ตอนที่แล้วตัวประกอบแรงค์ EX — 0082
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตัวประกอบแรงค์ EX — 0084

ตัวประกอบแรงค์ EX — 0083


23. อัตราการเข้าเรียน 50% (3)

* * *

มินกือรินสวมไอเท็มที่ฉันยื่นให้โดยไม่ลังเล

เธอเดินไปหยุดยืนหน้าประตูห้องเรียนปี 1/0 แต่สองจิตสองใจไม่กล้าเปิดเข้าไป

ดูเหมือนว่าจำนวนนักเรียน ‘ที่มากเกินไป’ ซึ่งเคยเห็นตอนสอบกลางภาคจะยังคอยรบกวนจิตใจอยู่

“ขอแค่เธอเข้าไป ฉันจะยกการ์ดนั่นให้”

“รู้แล้วน่า!”

มินกือรินกลืนน้ำลายพลางเหยียดแขนไปหาประตู

ระหว่างนั้น ฉันเปิดดีไวซ์แล้วรันโปรแกรมที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า

ครืด!

เมื่อประตูห้องเปิดออก มินกือรินมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าประหม่า จากนั้นก็อ้าปากกว้าง

แม้จะตกตะลึง แต่เธอไม่วิ่งหนี

“น…นี่มัน… สตูดิโอของอาจารย์!”

สิ่งที่ฉันยื่นให้มินกือรินคือแว่น AR (Augment Reality)

เมื่อเชื่อมต่อกับดีไวซ์ แว่น AR จะทำให้ผู้สวมได้เห็นโลกเสมือนจริง

ตอนนี้มินกือรินกำลังสวมแว่น AR แทนแว่นเลนส์เปล่าของเธอ

‘เพื่อจะหลอกล่อมินกือริน เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เธอคุ้นเคย’

ถ้าเปลี่ยนฉากหลังให้เป็นสตูดิโอวาดรูปของอาจารย์เธอ – ฮงคยุงบ๊ก – ผลลัพธ์คงออกมาดีกว่าห้องเรียนที่เธอเคยเผ่นหนีไปเมื่อคราวก่อน

แว่น AR ซึ่งเชื่อมกับดีไวซ์ของฉัน เปลี่ยนให้ห้องเรียนเดิมๆ กลายเป็นสตูดิโอวาดภาพ

ย้อนกลับไปในตอนที่มินกือรินเริ่มสร้างความฮือฮาแก่วงการศิลปะเกาหลี ภาพถ่ายสตูดิโอของฮงคยุงบ๊กถูกเผยแพร่ไปทั่วประเทศ ฉันจึงเลียนแบบได้ไม่ยากเย็น

‘แต่สตูดิโอกับห้องเรียนมีขนาดและโครงสร้างต่างกันพอสมควร คงเลียนแบบให้สมจริงทุกกระเบียดนิ้วได้ยาก…’

โต๊ะเรียนถูกเปลี่ยนเป็นโต๊ะไม้เคลือบเงา ตามผนังประดับตกแต่งด้วยภาพวาดของฮงคยุงบ๊กและมินกือริน

บนโต๊ะซึ่งเคยว่างเปล่า เรียงรายไปด้วยกระดาษเกาหลีโบราณ พู่กัน ผงหมึก แท่งหมึก หินฝนหมึก ผงทองคำ ขวดใส่น้ำ และหลอดหยดน้ำสไตล์โบราณ

ถ้ามองผ่านแว่นตา AR ที่ฉันตั้งค่าไว้ ห้องเรียนปี 1/0 จะดูไม่ต่างจากสตูดิโองานศิลป์

นอกเหนือจากฉากหลัง ฉันยังเตรียมการอย่างอื่นเอาไว้ด้วย

“เธอมาจริงๆ!”

“คนที่แวะมาตอนสอบกลางภาคนี่นา”

“…กือริน!”

เด็กปี 1/0 กำลังนั่งเรียงกันเป็นวงกลม

ถ้าไม่นับมินกือริน ในห้องมีทั้งสิ้นเจ็ดคน

ถือว่า ‘เยอะ’ ตามมาตรฐานของมินกือริน แต่เธอกลับไม่หนี

ตรงกันข้าม มินกือรินพึมพำด้วยน้ำเสียงล่องลอย

“ไก่… ก้อนหิน… ไวโอลิน…”

หญิงสาวกล่าวขณะมองไปทางซาวอลเซอึม เม็งเฮียวทง และอีเรนา

“เอ๋?”

“…อะไรนะ?”

“ต้องหมายถึงฟิลเตอร์ของมาร์เกอร์*ที่โชอึยชินให้พวกเราใส่แน่เลย!” (Marker)

อีเรนาเดาถูก

ไม่เหมือนกับฉากหลังที่อยู่นิ่ง เป็นการยากมาก หากหวังจะให้แว่น AR ไล่ตามการเคลื่อนไหวของวัตถุ

แต่มนุษย์ก็คิดค้นเทคโนโลยีหนึ่งขึ้นมาชดเชย

สิ่งนั้นเรียกว่า ‘มาร์เกอร์พิเศษ’

‘เมื่อคืนโชคดีมากที่ร้านขายแว่น AR กับมาร์เกอร์ยังไม่ปิด’

ในความเป็นจริง ‘ใบหน้า’ นั้นสามารถแทนมาร์เกอร์ได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายหันหลังอยู่หรือหันหน้าไม่เต็ม แว่น AR ก็จะจับภาพใบหน้าได้ไม่สมบูรณ์ และเมื่อนั้นฟิลเตอร์ก็จะหลุด

‘นั่นจะทำให้มินกือรินตื่นตระหนก’

สำหรับโลกใบนี้ หากใช้มาร์เกอร์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดพิเศษ แว่น AR สามารถ ‘แทน’ ข้อมูลของวัตถุนั้นได้ตามการตั้งค่าของมาร์เกอร์

หรือกล่าวได้ว่า ถ้านักเรียนในห้องสวมมาร์เกอร์ที่ฉันแจกจ่ายให้ล่วงหน้า ฟิลเตอร์ของแว่น AR จะเปลี่ยนให้พวกเขามีรูปลักษณ์ตามการตั้งค่าของฉัน

“เฮ้ย! อะไรคือก้อนหินฟะ! รองหัวหน้าห้อง!”

“ไก่… ทำไมกัน…”

ทุกคนในห้องถูกเปลี่ยนให้เป็นตุ๊กตายัดนุ่นสูงเท่าเด็กแปดขวบ

ตุ๊กตาทุกตัวสวมผ้ากันเปื้อนลายเดียวกับที่ใช้ในสตูดิโอของฮงคยุงบ๊ก เพื่อสร้างความคุ้นเคยในระดับสูงสุด

บริเวณใบหน้าของตุ๊กตาทุกตัวจะมี ‘ภาพ’ แปะไว้เพื่อแยกแยะบุคคล

ภาพบนใบหน้าตุ๊กตาตัวแทนเม็งเฮียวทงและซาวอลเซอึม คือก้อนหินกับไก่ตามลำดับ

“ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสร้างฉากหลัง จนแทบไม่เหลือเวลาออกแบบใบหน้า”

สำหรับฉัน แค่ไม่ให้เหมือนมนุษย์ก็พอแล้ว

“กือริน… ของฉันเหมือนอะไร?”

“ของฉันด้วย”

ไม่นานเด็กๆ ในห้องก็เดินมามุงมินกือริน

ถึงจะประหม่าเล็กน้อย แต่เธอก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ดูท่าการใช้ตุ๊กตาเป็นตัวแทนจะได้ผล มินกือรินผ่อนคลายลงหลายส่วน

“นี่เป็นไก่… นี่เป็นก้อนหิน… แล้วก็…”

รูปภาพทั้งหมดที่ฉันใส่บนใบหน้าตุ๊กตายัดนุ่นประกอบไปด้วย

ซาวอลเซอึม – ไก่

เม็งเฮียวทง – ก้อนหิน

อีเรนา – ไวโอลิน

วังจีโฮ - เสือ

คิมยูรี - ดอกแม็กโนเลีย

ฮันอี - เค้ก

และคนสุดท้าย ฉัน - ตัวหมากรุก

“เปลี่ยนของฉันได้ไหม?”

“บ้าจริง! ทำไมถึงมีแค่เราสองคนที่ห่วยล่ะ!”

วังจีโฮกับคนอื่นๆ ดูจะพึงพอใจกับภาพของตัวเอง แต่เม็งเฮียวทงกับซาวอลเซอึมต่อต้านอย่างรุนแรง

ท่ามกลางเสียงบ่น ฉันครุ่นคิดพลางมองมินกือรินกำลังแลกดีไวซ์โค้ดกับสาวๆ ในห้อง

‘โล่งอกไปที กลยุทธ์บ้าๆ ด้วยการใช้แว่น AR สำเร็จลุล่วงด้วยดี’

หากผู้ที่ป่วยเป็นโรค ‘ฝังใจกับคนหมู่มาก’ ได้เห็นกลุ่มคนจำนวนเกินกว่าที่กำหนดในระยะสายตา ร่างกายผู้ป่วยจะตอบสนองผิดไปจากคนปกติ

‘โรคกลัวการเข้าสังคมไม่ได้ขึ้นอยู่กับจิตใจเพียงอย่างเดียว… ถ้าเห็นว่ามีคนจำนวนมากอยู่ตรงหน้า ร่างกายจะตอบสนองไปเองโดยมิอาจขัดขืน’

เมื่อสมองรับรู้ผ่านสายตาว่า ‘มีคนอยู่’ ไฮโปทาลามัสและต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนกับอะดรีนาลีน จนร่างกายเกิดภาวะผิดปกติ

รูม่านตาขยายตัว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง มือเท้าสั่นเพราะกล้ามเนื้อเกร็ง และแน่นหน้าอกเพราะหายใจไม่ออก

ร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่ง หากไม่หมดสติ ณ ตรงนั้นก็ต้องหันหลังวิ่งหนี

‘ตอนนี้คงรักษาแผลใจของมินกือรินให้หายขาดแบบถอนรากถอนโคนไม่ได้ แต่ก็สามารถแก้ไขจากปลายเหตุไปได้เรื่อยๆ’

ในวันสอบกลางภาค มินกือรินเผ่นหนีกลับไป ทั้งที่ยังไม่มีใครในห้องพูดอะไรสักคำเดียว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปัญหาอยู่ตรง ‘จำนวน’ บุคคลที่เธอเห็น

คำนึงจากเรื่องนั้น ฉันเชื่อว่าการปรับแต่ง ‘ทัศนวิสัย’ จะช่วยหลอกสมองของเธอได้

และเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ก้าวหน้าเพียงพอสำหรับการบรรลุเป้าหมาย

“กือรินกินหวานได้ไหม? พวกเราเตรียมคุกกี้รสขิงไม่ใส่น้ำตาลมาด้วยนะ”

“…กินหวานได้”

“แล้วกินครอฟเฟิลได้ไหม? มันจะอร่อยมากถ้ากินตอนน้ำตาลกึ่งไหม้”

“กินได้…”

ขณะมินกือรินเอื้อมมือไปรับครอฟเฟิลจากคิมยูรี ประตูห้องเรียนเปิดออก

ครืด!

ฮัมกึนยองมาถึงห้องก่อนกริ่งเปลี่ยนคาบจะเริ่มเสียอีก

คงเพราะนักเรียนเตรียมจัดงานวันครูกันอย่างเปิดเผย เขาจึงพยายามมาให้เร็วเพื่อให้มีเวลาเหลือมากขึ้น

ฮัมกึนยองทำหน้าประหลาดใจเมื่อได้เห็นมินกือรินนั่งอยู่ระหว่างกลุ่มเด็ก

“แปดคน…”

“ฝีมืออึยชินค่ะ!”

คิมยูรีเป็นตัวแทนห้องสรุปเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ

เมื่อเล่าถึงส่วนของมาร์เกอร์ ฉันเป็นคนอธิบายต่อ

โดยอ้างว่าเมื่อครั้งได้เห็นมินกือรินตอนสอบกลางภาค ฉันทึกทักเอาว่าเธอเป็นคนขี้อาย

จึงเชื่อว่าแว่น AR จะช่วยให้เธอปรับตัวเข้ากับโรงเรียนได้

“อย่างนี้นี่เอง…”

ได้ยินคำอธิบาย ฮัมกึนยองยิ้มอย่างอบอุ่นขณะมอง ‘เข็มกลัด’ มาร์เกอร์บนตัวเด็กๆ

ครูประจำชั้นผู้กำลังยิ้มด้วยหน้าดุๆ ของเขา ผงกศีรษะหนึ่งครั้งแล้วหันมาหาฉัน

คงเป็นวิธีการแสดงความขอบคุณสินะ

“ข…ของขวัญค่ะ!”

ฮัมกึนยองพูดจบ มินกือรินรีบวิ่งไปยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยื่นถุงกระดาษให้

ในถุงกระดาษมีกระดาษเกาหลีโบราณ

บนกระดาษมีภาพดอกคาร์เนชั่นที่วาดด้วยหมึกดำล้วน

การตวัดพู่กันตรงส่วนใบเป็นไปอย่างเฉียบขาด และบริเวณลำต้นก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

“กือรินวางเองหรือ”

“วาดสวยมาก…!”

“สุดยอด… ยังกับภาพในแกลลอรีงานศิลป์เลย!”

แม้เด็กเก็บตัวอย่างมินกือรินจะไม่มีอุปกรณ์ดีๆ ให้ใช้ แต่ผลงานกำลังป่าวประกาศตัวเองว่าเธอมีพรสวรรค์เพียงใด

“ขอบคุณมาก มินกือริน”

ฮัมกึนยองรับภาพไว้ด้วยรอยยิ้มสดใส

แต่เนื่องจากเป็นภาพวาดฝีมือเด็กอัจฉริยะแห่งวงการศิลปะเกาหลี มูลค่าย่อมต้องสูง ฮัมกึนยองจึงมิอาจรับไว้และทำได้แค่นำมาประดับห้อง

“งั้นมาร้องเพลง ‘พระคุณที่สาม’ แล้วแบ่งเค้กกันเถอะ!”

คิมยูรีพูดขณะยืนข้างฮัมกึนยองพลางถือกระเช้าดอกคาร์เนชั่น

หลังจากร้องเพลงพระคุณที่สามจบ ถึงเวลาปาร์ตี้ของว่างของปี 1/0

ตอนแรกก็กลัวว่ามินกือรินจะชิ่งกลับก่อน แต่เธอก็นั่งร่วมโต๊ะกับพวกเราจนจบ

“นานมากแล้วที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะกับเพื่อนคนอื่นนอกจากแดซอก…”

มินกือรินพึมพำงึมงำ

วันครู

ห้องเรียนของเรามีนักเรียนแปดคนแล้ว

อัตราการเข้าร่วมถึง 50% เสียที

* * *

ช่วงพักเที่ยง

ม้านั่งบนทางเดินสำหรับเด็กปีหนึ่ง

กินมื้อเที่ยงเสร็จ ฉันนั่งตบท้ายมื้ออาหารด้วยกาแฟกระป๋องพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

‘มินกือรินบอกว่าหลังจากนี้จะมาเรียนทุกเช้า… อัตราการเข้าเรียนถึง 50% จนได้สินะ’

เธอสัญญาว่าจะเข้าเรียนคาบโฮมรูมเช้า รวมถึงวิชาสามัญในห้องเรียนปี 1/0 ทุกๆ เช้า

นอกจากนั้นฉันยังยก ‘หยดน้ำเจือลมหายใจนางเงือก’ ให้เธอตามสัญญา

ตอนแรกมินกือรินจะขอซื้อแว่น AR ด้วยเงินตัวเอง แต่ก็ต้องปิดปากสนิทเมื่อได้ฟังราคา

เธอขอโทษขอโพยพร้อมกับสัญญาว่าจะวาดรูปให้ฉันแทน

‘ถ้านำไปขายคงซื้อแว่น AR ได้สองสามอัน แล้วยังเหลือเงินทอนอีก’

แต่แน่นอน ฉันไม่คิดจะขายภาพที่ตัวละครวาดเองกับมือ

‘อยากรู้จริงๆ ว่ามินกือรินจะวาดภาพแบบไหนหลังจากก้าวข้ามแผลใจได้’

ฉันจะยังไม่รับภาพวาดจากเธอ จนกว่ามินกือรินจะถอดแว่น AR แล้วมาโรงเรียนด้วยตัวเองได้

ขณะเรียบเรียงความคิดพลางดื่มกาแฟกระป๋อง เสียงของคนรู้จักดังขึ้น

“อยากกินมื้อเที่ยงกับกือรินจังเลยน้า~”

“ที่โรงอาหารคงมีคนเยอะไป”

“คราวหน้าแยกไปกินข้างนอก หรือไม่ก็กลับไปกินที่ห้องเรียนกันเถอะ!”

“อื้อ!”

เป็นเสียงของอีเรนา ฮันอี และคิมยูรี

ดูท่าพวกเธอจะรั้งมินกือรินให้อยู่กินมื้อเที่ยงด้วยกันไม่สำเร็จ

แต่หลังจากสัปดาห์หน้า มินกือรินคงจะได้อยู่กินมื้อเที่ยงกับเด็กสาวทั้งสาม

“วันนี้ฉันมีสอบย่อยวิชาแนะนำเอนามี… ขอตัวก่อนนะ”

“อื้อ เจอกันตอนโฮมรูมเย็นนะ!”

“ไว้เจอกัน ฮันอี”

ฮันอีโบกมืออำลาแล้วเดินไปทางห้องเรียน

ฉันเองก็ลงเรียนวิชาแนะนำเอนามีของครูกงชองวอนด้วยเหมือนกัน

…วันนี้มีสอบย่อยนี่หว่า

‘ตามไปให้ฮันอีช่วยติวก่อนสอบดีไหม?’

คิดได้แบบนั้น ฉันรีบดื่มกาแฟในกระป๋อง

แต่ยังไม่ทันจะดื่มเสร็จ เสียงเพื่อนร่วมชั้นดังขึ้นอีกครั้ง

“อึยชินนี่นา!”

“ว่าจะส่งข้อความไปหาอึยชินอยู่พอดี…”

ดูท่าทั้งสองจะมีธุระกับฉัน

ขณะนั่งดื่มกาแฟบนม้านั่ง คิมยูรีกับอีเรนาเดินเข้ามาใกล้

“อึยชิน เรามีเรื่องจะขอร้อง”

…อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่จองตั๋ว

“ฉัน เรนา กับเฮียวทงไปตลาดดอกไม้ด้วยกันใช่ไหม? แต่ดูเหมือนเฮียวทงจะไม่สนใจดอกไม้ เราก็เลยบอกให้เขารออยู่ในร้านเกม VR…”

คิมยูรีเล่ากระบวนการของทีมซื้อดอกไม้

ในสายตาคิมยูรี เม็งเฮียวทงดูจะเหน็ดเหนื่อยกับการผจญภัยในตลาดดอกไม้มาก

เธอจึงอยากให้เขาไปพัก

แต่เม็งเฮียวทงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยืนกรานว่าจะตามไปด้วย

“เรามารู้ทีหลังว่าเฮียวทงอยากซื้อดอกคาร์เนชั่นแยกอีกชุด… เขาขอให้เราช่วยเลือกดอกไม้สำหรับมอบให้ครูโรงเรียนม.ต้น”

เม็งเฮียวทงเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยเรียนมัธยมต้น เขาสนิทกับครูสอนเลขตอนม.3 แค่คนเดียว

และครูคนนั้นคู่ควรกับคำว่าครูอย่างแท้จริง

“เขาซื้อกระเช้าดอกไม้มาแล้ว และตามพวกเราไปนัมแดมุนเพื่อซื้อของตกแต่งที่เป็นสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์… แต่ตอนนี้ดูเหมือนเฮียวทงจะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรนำกระเช้าไปให้ครูดีไหม”

“ใช่ เขาเก็บกระเช้าดอกไม้ไว้ในล็อกเกอร์หลังห้อง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะติดต่อกลับไปยังโรงเรียนม.ต้นหรือครูคนนั้นเลย”

“ถ้าปล่อยเอาไว้ เฮียวทงคงนำกระเช้าดอกไม้ไปมอบให้ครูสอนเลขไม่ทันวันครูแน่”

ยังคงลังเลแม้จะซื้อกระเช้าดอกไม้มาแล้ว?

‘จริงสิ… เม็งเฮียวทงไม่เคยมีแม้กระทั่งสมาร์ตโฟน ย่อมไม่ทราบช่องทางติดต่อครูประจำชั้นตอนม.3… และคงไม่อยากติดต่อกลับไปหาโรงเรียนที่ไม่เคยมีความทรงจำดีๆ’

ดังนั้น พอถึงเวลาต้องแวะไปหาด้วยตัวเอง ความลังเลจึงก่อตัว

‘ถ้ารอไปตอนหลังเลิกเรียน ครูสอนเลขของเม็งเฮียวทงคงกลับบ้านไปแล้ว เว้นเสียแต่จะทำโอที’

โรงเรียนม.ต้นจะเลิกเร็วกว่าม.ปลายเล็กน้อย

ยิ่งเม็งเฮียวทงลังเลนานเข้า เขาจะยิ่งพลาดโอกาสยื่นกระเช้าดอกคาร์เนชั่นก่อนหมดวัน

“อึยชินช่วยเฮียวทงได้ไหม? ใจจริงก็อยากช่วยเอง แต่ดูแล้วเขาลำบากใจเวลาอยู่กับฉันและเรนา…”

คิมยูรีพูดอ้อมๆ

เม็งเฮียวทงยังไม่กล้าคุยกับสองสาวอีกหรือ?

‘ถ้าคนสมองก้อนหินอย่างเม็งเฮียวทง ยังกล้าเลือกเรียนคณิตศาสตร์เพื่อแสดงความเคารพต่อครูคนนั้น… หากไม่รีบยื่นกระเช้าดอกไม้ให้ทัน เขาคงเสียใจไปอีกนานแน่’

เม็งเฮียวทงสมัยมัธยมต้น

นิสัยส่วนตัวของเขา

คาบเรียนในวันนี้และเวลาที่เหลือ

จัดระเบียบความคิดเสร็จ ฉันตัดสินใจได้แล้วว่าต้องทำอย่างไร

ของแบบนี้ง่ายกว่าจองตั๋วเยอะ

‘ครูกงชองวอน… ฮันอี… ฉันขอโทษ’

ดูท่าจะต้องโดดเรียนวิชาแนะนำเอนามีอีกแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

“ได้สิ”

ฉันตอบคิมยูรีกับอีเรนาด้วยเสียงผ่อนคลาย

“จริงหรือ? ขอบคุณนะ!”

“ดีจังเลย”

ทันใดนั้น สองสาวมองหน้าฉันด้วยตาลุกวาว ก่อนจะหันไปยิ้มกันเอง

อะไรอีกล่ะนั่น?

“…ถ้าอึยชินทำหน้าแบบนี้ล่ะก็ พวกเราสบายใจได้แล้ว!”

อ้อ… ไอ้หน้ามีพิรุธอ่ะนะ

* * *

ขณะเดินเท้ากลับห้องเรียนพลางวางแผนลากตัวเม็งเฮียวทงไปส่งดอกไม้

ท่ามกลางดงซากุระไร้ดอก ฉันเห็นใครบางคนกำลังชกต้นไม้อยู่ริมทางเดินที่ไม่ค่อยมีสัญจรผ่าน

‘จูซูย็อก?’

ใบหน้าอันขุ่นมัวของจูซูย็อกกำลังเอนเข้าหาลำต้น

‘สีหน้าแบบนี้… ไปกับอันดาอินได้ไม่สวย?’

ในฐานะสวะเดนตายของเกมกากแห่งชาติ ฉันไม่มีทางลืมสีหน้าของพระเอก

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด