ตอนที่แล้วบทที่ 299 – ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเมือง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 301 – คำเชิญที่จริงใจ

บทที่ 300 – เสียงกระซิบ


ดูเหมือนว่านายกองหนุ่มที่ชื่อเคอเอ้อร์หลานตี้นั่นจะสัมผัสการเคลื่อนไหวของผมได้บ้าง เขาหันมองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว แต่ผมที่ต้องการแค่เข้าเมืองเท่านั้น ไม่ได้ต้องการที่จะสร้างปัญหาอะไรมากนัก รีบใช้การเคลื่อนย้ายระยะสั้นออกมาอย่างรวดเร็วอีกหลายครั้ง หายตัวไปจากบริเวณนั้นก่อนที่จะมีใครได้ทันเห็นตัว ผมแค่ต้องการหาที่พักสำหรับคืนนี้เท่านั้น จึงได้รีบค้นหาโรงแรมก่อนเป็นอย่างแรกทันที และหลังจากได้จัดการกินอาหารมื้อแรกของวันนี้เรียบร้อยแล้ว ผมก็พาตัวเองให้นอนลงบนเตียงตัวใหญ่ในห้องพักของโรงแรม และหลับลงไปอย่างรวดเร็ว วันนี้ สำหรับคนที่ค่อนข้างจะขี้เกียจมากอย่างผม ถือว่าเป็นวันที่หนักหนาสาหัสมากพอสมควร ที่รีบเร่งเดินทางมาตลอดทั้งวัน ถ้าจะฟื้นฟูพลังของตัวเองให้สมบูรณ์ คืนนี้ผมต้องพักผ่อนให้เต็มที่ และพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องรีบออกเดินทางมากนักแล้วด้วย การทำสมาธิโดยการนอนของผมยังมีประสิทธิภาพดีอยู่เหมือนเดิม ร่างกายของผมนอนอยู่บนเตียงอย่างผ่อนคลาย ดวงเวทย์ทั้งสามในร่างกายเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง คอยรวมรวมธาตุแสงจากอากาศรอบ ๆ ตัว เข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง ส่วนสติของผมนั้นเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันไปอย่างมีความสุขตั้งแต่ต้นแล้ว

รุ่งเช้าวันต่อมา ผมยังไม่ลุกขึ้นจากเตียงง่าย ๆ แค่นอนบิดตัวไล่ความปวดเมื่อยอยู่เป็นระยะ หลังจากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอมาทั้งคืน พลังของผมก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมแล้ว แถมยังรู้สึกว่าร่างกายนั้นสบายเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนอนเล่นอยู่ได้อีกสักพัก ผมก็ลุกขึ้นจากเตียง ให้หมวกของชุดคลุมเวทย์ปกปิดใบหน้าเอาไว้ และลงไปที่ห้องอาหารของโรงแรมเพื่อกินมื้อเช้าทันที

ในตอนเช้าอย่างนี้ ธุรกิจของทางโรงแรมไม่ได้คึกคักมากนัก ในห้องอาหารมีลูกค้านั่งอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น

ตอนที่ผมกำลังมีความสุขอยู่กับอาหารของตัวเอง หูก็ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ที่ด้านหลังของตัวเอง จากเสียงที่ได้ยิน น่าจะเป็นคู่รักคู่หนึ่งที่มากินอาหารเช้าด้วยกัน

เสียงของผู้ชายกล่าวว่า “หลานหลาน ข้าได้ยินมาว่าตอนที่จอมพลฟงห้าวเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง ได้ทูลกับองค์ราชาว่าจะของลาออกจากตำแหน่งจอมพลอย่างนั้นหรือ? เขาทำงานหนักมาตลอดในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สร้างผลงานอะไรมากมายนัก แต่นอกจากเขาแล้ว จะมีผู้ใดที่มีความสามารถ และรู้สถานการณ์ของแนวหน้าได้มากกว่าเขาอีก นี่ช่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง”

เสียงของฝ่ายหญิงนั่นฟังดูอ่อนโยนนุ่มนวล ถ้าฟังจากน้ำเสียงอย่างเดียว เธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่รูปร่างบอบบางและนุ่มนวลเป็นแน่ “อืม! ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน รู้สึกว่าจอมพลฟงห้าวได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเท่าใดนัก อันที่จริงแล้ว คนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นน่าจะเป็นองค์ราชามากกว่า จอมพลเฟิงห้าวเป็นแค่เพียงแพะรับบาปเท่านั้น นอกจากเรื่องที่เกิดขึ้นที่อาณาจักรของพวกเราแล้ว ข้ายังได้ยินมาอีกว่า ราชาของอาณาจักรอ้ายเซี่ย ได้ทรงสละราชบัลลังก์ด้วยตัวเองเลยทีเดียว และมันก็เป็นผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้เหมือนกัน”

เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง “แล้วใครบอกให้พวกเขากล้าไปมีเรื่องกับทูตแห่งเทพเจ้ากันล่ะ? การเจรจาสันติภาพกับเผ่าปีศาจและเผ่าอสูรกายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง มันช่วยให้ไม่ต้องเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้น แต่ทว่า! ข้าก็ยังคิดว่าทูตแห่งเทพเจ้าพวกนั้นก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรนักหนา เอาแต่พร่ำบอกว่าเผ่ามารได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง และบังคับให้อาณาจักรต่าง ๆ จัดเตรียมกำลังทหารเอาไว้เพื่อต่อต้าน เรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่? ก็ยังไม่แน่ชัด แล้วอีกอย่างหนึ่ง ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องเผ่ามารอะไรพวกนี้มาก่อนเลย บางที พวกทูตแห่งเทพเจ้าอาจจะแต่งเรื่องขึ้นมาขู่ให้พวกเรากลัวก็ได้”

เสียงผู้หญิงดังห้ามขึ้นมา “พอได้แล้ว! เจ้าไม่ควรจะกล่าวออกมาแบบนี้ ตอนนี้มีคนจำนวนมากให้ความเคารพ จนถึงขั้นศรัทธาในตัวพวกเขาเลยทีเดียว ถ้าคนพวกนั้นมาได้ยินเจ้าพูดแบบนี้เข้า คงจะยอมเสี่ยงตายเพื่อจัดการกับเจ้าแน่ ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าของกลุ่มทูตแห่งเทพเจ้านั้นหน้าตาอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก เขาเคยเป็นนักเวทย์ของอาณาจักรอ้ายเซี่ย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ถูกประกาศว่าเป็นอาชญากร และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พอปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ก็กลายเป็นทูตแห่งเทพเจ้าไปแล้ว”

เมื่อผมได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ก็ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ข้างในใจคนเดียว ดูเหมือนว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ด้วยสายตาที่มองโลกในแง่ดีจนเกินไป ผมไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดพวกนี้มากนัก เพราะเมื่อถึงเวลาที่เผ่ามารปรากฏตัวขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาจะได้รับรู้ความจริงด้วยตัวเอง เลือดและเนื้อที่จะสูญเสียจากสงครามที่จะมาถึง จะเป็นสิ่งที่ปลุกให้คนที่ไม่เชื่อคำพูดของผมตื่นขึ้นมาเอง

แต่การที่ได้ฟังคำพูดของพวกเขา ก็ทำให้ความอยากอาหารของผมลดลงไปไม่น้อย การจะทำให้ทุกคนเชื่อถือ แค่เพียงคำพูดอย่างเดียวนั้นไม่พอจริง ๆ และผมก็ไม่สามารถจะเดินออกไปป่าวประกาศเตือนตามท้องถนน ว่าราชามารนั้นน่ากลัวขนาดไหนได้ ถ้าผมทำแบบนั้น คงโดนจับเพราะคิดว่าเป็นคนบ้าแน่ ๆ

หลังจากที่จัดการกับค่าอาหารและค่าที่พักแล้ว ผมเดินออกจากโรงแรมอย่างใจลอยเล็กน้อย อากาศในวันนี้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ผมสูดลมหายใจเข้าอย่างลึก ๆ ก่อนจะเดินผ่าสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาออกไป ผมจะไปทำอะไรได้อีก หลังจากที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปอย่างมากมาย แต่ก็ยังมีคนเป็นจำนวนไม่น้อย ไม่เข้าใจว่าผมนั้นทำไปเพื่ออะไร แม้ว่าคำพูดของคนสองคนไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้คนทั้งโลก แต่มันก็แสดงให้เห็นว่ายังมีผู้คนที่คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน จะต้องให้เกิดการล้มตายขึ้นเป็นจำนวนมากก่อนใช่มั้ย? พวกเขาถึงจะเข้าใจถึงความรุนแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ จากตอนแรกที่ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมเริ่มหดหู่ลงเรื่อย ๆ แล้ว

“สหาย! ท่านกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?” เสียงกังวานดังขึ้นมาจากข้างตัวผม ผมไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังกล่าวกับผมอยู่ เพราะผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็งมาจากด้านหลัง จึงได้กล่าวตอบกลับไปอย่างสงบ “ท่านกำลังกล่าวกับข้าอยู่อย่างนั้นหรือ? ข้าไม่คิดว่าพวกเราเคยพบกันมาก่อนนะ” ผมสัมผัสได้ทันทีว่าคนที่พูดมีระดับพลังใกล้จะบรรลุระดับอัศวินศักดิ์สิทธิ์แล้ว โดยการตัดสินจากกลิ่นอายที่หลุดรอดออกมาจากร่างกายของเขา

“บางทีอาจจะไม่เคยเจอ แต่ดูเหมือนว่าสหายจะเป็นนักเวทย์ที่เก่งกาจคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่เข้าร่วมกับทางกองทัพ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมตกใจเล็กน้อย และหันหลังกลับไปมองคนที่เพิ่งกล่าวออกมานั้น อา! กลายเป็นว่า ชายคนนี้เป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารม้าที่เพิ่งมาถึงเมืองนี้เมื่อวาน ผู้กองเคอเอ้อร์หลานตี้! เขายังแต่งกายด้วยเกราะสีเงินอยู่เหมือนเดิม พร้อมด้วยดาบยาวที่ห้อยอยู่ที่เอว กำลังมองมาที่ผมอยู่ด้วยความสนใจ

ผมลดเสียงของตัวเองลงเล็กน้อย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นนักเวทย์ที่เก่งกาจ?”

เขาตอบกลับออกมา “เป็นท่านเองที่บอกข้า!”

ผมอึ้งไปเล็กน้อย “ข้าเป็นคนบอกอย่างนั้นหรือ?”

เขาพยักหน้า “ข้าไม่เคยเห็นนักเวทย์คนไหนเป็นอย่างท่านมาก่อน ท่านไม่ได้ร่ายเวทย์เสียด้วยซ้ำ แต่สามารถยืนอยู่กลางสายฝนได้โดยไม่เปียกแม้แต่นิดเดียว ใครเห็นก็ต้องแปลกใจกันทั้งนั้น ถ้าข้าเดาไม่ผิด อย่างน้อย ท่านต้องบรรลุระดับอาจารย์เวทย์แล้วอย่างแน่นอน”

ผมได้แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก เป็นอย่างที่เขากล่าวออกมาจริง ๆ สายฝนที่ควรจะตกลงบนตัวผมนั้น มันเบี่ยงออกจากร่างกายของผมเอง ไม่ได้ตกลงมาทำให้ตัวผมเปียกเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดถูกออกมาไปเสียทุกอย่าง ผมไม่ได้เป็นอาจารย์เวทย์ ด้วยระดับพลังเวทย์ของผมในตอนนี้ บางทีอาจจะสูงกว่าเมธีเวทย์อันดับหนึ่งของทวีปไปแล้วก็ได้

เคอเอ้อร์หลานตี้ยังกล่าวออกมาต่อ “ถ้าสหายไม่อยากที่จะทำให้คนอื่นตกใจอีก ท่านควรจะเข้ามาในนี้ก่อน” หลังจากนั้น เขาก็ชี้มือไปที่ประตูทางเข้าของโรงแรมที่ผมเพิ่งเดินออกมา

ผมมองสังเกตไปรอบ ๆ ตัว ก็พบว่ามันไม่ได้มีผู้คนอยู่มากมายนัก ในตอนที่ฝนกำลังตกลงมาอย่างนี้ น้อยคนนักที่จะออกมาเดินอยู่บนถนนแบบผม ดังนั้น นอกจากเขาแล้ว มันไม่ได้มีใครให้ความสนใจกับผมอีกเลย

นั่นทำให้ผมต้องถามเขาออกไป “ขอข้าถามได้หรือไม่ ว่าท่านมีจุดประสงค์อันใดกันแน่?”

สีหน้าของเคอเอ้อร์หลุนตัวไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยิ้มออกมาบาง ๆ “ข้าแค่เห็นว่าท่านใจลอยเหมือนกับว่ากำลังเจอปัญหาอะไรบางอย่างอยู่ ข้าไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องอะไร แต่บางทีแล้ว ข้าอาจจะช่วยเหลือท่านได้บ้าง!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด