ตอนที่แล้วบทที่ 27
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29

บทที่ 28


บทที่ 28

แม้ว่าทฤษฎีการเวียนว่ายตายเกิดใน ‘วัฤจักรแห่งสวรรค์’ จะเวอร์วังและไม่อาจจับต้องได้ แต่สวี่ล่ายคือหนึ่งในผู้ที่มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งในการกลับชาติมาเกิด แต่ถ้าให้เป๊ะๆสมควรกล่าวว่าข้ามมิติมากกว่า เป็นการข้ามมาเฉพาะวิญญาณ ดังนั้นสามารถยืนยันถึงการมีอยู่ของวัฏจักรแห่งวิถีสวรรค์ได้

ด้วยเหตุนี้ สวี่ล่ายจึงตัดสินใจปฏิบัติตามทฤษฎี ‘วัฏจักรแห่งวิถีสวรรค์’

การแยกแก่นวิญญาณจำเป็นต้องอาศัยค่ายกลสามรูปแบบจึงจะสามารถเริ่มหลอมได้ ด้วยเหตุนี้สวี่ล่ายจึงต้องสร้างค่ายกลแยกแก่นสารและดวงจิตก่อน

ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!

อักขระยันต์สว่างขึ้น ค่ายกลสีแดง สีเหลือง และสีฟ้าขนาดใหญ่สามค่ายกลถูกสร้างขึ้นในกระท่อมไม้เล็กๆ

“อืม ไม่เลวแฮะ” สวี่ล่ายพยักหน้า จากนั้นเขาก็โยนแก่นวิญญาณของหมาป่ายักษ์ขั้น 1 เข้าไปในค่ายกลสีแดง

กรร~ กรร~ กรร~!

หมาป่ายักษ์สัมผัสได้ถึงวิกฤต มันกระโดดขึ้นๆ ลงๆ พุ่งเข้าชนกันไปมาในค่ายกลอย่างแรง

ป้าง!  ป้าง! ป้าง! ...

“เอาล่ะๆ เงียบๆหน่อย” สวี่ล่ายประกบผนึกด้วยสองมือ ปราณบริสุทธิ์ถูกถ่ายเท ค่ายกลใหญ่ก็เริ่มหมุนอย่างช้าๆ

หึ่ง หึ่ง~!

อักขระยันต์รูปหนึ่งลอยออกมา มันเสมือนดั่งโซ่ตรวนเข้าพัวพันหมาป่ายักษ์ไว้อย่างแน่นหนา

กรร~! กรร~! กรร~! ...

หมาป่ายักษ์ยังคงต่อต้านอย่างเต็มที่

“จงแยกออก!”  สวี่ล่ายสองฝ่ามือประกบเป็นหนึ่ง พลังจิตพุ่งออกมา หมุนรอบค่ายกลใหญ่อย่างช้าๆ

หึ่ง หึ่ง~

ค่ายกลใหญ่หมุนเร็วขึ้นและเร็วขึ้น  สร้างแรงดึงพิเศษ แยกแก่นวิญญาณของหมาป่ายักษ์ออกเป็นสองฝั่ง ย้ายไปยังค่ายกลหนึ่งฟ้าและเหลืองที่เหลืออยู่

กรร~! กรร~! กรร~!

ความเจ็บปวดแสบร้อนที่เกิดจากทักษะแยกแก่นสารและดวงจิต ผลักดันให้หมาป่ายักษ์ดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง และยิ่งมาถึงช่วงสุดท้าย มันก็ยิ่งดิ้นรนหนักข้อขึ้น

ในที่สุด

“เฮ้ย เฮ้ย! อย่าขัดขืนสิ บอกว่าอย่า ...”

บรึ้ม~

อ๊าาาา——!

เสียงดังปัง! คลื่นกระแทกที่เกิดจากแรงอัดอากาศพัดสวี่ล่ายอย่างแรง

และสวี่ล่ายผู้ซึ่งไม่ทันระวังจึงโดนเข้าเต็มๆ ทั้งคนทั้งร่างลอยกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างจัง ก่อนลงไปกลิ้งกับพื้น

“ไอ้โหย๋ เอวข้า...!”

สวี่ล่ายร้องไห้น่าสมเพช ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก จ้องมองค่ายกลใหญ่ ด้วยใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูก และเห็นเพียงหมาป่ายักษ์ที่ยังคงพยายามหนีอย่างสุดชีวิต

“เจ้า......ก็ได้! เป็นเจ้าเองนะที่บังคับให้ข้าทำ!” สวี่ล่ายกัดฟันอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มใหม่

แม้ว่าทักษะแยกดวงจิตและแก่นสารจะล้มเหลวไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก ค่ายกลใหญ่ทั้งสามยังไม่บุบสลาย มีเฉพาะแก่นวิญญาณของหมาป่ายักษ์เท่านั้นที่มืดมนลงเล็กน้อย

“จงแยกออก!” สวี่ล่ายประทับผนึกด้วยมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ถ่ายเทปราณบริสุทธิ์อีกครั้ง หลังจากเปิดค่ายกล เขาก็ระดมพลังจิตของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อแยกแก่นวิญญาณของมัน

กรร! กรร! กรร!

“เจ้าตัวน้อย เป็นเจ้าเองที่ดิ้นรน ข้าเลยต้องทำแบบนี้!” สวี่ล่ายตั้งสมาธิ ปลดปล่อยพลังจิตมากขึ้น เลิกสนใจว่าจะเผลอทำให้หมาป่ายักษ์บาดเจ็บอย่างสิ้นเชิง เพิ่มแรงกระชากแก่นวิญญาณทั้งสองฝั่งออกมา

กรร~!

ตรงเงาหมาป่ายักษ์เกิดเสียงดัง ป้าง! แยกจากหนึ่งเป็นสอง จากนั้นก็มีประกายแสงสว่างวาบขึ้น

หมาป่ายักษ์ทั้งสองส่วนหายไปจากค่ายกลสีแดง ในชั่วพริบตา พวกมันปรากฏขึ้นเหนือค่ายกลสีเหลืองและสีฟ้าอย่างละหนึ่ง

“เอ๊ะ? มันได้ผล?” สวี่ล่ายผงะเล็กน้อย ด้วยความดีใจสุดขีด รีบดึงพลังจิตกลับคืน เพื่อป้องกันการสูญเสียมากเกินไป

พลังจิตไม่เหมือนปราณบริสุทธิ์ไม่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยโอสถ ดังนั้นต้องประหยัดให้มากที่สุด

กรร!

หมาป่าเงาในค่ายกลสีเหลืองดูเหมือนจะรู้สึกอ่อนแรงลงมาก มันมองมายังมองศัตรูที่สังหารตน และอดคำรามสองสามครั้งไม่ได้

“จงดีใจเถอะ ข้าใจดีกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆมาก อย่างน้อยดวงจิตเจ้าก็ยังได้กลับไปเกิดใหม่ ออกเดินทางอย่างสบายใจเถิด”

สวี่ล่ายว่าจบก็โบกมือเดียว ค่ายกลสีเหลืองค่อยๆหมุนช้าๆ จากนั้นแสงสีทองก็สว่างไสวขึ้น ดวงจิตของหมาป่ายักษ์ถูกส่งออกไปทันที

“อนิจจา! ข้าขอให้เจ้าประสบความสำเร็จในการเกิดใหม่” สวี่ล่ายถอนหายใจเบาๆ

เขาหันศีรษะไปมองหมาป่ายักษ์บนค่ายกลสีฟ้าอีกด้านหนึ่ง

เห็นเพียงหมาป่ายักษ์บนค่ายกลสีฟ้า ทั่วร่างมันสาดไปด้วยรัศมีแสงปีศาจอันน่าทึ่ง

แต่สายตาของมันกลับหม่นหมอง ดวงตาทั้งสองข้างว่างเปล่า ล่องลอยอยู่ในค่ายกลอย่างเงียบๆ

สวี่ล่ายไม่กล้าชักช้า ปลดปล่อยพลังจิตออกมาอีกครั้ง เข้าควบคุมค่ายกลใหญ่ บีบอัด บีบอัด และบีบอัดแก่นสารของหมาป่ายักษ์อีกครั้ง

ครั้งนี้หมาป่ายักษ์ไม่ได้ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย มันถูกบีบอัดอย่างช้าๆโดยสวี่ล่าย กลายเป็นหมาป่าตัวเล็กขนาดเท่าหัวแม่มือ จากนั้นเขาก็หยิบหินประสานค่ายกลที่ว่างเปล่าออกมา เริ่มทำการประสานค่ายกล

กระบวนการประสานค่ายกลแทบจะการันตีความสำเร็จ มันไม่พบอุปสรรคมากนัก สวี่ล่ายค่อยๆสลักผนึกของหมาป่ายักษ์ลงในหินประสานค่ายกลและผนึกมันไว้อย่างระมัดระวัง

[ติ๊ง!]

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ คุณประสบความสำเร็จในการหลอมหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณ]

[ได้รับแต้มสะสม 300 แต้ม]

“อืม ไม่เลว ได้มา 300 แต้มอีกแล้ว”

นับตั้งแต่เขาเริ่มหลอมหินประสานค่ายกล ทุกครั้งที่สวี่ล่ายหลอมค่ายกลใหม่สำเร็จ ระบบจะมอบแต้มสะสมบางส่วนให้โดยอัตโนมัติ และสวี่ล่ายก็ใช้แต้มพิเศษเหล่านี้ ไปเปิดใช้งานทักษะติดตัวอันต่อไป

หนึ่งคือจันทร์กระจ่าง เพิ่มโอกาสเกรดสูงขึ้น 10%

อีกหนึ่งคือ ดาราจักร ลดการใช้พลังจิตลง 10%

ทักษะติดตัวเบื้องต้นจากตอนแรก เหลืออีกเจ็ดอย่างที่ยังไม่เปิดใช้งาน

สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย ตรวจสอบหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณอย่างละเอียด ในใจเขาลอบรู้สึกยินดี “ไม่คิดว่าหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณจะน่ารักขนาดนี้”

ภายในหินประสานค่ายกลขนาดเท่าหัวแม่มือ ผนึกไว้ด้วยหมาป่าตัวจิ๋ว มันเรืองรัศมีแสงปีศาจไปทั่วร่าง และมีอักขระยันต์เปล่งประกายอยู่ใต้เท้าของมัน

ในบางครั้งมันก็คำรามใส่สวี่ล่าย ให้ความรู้สึกราวกับเป็นวิญญาณจิ๋วที่มีชีวิต น่ารักจริงๆ

“ดีล่ะ มาหลอมกันต่อ ..” มุมปากของสวี่ล่ายโค้งงอเล็กน้อย เริ่มงานหลอมโดยไม่หลับไม่นอน

...

หนึ่งเดือนต่อมา

“เฮ้ย เฮ้ย เมื่อไหร่นายน้อยจะออกจากการปลีกวิเวก?”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พันธมิตรการค้าว่านตงส่งคนมาส่งวัสดุ นับแต่นั้นก็ไม่เห็นหน้านายน้อยอีกเลย”

ด้านนอกกระท่อมไม้

สวี่หู สวี่เปา และคนอื่นๆ รออย่างใจจดใจจ่อ

“ท่านประมุขได้ส่งคนมาเร่งรัดหลายครั้งแล้ว แต่ ... นายน้อยก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมา” สวี่เปาเกาหัว แสดงสีหน้าอับจนปัญญา

“ใช่ๆ ก่อนหน้านี้ยังมักได้ยินเสียงคำรามดังออกมานอกห้อง สลับกับเสียงระเบิดเป็นระยะๆ  แต่ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่มีเสียงอะไรเลย หากไม่ใช่เพราะนายน้อยติดตั้งค่ายกลไว้นอกกระท่อม พวกเราคงบุกเข้าไปนานแล้ว”

สวี่เปียวส่ายหัว กางมือออกอย่างช่วยไม่ได้

“หากยังไม่ออกมาจริงๆ คงต้องส่งอักขระยันต์ส่งสัญญาณเสียงเข้าไป เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ข้างใน” สวี่หูขมวดคิ้ว จากนั้นประกบมือทั้งสองข้าง เอ่ยงึมงำในปาก แล้วสะบัดมือข้างหนึ่งปล่อยปราณบริสุทธิ์ออกมา

ปราณบริสุทธิ์กลายเป็นอักขระยันต์สีขาวในอากาศ ในชั่วพริบตา มันก็ผ่านค่ายกลใหญ่ บินเข้าไปในกระท่อมไม้ที่สวี่ล่ายปลีกวิเวก

ในเวลาเดียวกัน……

สวี่ล่ายกำลังนั่งขัดสมาธิ ค่ายกลใหญ่เบื้องล่างกำลังหมุนอย่างช้าๆ อักขระยันต์บนค่ายกลเป็นประกาย จุดแสงนับไม่ถ้วนรอบตัวถูกรวบรวมมายังค่ายกลใหญ่ จากนั้นก็ถูกดูดซับโดยกระแสลมที่แผ่ออกมาจากร่างของสวี่ล่าย

ติ๊ง!

ณ เวลานี้ อักขระยันต์สีม่วงทะลุกำแพงกั้น ลอยเข้ามาในกระท่อม

“หืม?”สวี่ล่ายจ้องมอง ก่อนยิงปราณบริสุทธิ์ออกไปอย่างลวกๆ

หึ่ง หึ่ง!

อักขระยันต์สั่นเล็กน้อย มีการปล่อยคลื่นเสียงสั่นสะเทือนออกมา

“นายน้อย ใกล้ถึงงานจัดประลองในเมืองหลวงแล้ว พวกเราต้องออกเดินทางภายในสามวัน มิฉะนั้นจะพลาดเวลาลงทะเบียน”

สวี่ล่ายพอฟังก็พยักหน้า จากนั้นเขาก็หลับตาอีกครั้งและรวบรวมปราณต่อไป

หลังจากการตั้งใจหลอมอย่างต่อเนื่องมากกว่าหนึ่งเดือน ระดับฐานบำเพ็ญเพียรของสวี่ล่ายมิใช่ลดลงแต่ดีขึ้น ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงสัญญาณของการยกระดับ คล้ายกับว่าการหลอมหินประสานค่ายกลเองก็มีผลต่อการฝึกตนเช่นกัน

สวี่ล่ายมีความสุขมาก! เขาจึงตัดสินใจเปิดค่ายกลรวมวิญญาณและเตรียมพร้อมที่จะตัดผ่านอย่างเต็มที่

หากเขาสามารถเลื่อนขั้นได้ก่อนงานประลอง เช่นนั้นการเผชิญหน้ากับยอดฝีมือจากทั่วทั้งรัฐ สวี่ล่ายก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น

ขณะนี้ ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายตัวเองพร้อมที่จะปลดปล่อยแล้ว ขาดเพียงเส้นสุดท้ายที่จะฝ่าคอขวดไปได้

มือของสวี่ล่ายสร้างผนึกอย่างรวดเร็ว ระดมปราณบริสุทธิ์ทั้งหมดและพุ่งไปที่แนวป้องกันสุดท้าย

บรึ้ม!~! บรึ้ม!~! บรึ้ม!~!

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง...... และบรึ้ม——!

เพียงแต่ในขณะนั้นเอง ร่างของสวี่ล่ายสั่นเล็กน้อย ทะลวงผ่านคอขวดได้สำเร็จเพื่อก้าวไปสู่ขั้นสอง ขอบเขตรวมวิญญาณ

[ติ๊ง!]

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ คุณประสบความสำเร็จในการก้าวสู่ขั้น 2 ขอบเขตรวมวิญญาณ]

[ได้รับรางวัล : 200 แต้มสะสม , ค่าปราณสังหาร 10 แต้ม]

“ฮู้ว!” สวี่ล่ายมีความสุขมาก ถอนปราณบริสุทอย่างช้าๆ

“ ยอดเยี่ยม! ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายและพลังจิตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

ด้วยประการฉะนี้ เท่ากับว่าด้วยพลังรบในปัจจุบันของเขา ประกอบกับการสนับสนุนจากหินประสานค่ายกล ย่อมสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ในขั้น 3 ขอบเขตรวมวิญญาณได้อย่างง่ายดาย และขั้น 4 ขอบเขตรวมวิญญาณ ... ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สวี่ล่ายนึกถึงครั้งก่อนที่เขาสู้กับหลี่เทียนปาห์ “ตราบใดที่ไม่มีศัตรูขั้น 5 ปรากฏตัวขึ้น ข้าคิดว่าตัวเองมีโอกาสสูงที่จะชนะการประลองนี้”

ยอดฝีมือในขั้น 5 ขอบเขตรวมวิญญาณ ต่อให้ไม่เอาจริง ก็สามารถสังหารขั้น 2 ในขอบเขตรวมวิญญาณได้ภายในไม่กี่วินาที

คิดได้แบบนี้ สวี่ล่ายเปิดม้วนเหล็กดำในตันเถียน ตรวจสอบข้อมูลในปัจจุบันของตัวเอง

โฮสต์:สวี่ล่าย

ฐานบำเพ็ญเพียร:ขอบเขตรวมวิญญาณ ขั้น 2

สมญานาม: ผู้ชำนาญการต่อสู้

ทักษะฝึก :เคล็ดตะวันนภาขั้น 9 , ประสานหนึ่งไร้ขอบเขต ขั้น 2

วิชายุทธ:ฝ่ามือร้อยปะทะ ท่อนที่ 9 , กระบี่ทระนงสังหาร ท่อนที่ 7 , ฟ้ามายาเมฆาสามานย์ ท่อนที่ 4

วิชาปลิดชีพ:สะบั้นกระหายเลือดขั้นต้น

วิชาเทพประจำตระกูล:ราชานรกประทับร่าง

อาชีพเสริม:ผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล

ค่าปราณสังหาร :62/1000

ค่าใจปีศาจ:45/1000

แต้มสะสม:2,400

ค่ากิตติศัพท์:200

อุปกรณ์: ดาบกระหายเลือดสิ่งประดิษฐ์ประจำตระกูล

ระดับอุปกรณ์: อาวุธระดับสมบัติขั้นกลาง(สามารถอัพเกรดได้)

เห็นข้อมูลเหล่านี้ ประกายวาววับทอวาบในใจเขา

“ระดับอุปกรณ์? จริงด้วย! ดาบกระหายเลือดสามารถอัพเกรดได้นี่นา!”

ทันใดนั้นสวี่ล่ายนึกขึ้นได้ ในเมื่อมันไม่มีทางพัฒนาพลังรบของตัวเองได้ในเวลาอันสั้น เช่นนั้นเขาจึงต้องอาศัยปัจจัยภายนอกอย่างหินประสานค่ายกลและเซียะเทียนในการช่วยเหลือ แต่การอัพเกรดอาวุธก็สามารถเพิ่มพลังรบของตัวเองได้เช่นกัน

นานเหลือเกินที่สวี่ล่ายมองข้ามปัญหาด้านการอัพเกรดดาบกระหายเลือด หากไม่ใช่เพราะครั้งก่อนเขาได้เห็นพลังจากอาวุธระดับสมบัติชั้นยอดของหลี่อวี้ถิง เกรงว่าตอนนี้สวี่ล่ายก็ยังคงคิดเรื่องนี้ไม่ออก

คิดได้แบบนี้ สวี่ล่ายเริ่มค้นในม้วนเหล็กดำ เพื่อตรวจดูว่าจะอัพเกรดดาบกระหายเลือดได้อย่างไร

“กลืนกินแก่นแท้ของอาวุธขั้นสูง เพื่อยกระดับดาบกระหายเลือด?” สวี่ล่ายตกตะลึงไปชั่วขณะ ลูบคางตัวเอง

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ดูเหมือนว่าต้องหาอาวุธระดับสูงกว่า กลืนกินแก่นแท้มันเพื่ออัพเกรดดาบกระหายเลือด ถ้างั้น ... ที่ต้องทำคือกว้านซื้ออุปกรณ์ระดับสมบัติชั้นยอด”

สวี่ล่ายลุกขึ้นอย่างช้าๆ ขยับแขนขาที่แข็งทื่อ เปิดประตูแล้วเดินออกมา

“นายน้อย!?”

“นายน้อย!?”

“อืม ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วรึยัง?” สวี่ล่ายกวาดสายตามองรอบๆ และเห็นว่าหน่วยอารักขาทุกคนมารออยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า

“เรียนนายน้อย ทุกอย่างพร้อมแล้ว”

“ดีมาก งั้นพรุ่งนี้เช้า เตรียมตัวออกเดินทาง!”

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด