ตอนที่แล้วตอนที่ 259 ชาวเกาหลี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 261 เดินหมาก

ตอนที่ 260 ประธานาธิบดีอู่


ตอนที่ 260 ประธานาธิบดีอู่

“ก่อนหน้านี้พวกเราวางแผนที่จะซื้อบริษัทซัมซุง ซึ่งเป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลี แต่พวกเราถูกคนในประเทศคัดค้านอย่างรุนแรงและแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดของมูรติก็คือบริษัทในประเทศเกาหลีพวกนี้นี่เอง ดังนั้นตราบใดก็ตามที่เราสามารถตัดแหล่งเงินทุนของเขาได้ เขาก็คงจะไม่มีกำลังมากพอมาหาผลประโยชน์จากพวกเรา”

“นอกจากนี้ฉันยังจ้างบริษัทนักสืบในราคาที่สูงมากเพื่อทำการตรวจสอบเบื้องหลังของนักการเมืองทุกคนที่คอยสนับสนุนมูรติ ซึ่งตราบใดก็ตามที่คุณต้องการพวกเราก็สามารถจัดการกับคนพวกนี้ได้ทันที เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเราเริ่มดำเนินการกลยุทธ์ในครั้งนี้เราจะสามารถสับเปลี่ยนประธานาธิบดีให้กลายมาเป็นคนที่ไม่ต่อต้านเรา และมันก็จะทำให้เราสามารถจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ในอนาคตได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น” อันเดร์อธิบายแผนการที่เขาได้เตรียมการเอาไว้

“คุณลุงวางแผนมาดีแล้วครับ แต่ก็ไม่ควรจะปล่อยศัตรูของเราไป” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ

“เซี่ยเฟยนี่คุณไม่ได้คิดที่จะฆ่าพวกเขาใช่ไหม? การลอบสังหารประธานาธิบดีเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าหากว่าข่าวเรื่องนี้รั่วไหลออกไปมันจะส่งผลกระทบต่อบริษัทควอนตัมอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้นมูรติก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด ถึงแม้พวกเราจะฆ่าเขาแต่มันก็ยังมีหุ่นเชิดคนอื่น ๆ อีกอยู่ดี วิธีที่พวกเราสมควรจะต้องทำคือตัดฐานอำนาจทั้งหมดของพวกเขาออกไป” อันเดร์กล่าวหลังจากสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ถูกปล่อยออกมาจากเซี่ยเฟย

เรื่องที่อันเดร์พูดเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะท้ายที่สุดทุกคนที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีต่างก็ล้วนแล้วแต่มีผู้สนับสนุน และถึงแม้ว่ามูรติจะเสียชีวิตไปแต่กลุ่มอำนาจเบื้องหลังก็จะดันหุ่นเชิดคนใหม่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปอยู่ดี ซึ่งถ้าหากว่าข่าวเรื่องที่พวกเขาลงมือหลุดรอดออกไป มันก็จะมีเพียงแต่ฝ่ายพวกเขาที่จะได้รับความสูญเสีย

“ไม่ว่ายังไงมูรติก็จะต้องตายเพื่อเป็นการส่งคำเตือนไปยังผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของเขา ส่วนคนต่อไปที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นคนของเรา ไม่ใช่คนของพวกเขาอย่างเด็ดขาด!” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว

คำพูดนี้ถึงกับทำให้อันเดร์ชะงักไป เพราะเจตนาของเซี่ยเฟยคือพยายามบงการการเลือกตั้งและเข้าควบคุมสหพันธ์โลกทั้งหมด!

ไม่ใช่ว่าอันเดร์ไม่เคยคิดที่จะคอยชักใยเรื่องการเมือง แต่การทำแบบนั้นก็จำเป็นจะต้องใช้ความกล้าหาญและความพยายามเป็นอย่างมาก

ในสหพันธ์โลกมีประชากรอยู่มากกว่า 7,000 ล้านคนและมีผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่มากกว่า 5,500 ล้านคน ดังนั้นถ้าหากพวกเขาต้องการจะให้คนของตัวเองกลายเป็นประธานาธิบดี มันก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องได้รับการโหวตจากประชาชนประมาณ 3,000 ล้านคน

การพยายามชักจูงความเห็นของประชาชนเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แล้วมันก็จำเป็นจะต้องพึ่งพาระยะเวลาเพื่อให้ประชาชนหันมาสนับสนุนพวกเขาอีกด้วย

แต่ด้วยความแข็งแกร่งของบริษัทควอนตัมในปัจจุบัน มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในการเล่นการเมือง เพียงแต่อันเดร์ไม่กล้าตัดสินใจทำเรื่องยิ่งใหญ่แบบนี้ แต่เซี่ยเฟยเป็นพวกที่ทำอะไรอย่างบ้าคลั่งอยู่แล้ว

“เอาล่ะในเมื่อคุณตัดสินใจแล้วพวกเราก็มาลองดูกันเถอะ ฉันเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของบริษัทควอนตัมพวกเรา ย่อมสามารถผลักดันคนของตัวเองให้กลายเป็นประธานาธิบดีของสหพันธ์ได้” อันเดร์กล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักแน่น

“คุณลุงสนใจจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีไหมครับ?” เซี่ยเฟยถาม

สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องตลก เพราะท้ายที่สุดอันเดร์ก็เป็นคนในตระกูลรอธส์ไชลด์ที่มีชื่อเสียงอันโด่งดัง และคุณสมบัติในตัวของเขานั้นย่อมดีกว่าคนอื่น ๆ ที่เซี่ยเฟยรู้จักอย่างไม่ต้องสงสัย

“ในอายุขนาดนี้ฉันน่าจะวางมือจากทุกอย่างได้แล้ว ฉันไม่คิดว่าคนในรัฐบาลจะต้องการคนแก่ ๆ ไปเป็นประธานาธิบดีหรอก คุณหาคนอื่นมาดีกว่า” อันเดร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมาว่า

“ฉันพอจะรู้จักนักการเมืองดี ๆ อยู่บ้าง แต่ด้วยนิสัยของคุณฉันก็เกรงว่าคุณคงจะไม่ไว้ใจคนพวกนั้น”

เซี่ยเฟยมีนิสัยที่ไว้วางใจคนอื่นได้ยากมาก และคนที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปก็จะต้องเป็นคนที่เขาสามารถไว้วางใจได้เท่านั้น

แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่คิดที่จะเป็นประธานาธิบดีด้วยตัวเอง เพราะถ้าหากว่าโลกไม่ได้เป็นบ้านเกิดของเขา ป่านนี้ชายหนุ่มก็คงจะไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกไปแล้ว

“นึกออกแล้ว!” เซี่ยเฟยอุทานพร้อมกับตบต้นขาของตัวเองอย่างแรง

“ใคร? ฉันรู้จักเขาด้วยหรือเปล่า?” อันเดร์ถามด้วยความสงสัย

“แน่นอนว่าคุณลุงย่อมจะต้องรู้จักคนคนนี้ดี เพราะเขาคือพี่หลง!” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

อู่หลงรู้จักกับเซี่ยเฟยมานานและอันเดร์ก็ไม่เคยรู้สึกสงสัยในนิสัยใจคอของชายคนนี้เลย อย่างไรก็ตามธรรมชาติของอู่หลงไม่ใช่คนฉลาด และถึงแม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเขาจะพัฒนาตัวเองขึ้นมามาก แต่คุณสมบัติของเขาก็ยังคงห่างไกลจากการเป็นประธานาธิบดีอยู่ดี

“อู่หลงงั้นเหรอ? เขาน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการพูดชักจูงใจคนนะ…” อันเดร์กล่าวขึ้นมาอย่างมีชั้นเชิง เพราะท้ายที่สุดเขาก็นับถืออู่หลงไม่ต่างไปจากคนในครอบครัวของตัวเอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะพูดอย่างตรงไปตรงมามากเกินไป

“ไม่มีปัญหาหรอกครับ พี่หลงเปลี่ยนตัวเองไปเยอะมากและเขาก็ค่อนข้างจะเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ถึงยังไงผมก็มีเหตุผลที่เลือกพี่เขาขึ้นมา คุณลุงอย่าลืมสิว่าทวีปไหนมีประชากรมากที่สุดภายในสหพันธ์” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เอเชีย?” อันเดร์พูดขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ

“ใช่ครับ ชาวเอเชีย, ชาวแอฟริกันและชาวอเมริกาใต้คือคนส่วนใหญ่ที่ยังดิ้นรนต่อสู้กับความยากจน และพวกเขายังมีจำนวนเป็นอัตราส่วนมากกว่าครึ่งในสหพันธ์ ดังนั้นถ้าหากพวกเราต้องการจะชนะการเลือกตั้ง พวกเราก็จำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาเป็นอันดับแรก” เซี่ยเฟยกล่าว

“ฉันเข้าใจแล้ว! อู่หลงเป็นคนจีนมันจึงไม่ยากที่เขาจะได้รับการสนับสนุนจากประชากรชาวจีนที่มีจำนวนอยู่มากกว่า 1,300 ล้านคน นอกจากนี้เขายังเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ยากจน แต่อาศัยความพยายามจนประสบความสำเร็จในบริษัทควอนตัมได้ และมันก็จะทำให้คนจนคนอื่น ๆ มองเขาเป็นไอดอล!!” อันเดร์พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“เส้นทางชีวิตของพี่หลงเป็นเหมือนกับความฝันของคนจนทุกคนที่อยากจะหลุดพ้นจากชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง พวกเราสามารถใช้เรื่องราวพวกนี้ในการดำเนินนโยบายหาเสียงได้ และถ้าหากพวกเราจัดการเรื่องนี้ได้สำเร็จเขาก็จะถูกยกย่องให้เป็นไอดอลของคนจน” เซี่ยเฟยกล่าวเสริม

“แต่รัฐบาลในปัจจุบันถูกควบคุมโดยชาวยุโรปกับชาวอเมริกัน ฉันเกรงว่าการได้รับการสนับสนุนจากคนพวกนี้คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น” อันเดร์กล่าว

“ถึงยังไงมันก็ไม่มีนักการเมืองคนไหนได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทุกคนอยู่แล้ว สิ่งที่พวกเราต้องการคือเสียงข้างมากไม่ใช่เสียงของทุกคน นอกจากนี้พี่หลงยังมีตำแหน่งที่สูงมากในบริษัทของเรา ทำให้เขาถือว่าเป็นชนชั้นสูงในสหพันธ์อย่างไม่ต้องสงสัย ผมเชื่อว่าชาวยุโรปกับชาวอเมริกันบางคนจะต้องลงคะแนนให้กับเขาด้วย หากได้รวมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วผมก็เชื่อว่าโอกาสที่พี่หลงจะชนะการเลือกตั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากมากจนเกินไป” เซี่ยเฟยกล่าว

“ดูเหมือนพวกเราจะต้องจัดตั้งทีมหาเสียงขนาดใหญ่เพื่อช่วยอู่หลงเขียนคำปราศรัยและจัดตารางเวลาออกหาเสียงของเขาด้วยสินะ โชคดีที่ฉันมีเพื่อนที่ทำธุรกิจประเภทนี้มานานหลายสิบปี และเขาก็เคยทำงานให้ประธานาธิบดีคนก่อน ๆ ด้วย” อันเดร์กล่าว

“เขาไว้ใจได้ใช่ไหมครับ?” เซี่ยเฟยถาม

“ลองคิดดูสิว่าเขาเคยสนับสนุนประธานาธิบดีมาแล้วกี่คน แล้วเขาล่วงรู้ความลับเบื้องหลังของประธานาธิบดีมากแค่ไหน ถ้าเขาไม่ใช่คนปากหนักมากพอเขาก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้หรอก” อันเดร์กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ

“ที่คุณลุงพูดมาก็มีเหตุผล งั้นคุณลุงช่วยเชิญเขามาทำงานให้กับเราได้ไหมครับ ส่วนเรื่องค่าจ้างเอาตามที่เขาเรียกร้องมาได้เลย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“เขาเกษียณไปนานแล้ว แต่ฉันจะลองชวนเขาดู” อันเดร์กล่าว

“จำไว้ว่าผมยอมทุ่มไม่อั้น! ทำยังไงก็ได้ให้เขามาเป็นที่ปรึกษากับเราให้ได้” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง

หลังจากนั้นเซี่ยเฟยกับอันเดร์ก็พูดคุยกันเป็นเวลานานเพื่อวางกลยุทธ์ให้พวกเขาได้รับคะแนนเสียงกลับมาให้ได้มากที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะต้องจัดการในก่อนหน้านั้นคือการทำให้ประธานาธิบดีคนปัจจุบันหลุดพ้นจากตำแหน่ง

สำหรับเซี่ยเฟยการสังหารมูรติเป็นเพียงแค่เรื่องง่าย ๆ แต่มันก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีสำหรับแผนการของเขาเลย เพราะเมื่อไหร่ที่ประธานาธิบดีถูกลอบสังหารทั่วทั้งสหพันธ์จะเข้าสู่สภาวะฉุกเฉิน หลังจากนั้นรองประธานาธิบดีจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งจนกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินจะจบลง ก่อนที่มันจะได้มีการจัดตั้งการเลือกตั้งในรอบใหม่ขึ้นมา

ช่วงเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินอาจจะยาวหรือสั้นก็ได้ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ของรัฐบาล แต่สิ่งที่เซี่ยเฟยต้องการคือการผลักดันอู่หลงให้ขึ้นมารับตำแหน่งโดยเร็วที่สุด ดังนั้นการลอบสังหารประธานาธิบดีจึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาในเวลานี้เลย

ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงต้องหาทางบีบบังคับให้มูรติยอมก้าวเท้าลงจากตำแหน่ง และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีแล้ว แม้ว่าเขาจะถูกสังหารแต่มันก็จะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้นมาเหมือนกับในตอนที่เขายังคงดำรงตำแหน่ง

แต่การพยายามรวบรวมหลักฐานเพื่อปลดประธานาธิบดีก็เป็นเหมือนกับดาบสองคม เพราะท้ายที่สุดนักสืบเอกชนก็ยังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่เช่นกัน แล้วใครจะกล้ารับประกันว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศพวกเขา

หลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน เซี่ยเฟยก็มอบหมายให้บริษัทนักสืบเอกชนหลาย ๆ บริษัทแยกย้ายกันไปหาข้อมูลของมูรติ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะส่งนักฆ่าแอบติดตามนักสืบพวกนี้ไปด้วย และตราบใดก็ตามที่มีใครทรยศคนพวกนั้นก็จะถูกมือสังหารปิดปากในทันที

อย่าลืมว่าอีกตัวตนหนึ่งของเซี่ยเฟยคือตัวแทนของสำนักเงาสังหาร และเขาก็สามารถขอความช่วยเหลือให้ศิษย์ในสำนักมาคอยทำงานอย่างลับ ๆ ให้กับเขาได้

กว่าจะพูดคุยเรื่องทั้งหมดจนจบเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงของอีกวันหนึ่งแล้ว เซี่ยเฟยจึงได้เชิญอันเดร์ขึ้นแวมไพร์เพื่อมุ่งหน้าไปยังนิวยอร์กซึ่งเป็นที่อยู่ของอู่หลงในปัจจุบัน

ณ ห้องทำงานของอู่หลงบนชั้น 19 ของสำนักงานใหญ่บริษัทควอนตัม

เวลาที่ฮาวายกับนิวยอร์กต่างกันประมาณ 6 ชั่วโมง แต่ถึงแม้ว่าท้องฟ้าด้านนอกจะเริ่มมืดแล้วแต่อู่หลงก็ยังคงยุ่งอยู่กับงานของเขา

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“เข้ามา!”

เซี่ยเฟยกับอันเดร์เดินเข้าไปในห้องทำงานด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเห็นอู่หลงก้มหน้าทำงานโดยไม่ได้สังเกตเห็นแขกทั้งสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในห้องเลย

“นั่งลงก่อน ขอฉันจัดการเอกสารพวกนี้แป๊บหนึ่ง” อู่หลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเขาคิดว่าคนที่เพิ่งเข้ามาคือเลขาหรือแขกธรรมดาเท่านั้น

อันเดร์พยายามจะเตือนอู่หลงว่าแขกที่มาเยือนในครั้งนี้คือเซี่ยเฟย แต่ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นมาห้ามด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งรอบนโซฟาอย่างเงียบ ๆ และมองดูชายฉกรรจ์คนนี้ทำงานอย่างจริงจัง

อู่หลงในวันนี้ดูแตกต่างจากอู่หลงที่เซี่ยเฟยเคยรู้จักมาก เพราะในปัจจุบันเขาได้แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นอย่างดี จนทำให้เขาดูไม่ต่างไปจากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

อู่หลงจริงจังกับงานของตัวเองมากและไม่เคยเงยหน้าขึ้นมามองแขกเป็นเวลานานกว่า 10 นาที น่าเสียดายที่เขายังคงใช้คอมพิวเตอร์ไม่เก่ง เขาจึงจัดการเอกสารทุกอย่างด้วยมือของตัวเอง และใครจะไปรู้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีเอกสารผ่านมือของเขามาทั้งหมดเท่าไหร่แล้ว

ท่าทางของอู่หลงทำให้ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พร้อมกับคิดว่าแผนการทุกอย่างที่เขาคิดขึ้นมาเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดอู่หลงก็เงยหน้าขึ้นมามองแขก

“ห๊ะ! เซี่ยเฟย! ลุงอันเดร์!” อู่หลงอุทานขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง

“นี่พวกคุณทำอะไรกันเนี่ย! ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย ฉันก็คิดว่าคนที่เข้ามาเป็นเลขาซะอีก” อู่หลงพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ก่อนที่จะเดินมาข้าง ๆ เซี่ยเฟยด้วยความกระตือรือร้น

“พี่ทำธุระของพี่ไปเถอะ พวกเรารอได้ครับ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มันไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอก ฉันแค่ตรวจงานประจำวันแค่นั้นเอง แต่แม่เคยบอกว่าฉันไม่ใช่คนฉลาดฉันเลยต้องคอยตรวจสอบเอกสารพวกนั้นอย่างใจเย็น” อู่หลงกล่าวพร้อมกับตบไหล่ทักทายเซี่ยเฟย

เคยมีคำกล่าวว่าการทำงานหนักสามารถชดเชยความอ่อนแอได้ ซึ่งอู่หลงก็เป็นตัวอย่างที่ดีของคำพูดข้างต้นนี้และเซี่ยเฟยก็รู้สึกชื่นชมชายคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม

หลังจากที่ทั้งสามทักทายกันแล้ว อู่หลงก็โทรหาเลขาด้วยความโมโหพร้อมกับบ่นว่าทำไมไม่บอกเขาก่อนว่าเซี่ยเฟยกับอันเดร์มาหา แต่ชายหนุ่มก็พยายามอธิบายว่าเขาเป็นคนขอไม่ให้เลขารายงานเรื่องที่เขามาเอง

เซี่ยเฟยกับอันเดร์รออู่หลงทำงานอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางไปยังภัตตาคารที่มีชื่อเสียง

“แม่ของพี่ไม่เคยบอกให้พี่หาแฟนสักคนบ้างเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เคยบอกอะไรล่ะ แม่พยายามหาผู้หญิงมาให้ฉันตลอด แต่ฉันพยายามหาข้ออ้างว่าฉันกำลังยุ่งอยู่กับงาน ไม่มีเวลาไปสนใจพวกเธอหรอก ว่าแต่นายคิดว่าฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” อู่หลงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

อู่หลงมีอายุเกือบจะ 40 ปีแล้วแต่เขาก็ยังไม่ได้แต่งงานทำให้แม่ของเขารู้สึกกังวลในเรื่องนี้มาก เธอจึงพยายามพูดคุยกับอันเดร์เพื่อขอให้เขาเกลี้ยกล่อมให้อู่หลงยอมแต่งงานมีครอบครัวเสียที

“ผมว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่น่าจะมีครอบครัวกันหมดแล้วนะครับ ในความคิดของผมมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายหากพี่จะแต่งงาน ด้วยหน้าที่การงานกับนิสัยของพี่ผมเชื่อว่าคงมีสาว ๆ ต่อคิวรอพี่อยู่เพียบแน่ ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ในตอนตั้งบริษัทควอนตัมอันเดร์กับอู่หลงได้ถือหุ้นอยู่คนละ 10% แต่หลังจากที่บริษัทได้ขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ อันเดร์กับอู่หลงก็ได้นำหุ้นทั้ง 20% ของพวกเขาเข้าสู่กองทุนผู้บริหาร ทำให้ไม่ว่าจะเป็นซาร่า, ชาร์ลีหรือโบเดนต่างก็มีส่วนร่วมในหุ้นที่พวกเขาถือด้วย อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงได้รับเงินเดือนเป็นจำนวนมากและหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในชื่อของเซี่ยเฟย

“จริง ๆ ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยคิดเรื่องการสร้างครอบครัวนะ แต่ฉันไม่ค่อยมีเวลาจริง ๆ แค่การตรวจเอกสารพวกนั้นทุกวันก็ทำให้ฉันเหนื่อยมากแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่เพราะนายฉันก็คงจะไม่มีทุกอย่างเหมือนในวันนี้ ดังนั้นฉันจะต้องคอยช่วยงานบริษัทให้ได้มากที่สุด” อู่หลงกล่าว

คำพูดนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสะเทือนใจ เพราะทุกคนต่างก็เห็นความพยายามของอู่หลงด้วยตาของตัวเอง ท้ายที่สุดคนอื่น ๆ ต่างก็มีความสามารถเฉพาะด้านก่อนเข้ามาทำงาน แต่อู่หลงคือคนที่พยายามอย่างหนักเพื่อเรียนรู้งานในด้านต่าง ๆ ก่อนจะขึ้นมายืนยังจุดนี้อย่างสมภาคภูมิ

“ลุงว่าผู้หญิงคนไหนพอจะเหมาะกับพี่หลงบ้างครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับมองไปทางอันเดร์

“ฉันคิดว่าคงจะมีคนที่เหมาะสมกับเขาอยู่ไม่มากนัก เพราะสถานะของอู่หลงค่อนข้างพิเศษ แม้ลูกสาวคนสุดท้องของแกรนด์ดยุกในโมนาโกจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่เธอก็ขึ้นชื่อเรื่องนิสัยที่ไม่ค่อยดี ฉันว่าลูกสาวของแม่นายกกรีกน่าจะเหมาะสมที่สุด เธอทั้งหน้าตาดี, มีการศึกษาที่เพียบพร้อมแล้วก็เป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนาง” อันเดร์กล่าวหลังจากพยายามครุ่นคิดถึงผู้หญิงที่เขารู้จัก

“หยุด! หยุดเลย! ผู้หญิงพวกนั้นมันเกี่ยวอะไรกับผม” อู่หลงพยายามหยุดความคิดของอันเดร์เอาไว้

“พี่หลง ผมว่าด้วยสถานะของพี่ พี่ควรแต่งงานได้แล้วนะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“สถานะอะไร?” อู่หลงถามด้วยความไม่เข้าใจ

“อ๋อผมลืมบอก ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี อีกไม่นานพี่จะได้เป็นประธานาธิบดีของสหพันธ์” เซี่ยเฟยกล่าวราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

พรวด!

อู่หลงพ่นแชมเปญที่เขาเพิ่งดื่มเข้าไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างมองไปทางเซี่ยเฟยด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“ประธานาธิบดีอู่ ทำไมคุณถึงประหม่าแบบนี้ ถ้านี่เป็นงานเลี้ยงของสภาการพ่นแชมเปญออกมาถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติแขกนะ” อันเดร์พูดแซวขึ้นมาจากด้านข้าง

***************

ปล.เรื่องนี้มี E-Book แล้วน๊า สามารถซื้อสะสมหรืออ่านกันได้ทางแอพ meb และปิ่นโตได้เลยนะคะและขอบคุณที่ติดตามผลงานกันน๊า

ตอนนี้กำลังจัดเต็ม เล่มแรกโหลดฟรี เล่มที่ 2 ลด 20% ไปเล้ยยยย

meb https://bit.ly/3NZ3Qca ปิ่นโต https://bit.ly/3M9vXUI

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด