ตอนที่แล้วบทที่ 275 – เผ่าอสูรกายยอมถอย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 277 – ใครกันแน่ที่เป็นถังใส่ข้าว

บทที่ 276 – กลับเข้าป้อมปราการ


เมื่อเห็นผมกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น ราชาปีศาจซิวหยูก็มีท่าทางพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนมู่จือนั้นส่งยิ้มหวานมาให้ผม เฮ้อ! ผมรู้ตัวเองได้ในทันทีเลยว่า กำแพงที่พยายามจะสร้างขึ้น ค่อย ๆ เริ่มพังทลายลงไปทีละน้อยแล้ว

ผมแอบถอนหายใจ ก่อนที่จะกล่าวออกมาต่อ “องค์ชาย ข้าคงต้องรบกวนให้ท่านส่งคนไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่อองค์จักพรรดิปีศาจด้วย พระองค์ทรงให้พวกข้าพยายามหาหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับการรุกรานของเผ่ามารออกมาให้ชัดเจน การต่อสู้ที่เกิดขึ้นต่อหน้าของท่านก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นหลักฐานที่หนาแน่นมากพอแล้ว ว่าเผ่ามารนั้นมีตัวตนอยู่จริง ท่านเห็นด้วยหรือไม่?”

เขาพยักหน้ารับ “มันยิ่งกว่าพอเสียอีก น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่คนที่ถูกครอบครองร่างเป็นท่านพี่ซาต้าไปเสียได้ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้องค์จักรพรรดิได้ทราบตามความเป็นจริงทั้งหมด”

หลังจากนั้น พวกเราก็ปรึกษากันเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยกับราชาปีศาจซิวหยูอีกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวจากเขา เพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังป้อมปราการเต๋อหลุนในทันที เพื่อป้องกันไม่ให้พี่ใหญ่ซานหยุนต้องเป็นห่วงพวกเรามากจนเกินไป

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมากมายเหลือเกิน ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงแรกออกมาบนท้องฟ้า ถึงแม้ว่าในครั้งนี้ พวกเราจะประสบความสำเร็จในการจัดการร่วมมือของกองทัพพันธมิตร ทั้งจากเผ่าปีศาจและเผ่าอสูรกายได้พร้อมกัน แต่นั่นก็ยังไม่สามารถทำให้ผมอยู่ในสภาวะที่พอใจมากนัก พวกเรารวมพลังกันจัดการกับเจียซื่อเค้อหลี่โตว ซึ่งยังไม่ได้ฟื้นคืนพลังกลับมาอย่างสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้พวกเราต้องลงมืออย่างเต็มที่ ถึงจะเอาชนะมาได้อย่างลำบากไม่น้อย ถ้าเป็นราชามารมาปรากฏตัวเอง พวกเราน่าจะไม่เหลือชีวิตรอดกลับมาแน่ ในสถาพของพวกเราตอนนี้ มันเป็นเรื่องจำเป็นมาก ที่ผมจะต้องเสี่ยงรับพลังแห่งการสืบทอดของพระเจ้า มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับเผ่ามารได้ แต่พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ความรู้สึกของผมก็เริ่มดำดิ่งลงไปอีก

มู่จือเคลื่อนตัวมาอยู่ข้าง ๆ ผม “นายกำลังกังวลเรื่องเผ่ามารอยู่อย่างนั้นหรือ?”

ผมพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

เธอกล่าวต่อ “จากที่นายเล่ามา เวลาที่ราชาเทพกล่าวเอาไว้ น่าจะยังเหลืออีกประมาณ 2 ปี ระยะเวลาที่เหลืออยู่ น่าจะเพียงพอให้ทุกคนเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นไปได้อีก นายไม่ต้องเป็นกังวลจนมากเกินไปหรอก พวกเรายังมีคนที่คอยช่วยเหลืออยู่อีกไม่น้อยไม่ใช่หรือ? วันนี้นั้นน่าเสียดายไม่น้อยเลยทีเดียว ที่พวกเราไม่สามารถกำจัดเผ่ามารที่สิงอยู่ในร่างของท่านอาซาต้าออกไปได้ ไม่อย่างนั้น พวกเราก็สามารถจะจัดการกับผู้ช่วยคนสำคัญของราชามารไปได้คนหนึ่งเลยทีเดียว นายได้โปรดอย่างโทษท่านอาซิวหยูเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยนะ”

“ข้าไม่โทษเขาหรอก มันเป็นแค่การตอบสนองตามปกติเท่านั้น ถ้าเปลี่ยนข้าไปเป็นเขา ก็อาจจะตัดสินใจแบบเดียวกันลงไปก็ได้ แล้วความช่วยเหลือที่ท่านพูดหมายถึงอะไร?”

มู่จือกล่าวออกมา “ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้เป็นอย่างดี ก็จะมีท่านพ่อของฉัน เผ่ามังกร อาณาจักรมนุษย์ทั้งสามแห่ง รวมถึงกองทัพพันธมิตรเผ่าปีศาจและเผ่าอสูรกายอีกด้วย พวกเราน่าจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับราชามารแล้ว นายไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”

ผมได้แต่ถอนหายใจ “แม้แต่ราชาเทพเอง ยังไม่สามารถจะจัดการกับราชามารได้ ต่อให้พวกเราเพียงแค่ต้องจัดการกับร่างจำแลงของเขา ยอดฝีมือที่คอยสนับสนุนพวกเราอยู่ยังไม่นับว่าเพียงพอหรอก ท่านควรจะรู้อยู่แล้วว่าเวทยแห่งแสงและพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้านั้น มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการจัดการกับเผ่ามาร แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัวแล้ว มีเพียงไม่ถึง 20 คนเท่านั้นที่สามารถรับมือกับเจียซือเค้อหลี่โตวได้ ท่านยังคิดว่าข้าควรจะวางใจได้อย่างนั้นหรือ?”

มู่จือถอนหายใจออกมาบ้าง “การที่นายเป็นกังวลก็ไม่ผิด ดังนั้น พวกเราจึงต้องรีบทำให้การเจรจานี้ประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกเราจะได้ไปอยู่ในสถานที่เหมาะสม เก็บตัวฝึกฝนกันอย่างจริงจัง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของพวกเราเองขึ้นมาให้ได้ น่าเสียดายที่ฉันไม่อาจจะเรียนรู้เวทย์มนต์แห่งแสงได้ ไม่อย่างนั้น ฉันคงจะมีส่วนช่วยนายได้มากกว่านี้”

เมื่อเห็นว่าเธอนั้นเป็นห่วงผมมาก ถึงขนาดคิดเรื่องราวต่าง ๆ เผื่อเอาไว้อย่างมากมาย ทำให้ผมใจอ่อนลงอีกไม่น้อย แต่ปากก็ยังกล่าวออกไป “ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่านหรอก ทางที่ดีท่านควรจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองมากกว่า” หลังจากกล่าวอย่างนั้นออกไป ความเสียใจก็เกิดขึ้นมาในใจของผมไม่น้อย

เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ หลังจากที่เธอได้ยินสิ่งที่ผมกล่าว ก็ยิ่งเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น ตาของเธอนั้นเป็นประกาย ขณะที่กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “ฉันจะพยายามรักษาตัวเองให้ปลอดภัยมากที่สุด นายไม่ได้มอบชุดคลุมเวทย์เอาไว้ให้ฉันหรอกหรือ? ตอนนี้ฉันยังไม่กล้าใส่มันอยู่เลย”

คำพูดที่กล่าวออกไป ก็เหมือนกับสายน้ำ มันไม่มีทางที่จะเก็บกลับคืนมาได้อีก ผมได้แต่ยอมรับความรู้สึกของมู่จืออยู่เงียบ ๆ เท่านั้น

ในที่สุด พวกเราก็สามารถกลับมาถึงยังจุดที่นัดหมายเอาไว้กับซานหยุนได้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเช้าเต็มที่นัก แต่กองพันมังกรดินก็ไม่ได้รออยู่ที่นั่นแล้ว มีเพียงพี่ใหญ่ซานหยุนกับนายทหารคนสนิทของเขาเท่านั้น

เมื่อเขาเห็นพวกเรามาถึง ก็ถามออกมาอย่างกระวนกระวาย “ทำไมพวกเจ้าถึงได้ใช้เวลานานมากนัก? รู้หรือไม่ว่ามันทำให้ข้าเป็นกังวลอย่างมาก ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่?”

เป็นจ้านหู่ที่ตอบเขาออกไป “พี่รอง ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องตกใจ ภารกิจที่พวกเราออกไปทำกันมา สามารถนับได้ว่าประสบความสำเร็จ พวกเราทุกคนกลับมาอย่างเรียบร้อยปลอดภัยดี แค่ก! แค่ก!”

“น้องสาม! เจ้าเป็นอะไรไป?”

“ไม่มีอะไร ข้าแค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ซืวซือได้ช่วยรักษาข้าแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

นั่นยิ่งทำให้เขาสงสัย “พลุไฟขนาดใหญ่ที่กลางค่ายของพวกนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือพวกเจ้าใช่หรือไม่?”

ได้ยินคำถามของเขา จ้านหู่ต้องหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “พลุไฟอะไรกัน? นั่นเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเลยนะ ข้าเกือบจะไม่ได้กลับมาเจอหน้าท่านพี่อีกแล้ว!”

“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่? ข้านึกว่าเป็นพลุไฟที่ทางฝั่งนั้นจุดขึ้นเพื่อต้อนรับเจ้าหญิงเท่านั้น”

ผมเงยหน้ามองฟ้าเพื่อกะเวลา ก่อนจะกล่าวออกมาบ้าง “พี่ใหญ่ซานหยุน ตอนนี้เริ่มเช้าแล้ว รีบกลับเข้าไปในป้อมกันดีกว่า พวกเราสามารถเดินทางไปคุยกันไปได้”

เขาเห็นด้วยทันที “อา! ถูกต้องแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถอะ เมื่อการลาดตะเวนเสร็จสิ้นแล้ว ข้าได้ส่งลูกน้องกลับเขาไปล่วงหน้า พวกเจ้าน่าจะเหนื่อยกันมาไม่น้อย พวกเรากลับเข้าไปด้านในแล้วค่อยคุยกันก็ได้”

.........

“มันมีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายอย่างจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าถึงได้ใช้เวลากันมากถึงขนาดนั้น”

พวกเรากลับมาถึงตำหนักชั่วคราวของเจ้าชายแล้ว ผมนั้นรู้สึกเหนื่อยล้ากับคืนที่ทั้งกดดันและตึงเครียดอย่างนี้ ทิ้งตัวลงนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ปล่อยให้จ้านหู่เป็นคนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับซานหยุนและคนที่เหลือฟัง

มู่จือหันมองมาที่ผมอย่างเป็นห่วง ก่อนจะกล่าวออกมา “ตอนนี้ทุกคนคงจะเหนื่อยมากแล้ว พวกเราไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

แต่ซิวซือกลับยิ้มออกมาอย่างลึกลับ “ใช่แล้ว! แต่ควรจะต้องหาอะไรกินก่อนเข้านอนสักหน่อย ฉันเหนื่อยแทบจะตายอยู่แล้ว ต้องใช้พลังไปกับการรักษาพวกนายนี่แหละ”

เจี้ยนซานกล่าวออกมา “พวกท่านไปพักกันให้สบายใจเถอะ พวกเราจะคอยดูแลให้เอง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะเป็นคนไปแจ้งพวกท่านเอง”

ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามเขาออกไป “พี่ใหญ่ซิวซือ นายเคยบอกว่านำพวกเราพี่น้องมาด้วยทั้งหมด 500 คน ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันแล้ว?

ซิวซือยิ้มออกมาอย่างลึกลับอีกครั้ง ก่อนที่จะกระซิบที่ข้าหูผม “พวกเขาปลอมตัวเป็นพ่อค้าเร่ แทรกซึมเข้ามาอยู่ในป้อมปราการเรียบร้อยแล้ว นายวางใจได้ ฉันได้กำหนดสัญญาณเอาไว้ให้พวกเขาแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะสามารถรวบรวมกำลังได้อย่างรวดเร็ว”

ผมยิ้มออกมาได้บ้าง ก่อนจะหาวออกมา “ข้าไม่มีแรงไปกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้นแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นหน้าที่ของนาย ตอนนี้ฉันง่วงมาก จะไปเข้านอนแล้ว”

ซานหยุนรีบเอ่ยออกมา “เจ้าต้องหาอะไรกินก่อนนะ!”

............

แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามานั้นแรงมากเหลือเกิน ทำให้ผมต้องใช้ผ้าห่มคลุมหัวของตัวเองเอาไว้ ก่อนที่จะพยายามกลับเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันอีกครั้ง

ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทำให้ผมบ่นอยู่ในใจ ใครมาทำอะไรเสียงดังในตอนนี้นะ? ก่อนที่จะกล่าวออกไป “ประตูไม่ได้ใส่สลักเอาไว้ ใครกันน่ะ? เข้ามาได้เลย”

เสียงประตูเปิดออก น่าจะเป็นซิวซือ หรือพวกนั้นบางคน ช่างมันเถอะ ผมยังต้องการนอนเป็นอย่างมาก

แต่ใครคนนั้นก็ตรงเข้ามานั่งอยู่ที่ข้างเตียงที่ผมนอนอยู่ “จางกง นายเป็นยังไงบ้าง? นายนอนมาทั้งวันแล้วนะ ทำไมไม่ลุกออกไปข้างนอกบ้างเลย มีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า?” เสียงนั่นอ่อนโยนและคุ้นเคย และทำให้สติของผมกระเจิงทันที นี่มันเสียงของมู่จือนี่นา และตอนที่เธอกำลังถามอยู่นั้น มือที่เรียบเนียนของเธอก็ยื่นมาลูบหน้าของผมอยู่อย่างห่วงใย ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจไม่น้อย

ผมรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนเหลืออยู่เลย จับมือของเธอไม่ให้เคลื่อนไหวต่อ ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

เธอบ่นผมกลับ น้ำเสียงไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “ทำไมฉันจะมาที่นี่ไม่ได้? ก็นายเล่นนอนอยู่ทั้งวันแบบนี้ มันทำให้ฉันเป็นห่วงมากรู้มั้ย?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด