ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 328 การชี้แนะครั้งที่สอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 330 การต่อสู้เพื่อเกาะหลอมรวมเมฆา

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 329 สำนักใหม่ (อ่านฟรี)


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 329 สำนักใหม่ (อ่านฟรี)

แปลโดย iPAT  

ภายใต้การโน้มน้าวของหลี่ฉิงซาน เสี่ยวอันกินเมล็ดบัวเข้าไป ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีแดงก็ดูดซับแก่นแท้แห่งชีวิตของผู้คนมากกว่าพันคนเข้าไป

เสี่ยวอันนั่งสมาธิและเริ่มปรับแต่งพลังงานที่ได้รับทันที

หลี่ฉิงซานเลิกกังวล เดิมทีเขาวางแผนที่จะพาเสี่ยวอันออกไปข้างนอกซึ่งอาจใช้เวลานานและดึงดูดความสงสัยได้ง่าย

ความกระหายเลือดสามารถอธิบายได้ แต่การหายตัวไปของศพยากที่จะอธิบาย หากเขาดึงดูดความสนใจของบางคนที่ช่างสังเกต เขาจะตกที่นั่งลำบาก เมล็ดบัวเหล่านี้น่าจะเพียงพอสำหรับการบ่มเพาะของเสี่ยวอันเป็นเวลานาน อย่างน้อยที่สุดนางจะไม่ขาดสารอาหารในช่วงหลายเดือนนี้

หลี่ฉิงซานปล่อยให้เสี่ยวอันบ่มเพาะอยู่ในห้องขณะที่เขาเปิดประตูออกไป ดวงจันทร์ส่องสว่างพร้อมดาวสองสามดวงที่อยู่บนท้องฟ้า หิมะสีขาวปกคลุมทั่วลานบ้าน เขายังต้องเตรียมการบางอย่างสำหรับเส้นทางของตนเอง

คืนนั้นหลี่ฉิงซานไปที่เกาะเมตตาและเกาะจิตสงบเพื่อพบหรูซิงและเจียเฉินซี สำนักการแพทย์และนิกายเต๋าเป็นสำนักที่เชี่ยวชาญด้านการปรุงมามากที่สุด ในฐานะศิษย์เอกของทั้งสองสำนัก พวกเขาทั้งคู่มีหน้าที่ดูแลเม็ดยา เขาซื้อเม็ดยาคุณภาพสูงจากทั้งสองและขอให้พวกเขาเก็บเป็นความลับ

ทั้งสองทำงานอย่างหนักหลังจากหายนะที่สำนักศึกษาเผชิญ หรูซิงกำลังรักษาผู้บาดเจ็บ ขณะที่เจียเฉิงซีกำลังจัดการเรื่องต่างๆของนิกายเต๋า ทั้งสองพูดคุยสั้นๆและส่งยาให้เขาอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับไปทำงานต่อ แม้แต่หรูซิงก็ไม่มีอารมณ์ล้อเล่นกับเขาในเวลานี้

จากนั้นเขาก็ไปเกาะที่สำนักเบ็ดเตล็ดตั้งอยู่ เขาใช้หินวิญญาณที่เหลือทั้งหมดซื้อเม็ดยา เขายังเห็นราคาของสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณและยันต์เริ่มสูงขึ้น

เขาสามารถจินตนาการถึงความตกใจที่จอมยุทธ์พลังปราณเหล่านี้ได้รับจากการต่อสู้ที่ผ่านมา หลี่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่แต่เขาตัดสินใจไม่ขายยันต์และสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณให้พวกเขา

หลังจากลับเกาะหลอมรวมเมฆา หลี่ฉิงซานพบว่าเสี่ยวอันยังนั่งสมาธิอยู่ ดูเหมือนการปรับแต่งเมล็ดบัวดำจะใช้เวลาค่อนข้างนาน

เขาไม่รบกวนนาง เขาคำนวณสิ่งที่เขาได้รับมาและคิดว่ามันเพียงพอที่จะทำให้เขาบรรลุขั้นสามของหมัดปีศาจวัว

เขาไม่ได้วางแผนที่จะปิดประตูบ่มเพาะ ตราบเท่าที่เขากินยาและฝึกฝนทุกวัน เขาจะประสบความสำเร็จในไม่ช้า เมื่อเวลานั้นมาถึง ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง และเขาก็จะมั่นใจมากขึ้นในการก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์

ท้องฟ้าค่อยๆสว่างขึ้น ห่าวปิงหยางมาเยี่ยมเขา เขาบอกหลี่ฉิงซานว่าจางหลานฉิงเสียชีวิตแล้ว

เขาตายด้วยน้ำมือของผู้ทำพิธี ทั้งหมดที่เขาโดนคือการโจมตีเพียงครั้งเดียวและเขาก็กลายเป็นความว่างเปล่า เขาไม่แม้แต่จะสามารถต่อสู้กลับ หากไม่ใช่ความจริงที่ว่าผู้ทำพิธีต้องการจับตัวห่าวปิงหยางทั้งเป็น เขาคงตายไปแล้วเช่นกัน

เมื่อเขากล่าวถึงเรื่องนี้ เสียงของห่าวปิงหยางก็กลายเป็นแหบแห้ง ขณะที่ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง

หลี่ฉิงซานถามหลังจากเงียบไปชั่วครู่ “มีสิ่งใดที่ข้าทำได้หรือไม่?”

“ข้าเพียงมาแจ้งข่าวกับเจ้า เขาได้รับการล้างแค้นแล้ว ข้าวางแผนที่จะไปเยี่ยมบ้านของเขาหลังจากนี้” ห่าวปิงหยางกล่าวอีกสองสามประโยคด้วยอาการเหม่อลอยก่อนจะจากไป

หลี่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ชั่วขณะก่อนที่เขาจะเข้าไปในป่าไผ่เพื่อฝึกฝนหมัดปีศาจวัว เขาฝึกฝนโดยไม่หยุดพักกระทั่งเขาหมดแรงและล้มลงบนพื้น

ท้องฟ้าสว่างแล้ว วันนี้พวกเขาจัดงานศพร่วมกันบนเกาะหลัก มันถูกเรียกว่างานศพแต่จอมยุทธ์ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ไม่เหลือแม้แต่ซากศพทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้ศพของพวกเขาจะถูกทิ้งไว้ พวกมันก็จะถูกส่งกลับบ้านเกิดของพวกเขา

ศิษย์ทั้งหมดลอยโคมไฟบนทะเลสายเพื่อระลึกถึงสหายที่จากไป

หลี่ฉิงซานมองแสงจากโคมไฟลอยหายเข้าไปในความมืด จากนั้นเขาก็กลับเกาะหลอมรวมเมฆาเพื่อฝึกฝนต่อไป

เม็ดยาเปลี่ยนเป็นพลังงานในร่างของเขา มันพลุ่งพล่านอยู่ภายในและรอเวลาที่จะถูกปลดปล่อย

…..

บนเกาะหลัก ภายในอาคารสูง ผู้นำสิบสองคนมารวมตัวกันที่นี่

นักพรตเต๋าขี้โมโหไม่พอใจอย่างยิ่งกับผลลัพธ์ การไล่ล่าผู้ทำพิธีบัวดำล้มเหลว เขาแทบระเบิดคำสาปแช่งใส่นักบวชรวมจิตที่ชำเลืองมองเขาแต่เขายังสามารถรั้งตัวเองไว้ได้เพราะบรรยากาศ

ตาแก่ฮวงพ่นควันยาสูบจำนวนมากออกมา สำนักการเกษตรประสบความสูญเสียอย่างหนัก มันไม่ใช่ในแง่ของศิษย์แต่เป็นไร้นาอันมีค่าของพวกเขา เมื่อผู้ทำพิธีของนิกายบัวขาวเห็นผลไม้จิตวิญญาณจำนวนมาก พวกเขาพยายามเก็บเกี่ยวโดยไม่คำนึกว่ามันสุกหรือไม่ แม้ตาแก่ฮวงจะนำพวกมันกลับคืนได้สำเร็จแต่มันก็ยังเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

ศิษย์เอกของพวกเขานั่งอยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างเงียบๆ

มีเพียงหวังฝูซื่อเท่านั้นที่ไม่มีศิษย์เอกนั่งอยู่ข้างหลัง ฮัวเฉิงซานปิดประตูบ่มเพาะโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้่งสิ้น

เสี่ยวอันสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำ ปิ่นไม้รวบผมของนางเป็นมวยแต่ผมของนางยังยาวลงไปถึงแผ่นหลัง หลังจากย่อยเมล็ดบัวดำ การบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ของนางยกระดับขึ้นอีกครั้ง มันผลักดันให้นางก้าวเข้าสู่ขั้นแปดในฐานะจอมยุทธ์พลังปราณทันที แน่นอนว่านางอธิบายกับทุกคนว่าเป็นเพราะเม็ดยาที่ได้รับจากนักบวชรวมจิต

หลี่ฉิงซานมองไปทางหรูซิงขณะที่ฝ่ายหญิงพยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ หายนะที่สั่นคลอนทั้งสำนักศึกษาดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบต่อนางมากนัก เขาเชื่อว่าหากไม่ใช่เพราะนางต้องคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นๆ นางคงเล่นมุกตลกฝืนของนางอย่างไม่เกรงกลัว

นี่ไม่ใช่เพียงเพราะนางเป็นหมอที่เห็นการบาดเจ็บล้มตายเป็นเรื่องปกติเท่านั้นแต่โดยพื้นฐานแล้วนางเป็นคนไร้หัวใจและเป็นสาเหตุที่หลี่ฉิงซานแสร้งจ้องมองนาง

ในฐานะผู้ดูแลหลักของสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ หลิวจางฉิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหลักเหมือนก่อนหน้า เขากระแอมไอเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนก่อนจะกล่าวว่า “ด้วยหายนะของสำนักศึกษาในครั้งนี้...”

หลังจากแสดงความเสียใจกับผู้จากไป เขาก็เปลี่ยนหัวข้อ “...แต่มันก็ช่วยเปิดโปงช่องโหว่มากมายในระบบของเรา เจ้าสำนักบางคนอ่อนแอและไร้อำนาจจนไม่แม้แต่จะสามารถรักษาป้ายประจำตัวของตนเอง คนเช่นนี้ยังกล้าดำรงตำแหน่งที่เขาไม่คู่ควรต่อไปอีกงั้นหรือ?”

เขาไม่ได้เอ่ยชื่อแต่สายตาของทุกคนจ้องไปที่หลิวฉวนเฟิงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสุดท้าย

หลิวฉวนเฟิงรู้สึกอึดอัดใจแต่เขาก็คุ้นเคยกับสิ่งนี้มานานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหลิวจางฉิงก็ไม่มีสิทธิ์ไล่เขาออกจากตำแหน่ง เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาสูญเสียป้ายประจำตัวเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของแผน ดังนั้นมันก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะหยุดสิ่งนี้

หลิวจางฉิงกล่าวต่อ “สำนักศึกษาของเราต้องการเจ้าสำนักที่มีความสามารถและมีความรับผิดชอบอย่างเร่งด่วนเพื่อดูแลค่ายกลบนเกาะหลอมรวมเมฆา”

หลี่ฉิงซานรู้สึกงุนงง แน่นอนว่าสองสำนักไม่สามารถอ้างสิทธิ์บนเกาะเดียวกัน

หลิวจางฉิงอธิบาย “เพื่อชดเชยความแข็งแกร่งที่หายไปของสำนักศึกษาของเราอย่างเร่งด่วนที่สุด ข้าขอแนะนำให้ตั้งสำนักใหม่ในสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์แห่งมณฑลชิงเหอ มันเป็นสำนักที่สามารถปกป้องค่ายกลบนเกาะหลอมรวมเมฆา ท่านฉู เชิญเข้ามา”