ตอนที่แล้วบทที่ 307 – ทำลายหลุมกำเนิดมาร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 309 – พ่อค้าเร่

บทที่ 308 – เดินหน้าต่อไป


ผมใช้เวลาจมอยู่ในห้วงความคิดตรงนั้นไม่นานมากนัก หลังจากมองสำรวจลงไปที่ก้นหลุมอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็เริ่มหันหลังกลับ เดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกับที่เคอเอ้อร์หลานตี้ใช้ล่าถอยออกไป

นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่อย่างมาก ที่ผมไม่ได้หมดพลังเวทย์ไปมากอย่างที่คิดเอาไว้ มันเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก แต่ผมยังเหลือพลังเวทย์อยู่ในร่างกายอีกไม่น้อย แล้วยังสามารถควบคุมดาบศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และนับว่าโชคของผมนั้นยังไม่เลวนัก ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีระดับพลังเช่นเดียวกับมหามารที่ผมเคยเจอมา ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้หรือไม่ แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุด คือการที่เผ่ามารเริ่มลงมือก่อการอย่างต่อเนื่องแล้วต่างหาก ดูเหมือนว่าผมจะต้องรีบเดินทางไปรับสืบทอดพลังของเทพเจ้าให้ได้เร็วที่สุด บางที การฟื้นคืนชีพของราชามาร อาจจะมาเร็วกว่าที่ราชาเทพเคยทำนายเอาไว้ก็ได้

ผมยกหมวกของชุดคลุมเวทย์ออกจากศีรษะตัวเอง เพราะมันไม่น่าที่จะมีความจำเป็นต้องปิดบังตัวตนอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้ หลังจากที่ผมแสดงความแข็งแกร่งออกไปมากขนาดนั้น เคอเอ้อร์หลานตี้และคนของเขา น่าจะเดาได้ว่าแล้วว่า จริง ๆ แล้วผมเป็นใครกันแน่

ผมใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถกลับมาถึงที่พักข้างเส้นทางสายหลักได้ เคอเอ้อร์หลานตี้กับคนอื่น ๆ กำลังยืนรออยู่ที่นั่น โดยเฉพาะเคอเอ้อร์หลานตี้ ดูเหมือนว่าเขาจะกระวนกระวายเป็นอย่างมาก และเมื่อเขาเห็นผมเดินกลับเข้าไป ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นยินดีอย่างที่สุดขึ้นมา แล้วก็ยืนอึ้งกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็นของผม ซึ่งยิ้มที่มุมปาก และกล่าวถามเขาออกไป “มันน่าตกใจมากใช่หรือไม่? แต่นี่แหละ หน้าตาที่แท้จริงของข้า!”

เขาหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ชื่อของท่าน ก็ไม่ควรจะเรียกว่า ‘สือปา’ ใช่หรือไม่?”

ผมพยักหน้า “ข้าคิดว่าพวกท่านคงจะเดากันได้อยู่แล้ว ว่าข้าคือเว่ยจางกง พวกท่านเรียกข้าว่าจางกงก็พอแล้ว”

สีหน้าของเคอเอ้อหลานตี้เปลี่ยนไปมากกว่าเดิมอีก เขาอุทานออกมาเสียงดัง “ท่านคือท่านทูตแห่งเทพเจ้า บุตรแห่งแสง ‘เว่ยจางกง’ จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”

ผมยิ้มให้เขาอย่างไม่เต็มปากนัก “ข้าไม่ต้องการที่จะปิดบังตัวตนอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เผ่ามารได้ทำลงไปที่หลุมดำนั่น ถ้าหากว่าข้าไม่สามารถสังเกตความผิดปกติ และกำจัดมันลงได้อย่างทันเวลา พวกสัตว์ปีศาจประหลาด ๆ พวกนั้น น่าจะสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ใกล้เคียงกับที่นี่อย่างมหาศาลแน่ พวกเจ้าน่าจะเชื่อกันได้แล้วละมั้ง ว่าเผ่ามารนั้นมีตัวตนอยู่จริง ใช่หรือไม่?”

สีหน้าของเคอเอ้อร์หลานตี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว อาจจะเป็นเพราะเขาดันไปนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เข้า “ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เผ่ามารนั้นมีตัวตนอยู่ในโลกนี้จริง ๆ กลิ่นอายแห่งความตายที่พวกมันปล่อยออกมา ช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกอันชั่วร้าย และน่าหวาดกลัว มันทรงพลังเสียยิ่งกว่าเผ่าปีศาจ กับเผ่าอสูรกายเสียอีก ท่านทูตแห่งเทพเจ้า! ข้าได้แต่หวังว่าท่านจะไม่ถือสากับสิ่งที่ข้าเคยกล่าวออกมาก่อนหน้านี้ รวมทั้งเรื่องที่ต้องการรับท่านเข้ามาอยู่ในกองทัพของอาณาจักรต้าลู่นั่นด้วย ถือว่าข้าเป็นคนที่ไม่ประมาณตนเองไปเสียก็แล้วกัน จากสิ่งที่ท่านแสดงออกมาให้เห็นในวันนี้ ถือว่าเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาทั้งชีวิตนี้เลย แล้วเวทย์แสงขนาดใหญ่นั่น เป็นเวทย์ต้องห้ามธาตุแสงใช่หรือไม่?”

“เจ้ากล่าวถูกแล้ว แล้วการใช้เวทย์ต้องห้ามที่ทรงพลังขนาดนั้น สร้างความเสียหายให้กับร่างกายของข้าไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ข้าต้องการเดินทางมาไปที่ป้อมปราการคราวนี้ เพราะมีเรื่องที่สำคัญที่ต้องจัดการ การปรากฏตัวของเผ่ามารนั้นสร้างความกดดันให้กับพวกข้าเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ข้าจึงหวังว่า อาณาจักรต้าลู่ของพวกเจ้า จะสามารถฝึกฝนกองทัพให้เข้มแข็งได้มากขึ้นไปอีก เพื่อสามารถที่จะรับมือกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี พวกเหล่าสัตว์ปีศาจเผ่ามารที่พวกเจ้าเพิ่งได้เจอไป เป็นพวกชั้นต่ำมากที่สุดแล้ว ถ้าเป็นระดับที่สูงกว่านี้ หรือราชามารฟื้นคืนชีพขี้นมาเอง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรกันแน่”

ดวงตาของเคอเอ้อร์หลานตี้นั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ท่านทูตจางกง! ได้โปรดวางใจได้ ข้าจะรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ผู้บังคับบัญชาทราบอย่างแน่นอน พวกเรา อาณาจักรต้าลู่ จะต้องทำหน้าที่ของพวกเราให้ดีที่สุด เพื่อให้ทวีปแห่งนี้ บ้านของพวกเราเผ่ามนุษย์นั้นสามารถอยู่กันได้อย่างสงบสุข” ในตอนนี้ เขาคงรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของเผ่ามารเรียบร้อยแล้ว ผมได้แต่หวังว่าจะมีคนแบบเขาเพิ่มขึ้นมากกว่านี้อีก คนที่เข้าใจว่าผมกำลังทำอะไรอยู่

“เคอเอ้อร์! ข้าคงจะไม่ร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้าต่อไปแล้ว ข้าจะต้องเร่งทำเวลาให้ได้เร็วที่สุด หวังว่าพวกเราคงจะได้มีโอกาสพบกันอีกในอนาคต”

เคอเอ้อร์หลานตี้กล่าวออกมาอย่างจริงใจ “ข้าจะตั้งตารอวันที่ได้ร่วมออกศึกกับท่าน!”

ผมพยักหน้าให้เขา ก่อนจะกล่าวลากับเหล่าทหารม้าที่เหลือ ซึ่งกำลังยืนมองมาที่ผมด้วยความเคารพเป็นอย่างมาก หลังจากเดินแยกออกมาจากพวกเขาได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็เริ่มใช้พลังของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ออกมา พาตัวเองเหาะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และลับหายไปในม่านความมืดของยามค่ำคืนที่กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

หลังจากผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงมาได้สักระยะหนึ่ง เมื่อผมสามารถสงบสติอารมณ์ และคิดเรื่องต่าง ๆ ได้เต็มที่แล้ว ผมก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาไม่น้อย จากที่ราชาเทพเคยกล่าวเอาไว้ พวกเราจะยังเหลือเวลาอีกอย่างน้อย 2 ปี แต่จากเหตุที่เกิดขึ้นในวันนี้ พวกเผ่ามารได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นมา และเริ่มลงมือทำแผนการบางอย่างตั้งแต่ตอนนี้แล้ว มันมีความเป็นไปได้ ที่ราชามารจะฟื้นคืนขึ้นมาก่อนที่ราชาเทพได้ทำนายเอาไว้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น มันต้องส่งผลกับโลกนี้อย่างใหญ่หลวงแน่ ตอนนี้ผมรู้ตัวดีว่า ความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นยังไม่เพียงพอ ถ้าผมไม่สามารถดึงพลังทั้งหมดของดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาใช้ได้ ผมจะไม่สามารถทำอะไรกับราชามารได้เลย ผมต้องรับการสืบทอดพลังของเทพเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะให้เสียอีกต่อไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้รีบเร่งมากนัก เพราะยังมีความกังวลติดอยู่ในใจอยู่ไม่น้อย คำพูดของเล่ยมี่เจียนั้นรบกวนจิตใจของผมเป็นอย่างมาก มันบ่งบอกว่าการสืบทอดพลังของเทพเจ้านั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เคยคิดเอาไว้ มันมีความเสี่ยงไม่น้อย ทั้งต่อความปลอดภัยของตัวผม และโอกาสที่จะสืบทอดพลังไม่สำเร็จ แล้วถ้าผมเกิดล้มเหลวขึ้นมา ผมอาจจะหายไปจากโลกใบนี้เลยก็ได้ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้กลับไปเจอหน้ามู่จืออีกเท่านั้น โลกใบนี้ทั้งหมด ก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง จะไม่มีใครสามารถต่อต้านราชามารได้อีก

ผมเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีอายุเพียง 20 ปีคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางที่จะไม่กลัวตาย แต่ในตอนนี้ ผมไม่เหลือเวลาให้คิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว ผมต้องลงมือทำในทันที ไม่ว่ามันจะเสี่ยงขนาดไหน ไม่อย่างนั้น โลกนี้ได้เผชิญกับภัยพิบัติอย่างแน่นอน และมันจะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป แล้วครอบครัวของผม อาจารย์ เพื่อน ๆ จะมีชีวิตกันต่อไปอย่างไร

ความเร็วในการเดินทางของผมตอนนี้ อยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้แล้ว สายลมของยามค่ำคืนพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของผมอย่างต่อเนื่อง ความเย็นเยียบของมันกระตุ้นให้ผมตื่นตัวได้เป็นอย่างดี จิตใจของผมกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างที่สุด ทิวทัศน์เบื้องล่างไหลไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วขนาดนี้ ผมจะใช้เวลาไม่นานมากนัก ก็สามารถจะไปถึงป้อมปราการเต๋อหลุนได้

พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว แสงอันอบอุ่นของมันเริ่มสาดส่องลงมาให้แก่โลกใบนี้ แม้ว่าหลังจากที่บินมาด้วยความเร็วสูงสุดเกือบทั้งคืน ผมเริ่มที่จะเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมาก แต่ป้อมปราการเต๋อหลุนก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาแล้ว เมื่อคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ผมก็เริ่มลดระดับลงมาสู่พื้นดิน เพราะเลือกตัดสินใจที่จะพักผ่อนให้เต็มที่ ก่อนที่จะเดินทางเข้าไปในป้อมปราการ

ผมวาดผังเวทย์ป้องกันอย่างง่าย ๆ ออกมา ก่อนที่ทิ้งตัวลงนั่งพิงกับต้นไม้ใหญ่ เพื่อเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันในทันที การที่ผมยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของหุบเขาแบ่งฟ้า แม้ว่าจะเดินทางผ่านป้อมปราการเต๋อหลุนหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ก่อนหน้านั้น ยังไม่เคยเห็นบริเวณไหนที่จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นหุบเขาแบ่งฟ้าเลย ดังนั้น ผมต้องรักษาความแข็งแกร่งของระดับร่างกายให้สมบูรณ์ที่สุดเอาไว้ก่อน

เมื่อผมเริ่มหลับลงไป ดวงเวทย์ทั้งสามดวงในร่างกาย ก็เริ่มออกมาหมุนเวียนอย่างช้า ๆ ความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ได้เริ่มทำงานของมันอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง ‘นอนสมาธิ’

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด