม เขาตื่นเต้น

เขาไม่รังเกียจชีวิตที่สงบสุขแต่เขาถือว่าโลกใบนี้เป็นดินแดนมหัศจรรย์สำหรับการผจญภัย

“แขกมาครบหรือยัง?” ฮัวเฉิงซานถามน้องสาวของเขา

“มีบางส่วนที่ยังไม่มา แต่พวกเขาอาจไม่มาแล้ว นอกจากนั้นมันก็ถึงเวลาแล้ว เข้าไปกันเถอะ” ฮัวเฉิงลู่ตรวจสอบรายชื่อแขก

ฮัวเฉิงซานเงยหน้าขึ้นและเห็นเรือเหาะลำใหญ่บินเข้ามา เมื่อเขาเห็นสัญลักษณ์บนเรือ ดวงตาของเขาก็ส่องประกายขึ้น เขารีบออกคำสั่ง “เปิดค่ายกล”

“ฉงจื่อ ดูสิว่าใครมา?” ฮัวเฉิงซานนำชายหนุ่มร่างเตี้ยและขี้เหร่ผู้หนึ่งเข้ามา เขาแต่งตัวเหมือนบัณฑิตแต่เขาไม่สง่างามเลย

อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกคนผู้นี้เพราะเขาเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด

“ซานเฉิง เจ้ากลับจากนิกายทิวสนแล้วงั้นหรือ?” อันฉงจื่อรู้สึกประหลาดใจ