ตอนที่แล้วตอนที่ 348 การค้นพบใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 350 นรกใต้ท้องทะเล

ตอนที่ 349 ปรากฏการณ์ปีศาจเต้นระบำ


ตอนที่ 349 ปรากฏการณ์ปีศาจเต้นระบำ

เซี่ยเฟยยกมือขึ้นมาดูของที่ซุนซานให้ไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะเห็นว่ามันคือผลไม้สีขาวที่เต็มไปด้วยลวดลายราวกับภาพวาดทำให้ผลไม้ลูกนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ

“นั่นมันผลแก้วมังกรจักรพรรดิ!” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ผลแก้วมังกรจักรพรรดิ? มันมีราคาเท่าไหร่?”

“นี่! นายมีเงินมากขนาดนั้นแล้วทำไมนายยังชอบตีค่าของอื่น ๆ เป็นเงินอีกเนี่ย นี่คือผลไม้หายากที่สูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว มันมีฤทธิ์สามารถทำให้คนตายกลับมาฟื้นคืนชีพได้ด้วยซ้ำ แล้วนายตีค่าของแบบนี้เป็นเงินได้ยังไง?!” อันธกล่าวอย่างพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

“นายคิดว่ามันแปลก ๆ ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวถามหลังจากหยุดคิดไปครู่หนึ่ง

“อะไรแปลก?” อันธถาม

“สมาพันธ์หนานหมิงที่ซุนซานกล่าวถึงเป็นสมาพันธ์ที่พวกเราไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย แต่สิ่งที่เขานำออกมาต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าอีซูซุหรือผลแก้วมังกรจักรพรรดิ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือสิ่งของเหล่านี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งของที่นายบอกว่าสูญพันธุ์ไปนานแล้ว ฉันว่าสมาพันธ์หนานหมิงจะต้องกุมความลับสำคัญอะไรบางอย่างเอาไว้แน่ ๆ” เซี่ยเฟยเริ่มคาดเดา

“นายพูดถูก รองเท้าอีซูซุต้องทำจากหนังไวเวิร์น 2 เล็บที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว ขณะที่ต้นแก้วมังกรจักรพรรดิก็สูญหายไปเป็นเวลามากกว่า 10,000 ปี และไม่มีทางที่ผลของมันจะอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ ฉันว่าเรื่องนี้มันมีอะไรแปลก ๆ นายคงจะต้องรีบค้นความลับจากเขามาให้ได้มากที่สุด” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“ยังไม่ต้องรีบหรอก ดูก็รู้ว่าซุนซานรู้ดีว่าเขาจำเป็นจะต้องเก็บข้อมูลของสมาพันธ์หนานหมิงเอาไว้เป็นความลับ ถ้าฉันทำอะไรบุ่มบ่ามลงไปฉันก็เกรงว่าเขาจะตั้งข้อสงสัยฉันขึ้นมาซะก่อน เอาเป็นว่าหลังจากนี้พวกเราค่อย ๆ ทำความรู้จักเขาไปทีละนิดแล้วก็ค่อย ๆ ล้วงเอาความลับมาจากเขาไปทีละหน่อยก็แล้วกัน” เซี่ยเฟยกล่าว

“นายนี่เป็นพวกใจเย็นจริง ๆ” อันธกล่าวพร้อมกับยักไหล่

“นายไม่เคยได้ยินสุภาษิตช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามหรือยังไง?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ

งานแสดงสินค้าเงียบเหงาไปอีกหลายวัน และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะได้ซื้อสินค้ามาบ้างแต่สินค้าเหล่านั้นก็ยังห่างไกลกว่าสิ่งที่เขาคิดจินตนาการเอาไว้ในตอนแรก

หลังจากที่ชายหนุ่มได้ซักถามหาข้อมูลเขาก็ได้รู้ว่าของดี ๆ จะถูกเก็บเอาไว้ในช่วง 7 วันสุดท้ายของงานเทศกาลเท่านั้น และมันก็จะมีงานประมูลขนาดใหญ่ในเทศกาลแห่งนี้ด้วย

นี่คือเรื่องปกติของงานเทศกาลที่ 7 วันแรกจะเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าทั่ว ๆ ไป ส่วน 7 วันหลังจะเป็นงานประมูลสินค้าระดับสูง แล้ววันสุดท้ายก็จะเป็นงานประมูลซึ่งเป็นจุดไคลแมกซ์ของงานเทศกาล

โดยสรุปคืองานเทศกาลจะค่อย ๆ เพิ่มความน่าตื่นเต้นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนใหญ่คนโตอย่างทูรามถึงได้บอกว่าจะเดินทางมางานเทศกาลในช่วงท้าย ๆ

เมื่อทราบกำหนดการของงานเทศกาลแล้วเซี่ยเฟยก็ติดต่อไปหาชาร์ลีเพื่อให้เด็กหนุ่มเตรียมวงเงินสินเชื่อของธนาคารเอาไว้ให้พร้อม เพราะถ้าหากว่าเขาได้เจอสินค้าที่เหมาะสมเขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อประมูลแย่งมันมาเป็นของตัวเอง

แม้ในช่วงเวลาปกติเซี่ยเฟยจะไม่ใช่คนที่ใช้สิ่งของฟุ่มเฟือย แต่เมื่อไหร่ที่เขาได้พบกับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขาจริง ๆ ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่เคยเสียดายเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียว

ขนอุยยังคงนอนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขา ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยได้เรียนรู้จากความสูญเสียในก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็ตัดสินใจลดปริมาณไม่ให้ขนอุยดูดกลืนพลังงานจากหัวใจจักรวาลสีม่วงมากนัก และให้อาหารมันเป็นลูกบอลพลังงานจากการที่เขาใช้วิชาเล่ห์มายาทุก ๆ 2-3 วันแทน

ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ต้องการให้ขนอุยเติบโตขึ้นเป็นสัตว์อสูรที่เจ้าเล่ห์ที่พร้อมทรยศเจ้านายได้ทุกเวลา เพราะถ้าหากว่ามันพร้อมจะทรยศเขาได้ทุกเมื่อมันก็คงจะเป็นตัวไร้ประโยชน์ แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรระดับที่สูงมากก็ตาม

ทุกเช้าเซี่ยเฟยจะไปเดินเล่นที่หมู่เกาะไข่มุก โดยคาดหวังว่าเขาจะได้พบกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ แล้วเขาจะกลับมาพักในตอนเที่ยงก่อนที่จะเริ่มฝึกฝนไปจนถึงช่วงเช้าตรู่

ระหว่างวันเขามักที่จะพูดคุยกับแอวริลอยู่เสมอ ซึ่งหญิงสาวก็มักที่จะคุยโวเรื่องที่เธอตกแต่งบ้านของเขาเป็นอย่างดี และคอยพูดอยู่ซ้ำ ๆ ว่าเซี่ยเฟยจะต้องพึงพอใจหลังจากได้กลับมาเห็นบ้านหลังใหม่อย่างแน่นอน

“แม้ว่าจะต้องอยู่ในกระท่อมแต่ฉันก็ไม่เป็นไรหากได้อยู่กับเธอ แต่ถ้าหากว่าเธอไม่อยู่กับฉันแม้ว่าฉันจะได้อยู่ในพระราชวังที่หรูหรา แต่ฉันก็คงจะทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับ” เซี่ยเฟยกล่าวหยอกเล็กน้อย ซึ่งมันก็ทำให้แอวริลหน้าแดงราวกับลูกตำลึงและก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย

ในพริบตาเวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงวันที่ 5 ของงานเทศกาลและการประมูลก็ใกล้เข้ามาทุกที

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเซี่ยเฟยก็ออกไปทำการฝึกฝนเพียงลำพัง โดยในขณะนี้เขาได้ย้ายพื้นที่ฝึกฝนวิ่งไล่จับลูกแก้วดาวตกจากชายหาดเข้าไปในป่า

เมื่อมีพืชพรรณภายในป่าเป็นอุปสรรคตามธรรมชาติ มันจึงทำให้การฝึกฝนของเซี่ยเฟยกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากขึ้นตามไปด้วย

ในช่วง 5 วันที่ผ่านมาเซี่ยเฟยได้ผ่านการฝึกฝนเบื้องต้นของลูกแก้วดาวตกไปได้แล้ว มันจึงทำให้ลูกแก้วพวกนี้มีขนาดเล็กลงและคว้าจับได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น

“การฝึกกับลูกแก้วดาวตกให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ตอนนี้ฉันยอมรับเลยว่าการเคลื่อนไหวของนายอาจจะเฉียบคมที่สุดในสำนักเงาสังหารไปแล้วก็ได้” อันธอดที่จะปรบมือขึ้นมาไม่ได้หลังจากที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของเซี่ยเฟย

“นายพูดถึงสำนักเงาสังหาร ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวอะไรจากสำนักเงาสังหารเลย พวกเขาตั้งฉันขึ้นมาเป็นตัวแทนของสำนักไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ได้ร้องขอให้ฉันทำอะไรให้กับพวกเขาเลยล่ะ?” เซี่ยเฟยกล่าว

“มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกประหลาดนี่ อย่าลืมว่าความตั้งใจเดิมของปรมาจารย์เงาสูญคือการมอบตัวตนให้กับนายเป็นการชั่วคราว และเขาก็ไม่ได้คิดที่จะมอบภารกิจให้กับนายจริง ๆ” อันธกล่าว

“ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ก็ดี ฉันแค่กลัวว่าถ้าวันหนึ่งสำนักร้องขอให้ฉันทำอะไรขึ้นมา ถึงเวลานั้นฉันอาจจะไม่เหลือเวลาจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้สำนักก็ได้”

แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้พูดจบมันก็มีลูกบอลแสงสีแดงลอยขึ้นจากทะเลอันไกลโพ้น และมันก็ดูเหมือนจะตกอยู่ไม่ไกลจากหมู่เกาะที่เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบันมากนัก

“นั่นมันอะไร?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความสงสัย

ทันใดนั้นแสงสีแดงก็กระจายออกไปทุกทิศทางพร้อมกับพายุสีเงินที่พัดจากน้ำทะเลขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง!

“นั่นมันปรากฏการณ์ปีศาจเต้นระบำ! มันเป็นสัญญาณว่าซากปรักหักพังโบราณได้ถูกเปิดออกแล้ว!!” อันธกล่าวด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง

“ปรากฏการณ์ปีศาจเต้นระบำ!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจหลังจากที่เขาได้ยินชื่อปรากฏการณ์จากปากของอันธ

เขาเคยอ่านจากในหนังสือว่าเมืองโบราณส่วนใหญ่มีเกราะพลังงาน ที่คอยปกป้องประชากรจากสภาพอากาศอันเลวร้ายหรือศัตรูจากภายนอกที่อาจจะเข้ามารุกรานพวกเขา

อย่างไรก็ตามไม่ว่าเครื่องจักรจะถูกผลิตขึ้นมาอย่างพิเศษแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีอะไรสามารถคงอยู่ตลอดไปได้ ดังนั้นหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปเนิ่นนานหลายหมื่นปีเกราะพลังงานเหล่านี้ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพตามกาลเวลา และถ้าหากว่ามันได้มีพลังงานจากภายนอกเข้ามาทำลายเกราะพลังงานในช่วงบอบบางนี้ มันก็จะเกิดการระเบิดของพลังงานซึ่งเป็นผลของปรากฏการณ์ปีศาจเต้นระบำ

ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์ในยุคปัจจุบันจึงถือว่าปรากฏการณ์ปีศาจเต้นระบำเป็นสัญญาณของการที่ซากปรักหักพังโบราณแห่งใหม่ได้ถูกเปิดออก

“มันมีซากปรักหักพังโบราณแห่งใหม่ที่ดาวนี้งั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยมองไปยังปรากฏการณ์บนท้องฟ้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง

ในความเป็นจริงเขาก็ไม่รู้ว่าเกราะพลังงานของเมืองโบราณเสื่อมสภาพตามธรรมชาติหรือถูกทำลายจากผู้คนที่เข้าไปค้นพบมันโดยบังเอิญ ซึ่งถ้าหากว่าเกราะพลังงานถูกทำลายโดยฝีมือของมนุษย์ มันก็หมายความว่าในตอนนี้มันได้มีคนลงไปสำรวจเมืองโบราณที่อุดมสมบูรณ์แล้ว

“รีบไปตรงนั้นเร็ว ๆ เข้า! ตามกฎของพันธมิตรบุคคลแรกที่เข้าไปในซากปรักหักพังโบราณสามารถฉกฉวยสิ่งของจากซากเมืองโบราณกลับมาได้ ถ้าหากเราโชคดีได้พบกับวัตถุโบราณดี ๆ มันก็อาจจะทำให้เราร่ำรวยในพริบตา!!” อันธตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

“อือ” เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะรีบวิ่งไปยังท่าเรือ

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาดึกมากแล้วมันจึงมีเพียงแค่เรือที่ว่างเปล่าจอดเทียบท่าอยู่แถวนั้น แต่ไม่มีใครคอยเป็นผู้ให้บริการเลย

เซี่ยเฟยหยิบกล่องเครื่องมือออกมาจากแหวนมิติและเริ่มต่อสายตรงเพื่อให้เขาสามารถขับเรือพวกนี้ได้

วืด!

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็รีบขับเรือออกทะเลไปด้วยเสียงคำรามอันน่ากลัว โดยมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เกิดปรากฏการณ์ปีศาจเต้นระบำด้วยความเร็วมากกว่า 1,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

วืด!

ทันใดนั้นมันก็ได้มีเครื่องบินโดยสารส่งเสียงคำรามผ่านศีรษะของเซี่ยเฟยไป และแน่นอนว่าทิศทางของมันก็ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ตั้งของซากปรักหักพังโบราณด้วยเช่นกัน

“คิดจะแซงฉันเหรอ!” เซี่ยเฟยร้องอุทานขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ เนื่องมาจากเครื่องบินโดยสารย่อมเคลื่อนที่ออกไปได้เร็วกว่าเรือที่เขากำลังโดยสารอยู่อย่างแน่นอน

ในเวลาเพียงแค่ไม่นานมันก็มีเรืออีกหลายลำปรากฏขึ้นมาให้เห็นในระยะสายตาเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าปรากฏการณ์ปีศาจเต้นระบำย่อมดึงดูดผู้คนเข้ามาได้อย่างมากมาย

เซี่ยเฟยรีบติดตั้งชุดต่อสู้พร้อมกับใส่รองเท้าคู่ใหม่และติดเซเลสเชียลมูนเอาไว้ที่แขนขวาอย่างเตรียมพร้อม

“ฉันจะไม่มีทางปล่อยวัตถุโบราณที่สมบูรณ์ให้หลุดมือลอยไปอย่างเด็ดขาด และถ้าหากว่ามันจำเป็นจะต้องมีการต่อสู้ฉันก็จะไม่ออมมือให้ใครทั้งนั้น!!”

ครึ่งชั่วโมงต่อมามันก็ได้มีเกาะแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของเซี่ยเฟย ซึ่งเกาะนี้ไม่มีไฟส่องสว่างเหมือนกับเกาะอื่น ๆ คล้ายกับว่ามันเป็นเกาะร้างที่ปราศจากผู้คน

เกาะนี้มีขนาดเพียงแค่ประมาณ 20 ตารางเมตร แล้วมันก็เป็นเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนท้องทะเล โดยไม่มีเกาะอื่น ๆ ตั้งอยู่ในบริเวณโดยรอบเลย

บริเวณชายฝั่งมีเรือจอดอยู่แล้วประมาณ 5-6 ลำ แน่นอนว่าคนพวกนี้ย่อมนำหน้าเซี่ยเฟยไปพอสมควร

“มีคนนำหน้านายไปแล้ว!” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด

เซี่ยเฟยรีบกระโดดลงจากเรือทันทีหลังจากที่เรือจอดสนิท จากนั้นเขาก็วิ่งสำรวจทั่วทั้งเกาะอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นเองมันก็มีเงาสีดำโผล่ออกมาจากกองหินที่มีรูปร่างอันแปลกประหลาด พร้อมกับคมมีดแวววาวที่อยู่ภายในมือ

“ในเมื่อแกเริ่มก่อนก็อย่าหาว่าฉันไร้ปรานี!!” เซี่ยเฟยส่งเสียงร้องคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

ระหว่างวิ่งสำรวจเขายังไม่ได้ใช้ความเร็วอย่างเต็มที่คนคนนี้จึงคิดว่าระดับของเซี่ยเฟยไม่สูงมากนัก แต่เขาหารู้ไม่ว่าเซี่ยเฟยสามารถเร่งความเร็วได้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มคนนี้ยังเป็นนักฆ่าที่สามารถใช้วิชาเล่ห์กายาเคลื่อนไหวได้อย่างแปลกประหลาด

ในขณะที่ใบมีดกำลังใกล้เข้ามาเซี่ยเฟยก็เอี้ยวตัวหลบในท่าทางที่ผิดธรรมชาติ จากนั้นเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งจับท่อนแขนของผู้จู่โจมเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเริ่มบิดแขนอย่างแรงเพื่อให้อาวุธพุ่งเข้าไปจู่โจมลำคอของตัวมันเอง

จึก!

ใบมีดถูกเสียบทะลุลำคอของผู้จู่โจมไปยังด้านหลัง ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็ทำให้ชายคนนั้นเสียชีวิตอย่างฉับพลันโดยที่แม้แต่ผู้ลงมือก็ยังไม่ทันได้รู้ตัว

“ใครที่กล้ามาขวางทางฉันมันจะต้องตาย!!” เซี่ยเฟยเริ่มเร่งความเร็วอีกครั้งด้วยนัยน์ตาที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เพื่อพยายามหาทางเข้าไปยังซากปรักหักพังโบราณ

***************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด