ตอนที่แล้วเล่นมายคราฟในต่างโลก เล่มที่ 1 บทที่ 5 - คบเพลิงเป็นสิ่งสำคัญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่นมายคราฟในต่างโลก เล่มที่ 1 บทที่ 7 - ในฐานลับ

เล่นมายคราฟในต่างโลก เล่มที่ 1 บทที่ 6 - ชีวิตประจำวันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

เล่มที่ 1 บทที่ 6 - ชีวิตประจำวันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

เมื่อข้าตื่นจากการนอนหลับ เวลาก็ยังคงเป็นแค่สี่โมงเช้า

ในขณะที่สามัญชนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังคงหลับสนิทอยู่ในห้องของพวกเขา แต่เขาก็มาทำงานในฟาร์มแล้ว

โชคดีที่ข้าไม่ได้อยู่คนเดียว เกรซนั่งยองอยู่บนพื้นใกล้กับฟาร์มของข้า จากนั้นนางก็โบกขนมปังขาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาทางด้านหน้าของข้าด้วยความสงสัย

“…วอลสัน ไม่ทานอาหารเช้า?”

ขนมปังขาวเป็นสินค้าทั่วไปบนโลกใบเก่า แต่ในโลกนี้ มันสามารถซื้อได้โดยคนรวยเท่านั้น ผู้คนในโลกนี้มักจะกินขนมปังสีดำ ซึ่งมันเป็นสีดำจริงๆ ไม่มีสีน้ำตาลเลย

มันมีขนาดเล็กมาก และยังแข็งโคตรๆ แข็งถึงขนาดเทียบกับขนมฟังบาแกตต์ของฝรั่งเศสที่ใช้เป็นกระบองยังได้เลย ตามปกติแล้ว เด็กกำพร้าจะทานก้อนหินสีดำเป็นอาหารเช้า สาเหตุที่ต้องกินแบบนี้เป็นประจำก็เพราะ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าส่วนใหญ่ล้วนยากจน

นั่นทำให้เกรซบูชาขนมปังสีขาวนุ่มนิ่มในมือของนางมาก

ซึ่งเรื่องที่ข้ามีขนมปังขาวนี้ถือว่าเป็นความลับ ไม่เช่นนั้นมันก็คงจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในหมู่บ้านของเราแน่

“ข้าจะกินหลังจากทำงานเสร็จแล้ว” ข้าพูดกับเกรซในขณะที่โยนจอบในมือออกไป ก่อนที่จะใช้อีกอันหนึ่งแทน จอบที่ข้าทิ้งลงบนพื้นตอนนี้มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และจอบที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้เป็นจอบที่ข้าสร้างขึ้นด้วยสูตรการประดิษฐ์ของเกมมายคราฟ

จอบธรรมดาและของในเกมมายคราฟแตกต่างกันมาก

การใช้จอบในเกมมายคราฟของข้าจะเปลี่ยนพื้นที่โดยรอบจุดที่ข้าแตะเบาๆ ให้เป็นพื้นที่เพาะปลูกโดยอัตโนมัติ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้แรงหรือความแข็งแกร่งใดๆ เลย เพียงเคาะมันนับครั้งก็สิ้นเรื่อง จริงๆ แล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนใช้แปรงทาสีและทาจุดลงบนผืนผ้าใบเลย มันเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก ทำให้ข้าสามารถทำงานในฟาร์มให้เสร็จได้อย่างรวดเร็วด้วยความเร็วสายฟ้าแลบ

ข้าไม่ใช่ชาวนา ไม่ใช่ในชาติที่แล้วหรือในชาติใหม่นี้ แต่ข้าก็ยังรู้เลยว่าการสามารถทำเช่นนี้ได้แทบไม่ต่างอะไรกับการโกง

แต่ข้าคงไม่สามารถเทียบกับพวกตัวเอกที่มีพลังโกงๆ ได้ ของข้ามันไม่มีอะไรที่พิเศษหรือฉูดฉาดเลย

ตอนนี้ข้าอายุเก้าขวบแล้ว

(ใช่แล้ว ผู้แต่งเขียนเรื่องราวระหว่างวัยเด็กไม่เก่งจึงข้ามเวลาไปเลยสองปีด้วยบทเดียว)

ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเรา เด็กทุกคนที่มีอายุมากกว่าเก้าขวบจะได้รับมอบหมายให้ทำงานหรือฝึกฝน โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขา

เด็กที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์จะเริ่มทำการฝึกการควบคุมขั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกับเด็กที่เป็นนักสู้ นอกจากนี้พวกเขายังมีตัวเลือกที่จะเป็นผู้ฝึกฝน แต่เด็กโดยส่วนใหญ่จะรอให้อายุสิบขวบก่อน ถึงจะเริ่มเลือกกัน

ส่วนสามัญชน ทางหนึ่งก็เป็นเกษตกร อีกทางเลือกหนึ่งคือส่งเด็กไปโรงตีเหล็กหรือโรงเตี๊ยมเพื่อเรียนรู้ด้านการค้า แต่แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้

มีเด็กประมาณหกสิบคนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเราในตอนนี้และประมาณหกสิบเปอร์เซ็นต์ (เด็ก 36 คน) เป็นสามัญชน สามัญชนทุกคนจะได้รับภาระในการดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยการใช้แรงงาน ในขณะที่คนอื่นๆ จะฝึกอบรมในสิ่งที่ตนถนัด

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเราเป็นทาส วู้วฮู้ววว~~~

บนโลกใบเก่ามีการกล่าวกันว่า “การเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายไม่ใช่จุดสิ้นสุด” โรงเรียนก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านทางหนึ่งเท่านั้น ซึ่งมันก็จริง บนโลกมีบันไดที่ให้ก้าวสูงขึ้นไปอยู่เสมอ

ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้

การมีชีวิตอยู่มันช่างห่วยจริงๆ

แต่พูดจากคนที่ประสบมาแล้ว การตายคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไรนัก

กลับไปที่เรื่องก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้าอายุเก้าขวบแล้ว ข้าเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่คอยดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยการทำไร่

สามัญชนทุกคนที่มีอายุเก้าปีขึ้นไปจะได้รับที่ดินผืนเล็กๆ และได้รับคำสั่งให้ผลิตบางสิ่งบางอย่างออกมาจริงๆ งานประจำวันของเราประกอบด้วยการปลูก การกำจัดวัชพืช การกำจัดแมลง การใส่ปุ๋ย การไถ พรวนฯลฯ และตราบใดที่ทำงานของเจ้า ก็จะไม่มีใครมารบกวน

มันเหมือนกับ “ระบบความรับผิดชอบในสัญญา” ฉบับย่อ

พอได้ยินเรื่องนี้ ข้าก็รู้สึกเลยว่า “นี่คือสวรรค์อย่างแท้จริง” โดยปกติแล้ว ข้าจะใช้เวลาอย่างน้อยแปดถึงสิบชั่วโมงในการทำงานทั้งหมด แต่ด้วยความสามารถพิเศษของข้า ข้าจึงสามารถจัดการทุกอย่างได้ภายในหนึ่งชั่วโมง

หลังจากนั้นล่ะ? ข้าก็สามารถออกไปบนภูเขา ไปยังฐานลับของข้าและทำอะไรก็ได้ที่ข้าต้องการ ฟังดูวิเศษใช่ไหมล่ะ?

แม้ว่ายัยแก่มาเรสซ่าจะลาดตระเวนอย่างต่อเนื่องและเฝ้าดูเด็กๆ อย่างเฉื่อยชา แต่หากข้าทำงานตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ นางก็ไม่คิดจะสนใจอะไรข้า และเนื่องจากข้ามี [แผนที่ขนาดเล็ก] ของข้าอยู่ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะจับข้าได้ ยกเว้นข้าจะให้นางจับ

เหมืองในภูเขายังคงมีแร่ต่างๆ อยู่ภายในที่ข้าใช้ประโยชน์จากมันได้ ภายในช่วงสองปีตัวข้าเข้าไปในเหมืองหลายครั้ง

บอกตามตรง ข้าประหลาดใจอย่างยิ่งกับปริมาณแร่อันน้อยนิด ไม่น่าแปลกใจที่หมู่บ้านไม่ต้องการพึ่งพาอุตสาหกรรมเหมืองแร่เพื่อหารายได้

แต่สิ่งที่ข้าสามารถหาได้ในเหมืองนั้นมากพอสำหรับการใช้ด้วยตัวคนๆ เดียว

ข้าได้พบแร่เหล็ก ถ่านหินและมิธริลจำนวนน้อยมาก

เป็นเวลาสองปีแล้วที่ข้าเริ่มสำรวจเหมืองแร่ แต่ข้าก็ยังไม่สามารถหามิธริลได้มากนัก รวมๆ แล้วข้าหาได้แค่เพียงกิโลกรัมเดียวเท่านั้น

ส่วนเหตุผลที่คนอื่นไม่คิดที่จะทำเหมือง นอกจากเรื่องรายได้แล้ว...ข้าขอเดาว่าเป็นเพราะพวกสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในเหมือง หมู่บ้านของเราไม่มีใครที่เก่งกาจด้านการต่อสู้และมันก็ยังไม่มีเหตุผลที่จะสำรวจเหมืองด้วย

ประชากรสัตว์ประหลาดในเหมืองไม่หนาแน่นมากนัก แต่พวกมันมีระดับอยู่ราวๆ 15 ไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ยกเว้นว่ามันจะพุ่งเข้ามาด้วยการซุ่มโจมตี แต่เนื่องจากข้ามี [แผนที่ขนาดเล็ก] จึงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะซุ่มโจมตีข้า ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างปลอดภัยพอสมควร

ตามปกติทุกสิ่งที่อยู่เหนือระดับ 10 ก็เพียงพอที่จะคุกคามชีวิตของสามัญชนแล้ว ส่วนระดับ 15 ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับนักเวทย์และนักสู้มือใหม่

ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเรา ไม่มีเด็กคนไหนที่ระดับสูงกว่า 5 เลย แม้แต่เด็กๆ ที่เรียนวิชานักสู้และนักเวทย์ก็ยังไม่สามารถสู้กับสัตว์ประหลาดได้

แต่ตัวข้าเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากข้าได้ทำกิจกรรมต่างๆ มากมายภายในฐานลับและภูเขาของข้า ข้าทำเหมืองแร่ท ดลองประดิษฐ์ ปลูกพืชและฆ่าสัตว์ประหลาดเป็นครั้งคราว ตอนนี้ข้ามีระดับ 15

อย่างไรก็ตาม ค่าประสบการณ์ส่วนหนึ่งก็มาจากการทำอย่างอื่นด้วย การเย็บผ้า การวิ่ง การว่ายน้ำ การจัดการ การตีเหล็ก การทำไร่และบางครั้งแม้กระทั่งการนอนหลับก็ให้ค่าประสบการณ์ แต่วิธีที่ดีที่สุดในการได้รับค่าประสบการณ์คือการล่าสัตว์ประหลาด

ณ ตอนนี้คนเดียวในหมู่บ้านของเราที่มีระดับอยู่ใกล้กับข้าก็คงจะเป็นตาแก่ที่เป็นเจ้าของร้านขายของเก่า

ดังนั้นข้าจึงมีระดับที่ค่อนข้างสูงสำหรับสามัญชน! อย่าดูถูกข้าเชียวล่ะ

ทว่าเพราะตามปกติไม่มีใครใช้ [กระดานหินแห่งการระบุตัวตน] สุ่มตรวจคน จึงไม่มีใครเลยที่รู้เรื่องนี้ ถ้ามีคนรู้เขา มันคงโกลาหลพอสมควร

ข้าได้ทำการทดลองอย่างมากมายและได้ข้อสรุปว่าโลกนี้มีคุณสมบัติมากมายร่วมกับโลกของมายคราฟ เมื่อทำการสร้าง ข้าสามารถใช้สูตรผสมของโลกมายคราฟกับทุกอย่างนโลกนี้ได้

ตัวอย่างเช่น [ยารักษา] จากมายคราฟจะต้องมี [แตงโมเรืองแสง] ซึ่งต้องใช้แตงโมหนึ่งชิ้นและก้อนทองคำแปดก้อน

ข้ามีส่วนของแตงโมอยู่แล้ว เพราะข้ามีเมล็ดจากโลกใบเก่า แต่ข้าจะทำยังไงให้ได้ก้อนทองกัน? ตามที่ข้าได้บอกไปก่อนหน้านี้ ข้าพบเหล็ก ถ่านหินกับมิธริล แต่ข้าไม่เจอเศษทองแม้แต่ชิ้นเดียว

ดังนั้นข้าคงต้องหาตัวแทน ใช่แล้ว ของที่ใช้แทนกัน

มีสมุนไพรที่ค่อนข้างหายากที่มีนามว่า [มัลบอร์] ในโลกนี้ มันใช้เป็นของหลักในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้รักษา ข้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านพืช ดังนั้นคำอธิบายทางกายภาพที่ดีที่สุดของ [มัลบอร์] คือมันดูเหมือนหญ้า แต่ไม่เหมือนหญ้าทั่วไปบนพื้นดิน

ข้าตระหนักถึงการดำรงอยู่ของมันผ่านการอ่านหนังสือในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และพบว่าพวกมันเติบโตในป่าใกล้ภูเขา มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ [มัลบอร์] จะเติบโต และยังยากที่จะเติบโตในปริมาณมาก แต่ปริมาณของ [มัลบอร์] ที่ข้าต้องใช้ในการสร้าง [ยารักษา] นั้นเป็นสองเท่าของ [มัลบอร์] ที่ใช้ในปรุงยารักษาของโลกใบนี้

ข้านำเมล็ดพันธุ์กลับไปที่ฐานของข้าและปลูกมันแบบนั้น วันนี้เป็นวันที่ข้าสามารถเก็บเกี่ยว [มัลบอร์] ที่ข้าปลูกไว้ในฐาน

จนถึงตอนนี้ ข้าสามารถปรุงยารักษาได้สามขวด แต่ข้าไม่เคยมีโอกาสได้ลองใช้มันอย่างแท้จริง ข้ามั่นใจว่ามันสามารถใช้รักษาได้ แต่ข้าไม่รู้ถึงประสิทธิภาพของมันเลย

ดังนั้นข้าจึงกลับไปหาเกรซ

“เฮ้ เกรซ วันนี้เจ้าได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง?” ข้าถามคำถามนี้กับเกรซขณะที่ข้าใส่จอบมายคราฟลงใน [กระเป๋าเก็บของ] ของข้า

ในขณะที่ข้าอธิบายเรื่องราวช่วงสองปีให้พวกเจ้าฟัง ข้าก็ทำงานในไร่ของข้าเสร็จแล้ว ต้องขอบอกเลยว่าจอบของเกมมายคราฟช่างทรงอานุภาพมาก

ข้าหันไปทางเกรซและเห็นว่านางกำลังถือชามน้ำให้ข้า

“… ตอนนี้ข้าสามารถควบคุมไฟและลมขนาดเล็กได้อย่างอิสระแล้ว” เกรซโบกไม้กายสิทธิ์ขนาดเล็กของนาง สร้างลูกไฟที่มีขนาดเท่ากำปั้น จากนั้นก็ทำให้กระสมลมพัดผ่านเข้ามาหมุนไฟที่เสกขึ้น

“ว้าว น่าทึ่งมาก” เฮ้อ ข้าเองก็อยากจะใช้เวทมนตร์เหมือนกัน...

ช่างน่าเศร้าที่ข้าไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้และบ่อมานาของข้าก็เล็กมาก

“…วอลสัน”

“อะไรหรือ?” ข้าถามกลับไปขณะมองดูกระแสลมหายไปในความว่างเปล่า

"...รางวัล" เกรซลุกขึ้นจากท่านั่งยองและก้มหน้าลงมามองข้า

เกรซในตอนนี้สูงขึ้นกว่าสองปีก่อน แทบจะสูงเท่าข้าแล้ว

อืม ก็นางเคยเป็นเอนเดอร์แมนเนอะ ข้าเดาว่านางจะสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

ข้ายกมือขึ้นลูบศีรษะของนางอย่างเชื่องช้า

“อืม ได้ๆ เก่งมากเลยเกรซ” ข้ายังคงลูบศีรษะของนางเบาๆ

นางหน้าแดงและตัวสั่นไปมา ข้าขอเดาว่านางคงกำลังสนุกอยู่กระมัง ดูภายนอก นางเป็นคนที่สง่างาม ใจเย็นและความอดทนสูงมาก แต่นั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น

เกรซเป็นคนที่เงียบมาก นางไม่ค่อยพูด จะพูดเพียงประโยคสองประโยคเมื่อจำเป็นเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังน่ารักและไม่เย็นชาขนาดนั้น ดูเหมือนว่านางคงจะรักข้าหรือเปล่าเนี่ย?

อืม บางทีนี้คงเป็นความไร้เดียงสาของเด็กไหมนะ?

ตอนนี้นางสูงกว่าข้ามาก ต้องขอบคุณร่างกายของเอนเดอร์แมนเลย แต่ถึงไงข้าก็ยังคิดว่านางเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ

หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่านางต้องฝึกฝนและเลือกที่จะเข้าร่วมการเรียนเวทมนตร์ ข้าก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะพานางไปที่ฐานลับของข้าและสอนวิธีเล่นเกมกระดานที่ข้าได้สร้างขึ้นมา

ในเมื่อนางชอบขนมปังขาวมาก ข้าสงสัยว่านางจะรู้สึกยังไงกับอาหารที่ข้ามีเก็บไว้ในฐานลับกันนะ?

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด