ตอนที่แล้วบทที่ 39: ศัตรูของเหล่าซากศพ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 41: ประสบการณ์เที่ยวเมืองเฮยเหยี่ยน!

บทที่ 40: เมืองเฮยเหยี่ยน


ตอนที่เริ่มออกวิ่งถังเจิ้นก็อยากจะใช้เทเลพอร์ตหนีไปซะเหลือเกิน  นอกจากขาที่ทั้งเจ็บทั้งชาอยู่แล้วหน้าอกของเขาก็แน่นจนหายใจแทบไม่ออก

เมื่อหันหน้าไปดูก็พบว่านอกจากไอ้นายร้อยซากศพทั้งสามตัวที่ไล่ฆ่าเขาแล้วยังมีคนอีกหลายสิบคนที่วิ่งตามอย่างไม่ลดละ  คือระหว่างการไล่ล่านี้ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ในขณะที่ชื่นชมความอุตสาหะของคนเหล่านี้ถังเจิ้นก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนเองอาจพึ่งพาพวกของโกง ๆ เหล่านั้นมากจนเกินไป  ถึงขนาดละเลยการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองไป

นี่แค่นายร้อยซากศพ 3 ตัวยังทำเอาวุ่นปานนี้  ถ้าเกิดไอ้ตัวราชามันไล่ล่าเองเลยล่ะ  ไม่ตุยเย่เลยเหรอ?

เมื่อนึกได้ดังนี้ถังเจิ้นก็รู้สึกผิดเล็กน้อย

ในแง่ของการฝึกฝนตนเองเทียบกับราชาซากศพหลิงเหน่าไม่ได้เลย  ซึ่งไม่แปลกเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงราชาซากศพผู้ยิ่งใหญ่  หากต้องคัดเลือกนายพลมาเป็นลูกน้องล่ะก็อย่างน้อย ๆ มันต้องระดับหลิงจู่!

การขัดขืนอย่างโง่เขลาไม่ทำให้สู้มันไหว  แต่เขาก็มีการเทเลพอร์ตที่ช่วยให้หลบหนีได้อยู่

กระนั้นการใช้มันก็มีความเสี่ยง  เพราะหากว่าราชาซากศพหลิงเหน่ามีความสามารถในการถอดรหัสและจำกัดการเทเลพอร์ตของเขาได้ล่ะก็ซวยเช็ด

แอปพลิเคชันอินฟราโซนิกถูกบังคับให้ต้องปิดลงทันที่ที่เขามัวแต่เหม่อมองตอนวิญญาณของราชาซากศพลงมาสถิต  และฝ่ายตรงข้ามก็ใช้พลังบังคับปิดดังกล่าวซึ่งหมายความว่าตัวเขาย่อมไม่มีแรงขัดขืนมันได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่อีกฝ่ายถ่ายทอดลงมานั้นยังเป็นแค่เสี้ยววิญญาณ  หากมันแข็งแกร่งขึ้นว่านี้อีกนิดล่ะก็สถานการณ์ต้องเลวร้ายสุดขีดแน่  ไม่รู้ว่าเขาจะหนีมาได้ครบสามสิบสองแบบนี้อยู่มั้ย?

ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวังสุดขีดสิ่งเดียวที่พึ่งพาได้คือพลังของตนเองเท่านั้น!

ซึ่งมันจะได้มากจากการฝึกฝนและเคี่ยวกรำอย่างหนัก  นี่คือความจริงอันเป็นนิรันดร์!

ถังเจิ้นถามตัวเองว่าในหมู่นักรบในระดับเดียวกันเขาจะสามารถเอาชนะผู้พเนจรได้เนื่องจากร่างกายของตนดีและสมบูรณ์กว่าผู้พเนจรเหล่านั้นนี่จริงหรือไม่?

คำตอบคือจริง!

แต่เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับนักรบของโหลวเฉิงล่ะ  เขาก็ถามตัวเองอีกครั้งและคำตอบที่ได้คือ ‘ไม่แน่ใจ’ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นฉากการต่อสู้ของนักรบโหลวเฉิงมาแล้ว  เมื่อเทียบกันแล้วก็พบว่าประสิทธิภาพในการต่อสู้ของนักรบโหลวเฉิงนั้นไม่ได้สูงไปกว่าตนเองเลยแม้แต่น้อย

ทว่าทั้ง ๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันแท้ ๆ แต่ทำไมล่ะ  ทำไมพวกนั้นถึงแข็งแกร่งนัก  แสดงว่าผลลัพธ์ที่เห็นนั้นไม่ได้มาจากการฝึกหนักเพียงอย่างเดียวงั้นสิ?

แม้ว่าเงื่อนไขการการฝึกฝนของนักรบโหลวเฉิงจะสูงกว่านักรบป่าอย่างผู้พเนจรมากก็ตาม  แต่ถังเจิ้นเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย  ยังจะเหนือกว่ามากซะด้วยซ้ำ

แล้วทำไมล่ะ  ทำไมตนเองถึงได้แย่กว่าคนเหล่านั้น

ก็เพราะตนเองเอาแต่พึ่งพาสิ่งภายนอกมากเกินไปจนละเลยการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองยังไงล่ะ!

เมื่อคิดได้ดังนี้แววตาของถังเจิ้นก็แข็งกร้าว  ถ้าเป็นงั้นก็มาจัดหนักกันตั้งแต่วันนี้ไปเลย  ขอดูหน่อยซิว่าตัวเองจะสามารถทะลุขีดจำกัดได้หรือไม่!

แน่นอนวิธีการนั้นไม่ใช่การโยนตัวเองลงไปสู่สถานการณ์อันตราย  แต่จะกระตุ้นพลังสูงสุดของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เมื่อถึงจุดที่ทำอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ถึงค่อยเปิดใช้งานเทเลพอร์ตหนีไป

ดังนั้นถังเจิ้นจึงกัดฟันและยืนหยัดที่จะวิ่งต่อไป  แม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยจนปอดแทบจะกระโจนออกมาจากปาก  แต่กลับยังไม่รู้สึกว่าตัวเองได้แตะขีดจำกันแล้วเลย  ดังนั้นเขาจึงได้แต่กัดฟันวิ่งต่อด้วยความอดทน

กันฟันทนวิ่งไปครั้งแล้วครั้งเล่า  เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว  จนกระทั่งตอนนี้สติของเขาได้ตกลงสู่ภวังค์  แต่เขากลับรู้สึกถึงพลังงานอื่นที่เล็ดลอดออกมาจากส่วนลึกของร่างกาย

แม้ว่าพลังงานนี้จะเบาบางเหมือนใยแมงมุม  แต่ก็ยังทำให้ถังเจิ้นมีความสุขได้  เขารู้ว่านี่คือพลังที่มีศักยภาพสูงสุดที่ตนต้องการ

พลังนี้เป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำในความแข็งแกร่งของนักรบระดับเดียวกัน  นักรบโหลวเฉิงสามารถกระตุ้นพลังนี้ขึ้นมาได้ผ่านการสืบทอดและความช่วยเหลือภายนอก

ทว่านักรบป่ากลับมีปัญหาในเรื่องนั้นมากมายจึงมีไม่กี่คนที่สามารถเจอกับไอเดียนี้และเข้าถึงขุมพลังนี้ได้!

เนื่องจากการตื่นขึ้นของพลังที่รุนแรงนี้ทำให้ถังเจิ้นรู้สึกมีพละกำลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง  และเมื่อเขากำลังจะวิ่งต่อไปก็พบว่ามีอาคารขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าแล้ว

พอมองดูดี ๆ ก็พบว่ามันคือเจ้าเหนือหัวของแดนทุรกันดารละแวกนี้  โหลวเฉิง  เมืองเฮยเหยี่ยน

ในเวลานี้ที่ประตูเมืองเฮยเหยี่ยนได้มีนักรบกลุ่มหนึ่งรีบออกมาอย่างรวดเร็วโดยขี่ม้าศึกมุ่งหน้าตรงมาหาถังเจิ้น

เดาได้ว่าเป็นนักรบที่อารักขาโหลวเฉิงอยู่และพบว่ามีนายร้อยซากศพสามตัวกำลังวิ่งเข้ามาที่เมือง

นักรบเหล่านี้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาความปลอดภัยของเมืองเฮยเหยี่ยน  ดังนั้นย่อมไม่ยอมให้มอนสเตอร์ตัวใดอย่างพวกนายร้อยซากศพนี่เข้าใกล้ที่นี่ได้โดยเด็ดขาดอยู่แล้ว  ไม่งั้นจะเท่ากับการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ในเวลาเดียวกันกับที่นักรบผู้พิทักษ์เมืองเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นถังเจิ้นก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในโหลวเฉิงไปพร้อม ๆ กัน

บนหน้าต่างที่สูงขึ้นไปเหนือพื้นห้าสิบเมตรในเมืองเฮยเหยี่ยน  ถังเจิ้นเห็นร่างหลายร่างสั่นไหวราวกับว่ากำลังใช้งานอุปกรณ์บางอย่าง

ครู่ต่อมาก็จุดสีดำหลายจุดพุ่งออกมาจากหน้าต่างโดยมีเป้าหมายอยู่ที่นายร้อยซากศพที่ไล่ตามเขามา

“ฉึก ๆ ๆ ๆ ๆ!”

หลังจากเสียงเหมือนถูกเสียบหลายครั้งดังขึ้นนายร้อยซากศพทั้งสามก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า  แต่สุดท้ายก็โดนลูกดอกสีดำขนาดมหึมาหลายดอกยิงถล่มใส่อยู่ดี!

ลูกดอกสีดำขนาดใหญ่ได้เจาะเข้าไปในร่างของนายร้อยซากศพที่สูงหลายเมตร  ฉากนี้ช่างเด่นสะดุดตาเหลือเกิน

ลูกดอกสีดำคมกริบนี้มีอันตรายร้ายแรงถึงตาย  ต่อให้เป็นร่างกายอันแข็งแกร่งของนายร้อยซากศพก็ไม่อาจต้านทางอาวุธปกป้องเมืองอันทรงพลังนี้ได้

นักรบม้าศึกและคนที่วิ่งไล่ตามมาอาศัยจังหวะที่พวกมันถูกเสียบและช้าลงนี้เข้ารุมประชาทัณฑ์พวกมันทั้งสามอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เกรงกลัวความตาย

มดก็ฆ่าช้างได้ถ้ามีเยอะพอ  เสือก็วิ่งหนีหมาป่าได้ถ้าเจอเป็นฝูง!

เพียงไม่กี่นาทีนายร้อยซากศพทั้งสามได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ร่วงลงไปชักกระตุกอยู่กับพื้นก่อนที่จะโดนตัดหัวและตกตายลงไปโดยสมบูรณ์

ถังเจิ้นซึ่งนั่งดูเงียบ ๆ ข้าง ๆ กันนั้นได้เห็นฉากทั้งหมดนี้  และในใจของเขาก็ยิ่งกระตือรือร้นที่จะมีกองกำลังเป็นของตัวเอง

จะทำอะไรก็ไม่ต้องทำเอง  เวลาจะตีกับใครแค่สั่งคำเดียวพวกลูกน้องก็จะจัดให้อย่างเร่งรีบ  ก็แค่คิดเพลิน ๆ ไว้ก่อนอะนะ

ไม่ได้  ต้องไปบอกเฉียนหลงให้รู้ก่อนว่าอีกไม่นานจะมีอันตรายร้ายแรง  เพราะงั้นต้องเกณฑ์คนมาเป็นกองทหารให้โดยเร็วที่สุด

ถ้าเขาสามารถรับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทรงพลังได้ล่ะก็  ต่อให้ราชาซากศพหลิงเหน่าจะมาเองเขาก็ยังมีคนอื่น ๆ คอยช่วยเหลือ  และโอกาสที่จะเอาชนะมันได้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย...  มั้ง?

ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ถังเจิ้นก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น  เขาแทบรอไม่ไหวอยากจะรีบวิ่งกลับไปคุยกับเฉียนหลงในเมืองผู้พเนจรมันเดี๋ยวนี้เลย  แต่กลับติดตรงที่ตอนนี้ขาเขาทั้งเจ็บทั้งชา  และเมื่อลองลุกขึ้นยืนดูก็ร่วงลงไปกองกับพื้นทันที

ถังเจิ้นทำได้เพียงแค่ยิ้มบิด ๆ เบี้ยว ๆ ให้ตัวเอง  เพราะแม้ครั้งนี้จะสามารถกระตุ้นเอาพลังอันสูงสุดออกมาได้สำเร็จก็ตาม  แต่ร่างกายก็เสียหายไม่น้อยเลย  เกรงว่าต้องพักผ่อนอีกนานกว่าจะฟื้น

ในเมื่อไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราวถังเจิ้นจึงนำกล้องโทรทรรศน์ออกจากพื้นที่จัดเก็บและเริ่มสังเกตสถานการณ์ในเมืองเฮยเหยี่ยนอย่างระมัดระวัง

ดูจากภายนอกเมืองเฮยเหยี่ยนก็คล้าย ๆ กับอาคารที่อยู่อาศัยทั่วไปในโลกเดิม  แต่ดูเรียบง่ายและแข็งแรงกว่า  มันเหมือนหินสีดำที่ทำลายไม่ได้  บางทีอาจเป็นที่มาของชื่อเมืองเฮยเหยี่ยนก็เป็นได้

หน้าต่างส่วนใหญ่นอกเมืองไม่เหมือนกับที่ติดอยู่ในอาคารที่อยู่อาศัย  เพราะถ้าไม่ถูกปิดตายก็ถูกเปลี่ยนเป็นแท่นยิง  ที่ตึกบนสุดมีหน้าไม้ขนาดยักษ์รูปร่างประหลาดเรียงกันเป็นตับ

ผู้อยู่อาศัยทั่วไปของเมืองเฮยเหยี่ยนอาศัยอยู่ในลานภายในที่ล้อมรอบด้วยตัวอาคารและพื้นที่ชั้นในขนาดใหญ่  สำหรับชาวเมืองโหลวเฉิงหลายคนแล้วโหลวเฉิงคือโลกทั้งใบที่พวกเขาอาศัยอยู่  บางคนไม่เคยก้าวออกจากประตูเมืองโหลวเฉิงเลยตั้งแต่เกิดจนตาย

นี่แหละโลกโหลวเฉิง  ภายในกับภายนอกเมืองคือสองโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด