ตอนที่แล้วบทที่ 140 - ทำให้หม่าเคอได้สติ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 142 - ในสถาบันเวทย์มนต์เซินหลง

บทที่ 141 - ไห่เย่วขอโทษ


ไห่เย่วต้องการที่จะคุยกับผม? มันเกิดอะไรขึ้น? เธอจะคุยกับผมเรื่องอะไร? ผมมองอย่างสงสัยไปที่มู่จือ เธอพยักหน้าให้ผม แล้วไห่เย่วกับผมก็ค่อย ๆ เดินช้าลงจนมาอยู่ข้างหลังของทุกคน หลังจากที่เห็นว่าตอนนี้อยู่ห่างจากคนที่เหลือพอสมควรแล้ว เธอก็เริ่มพูด “จางกง! ฉันต้องการขอโทษนาย ที่ฉันเข้าใจนายผิดไป”

ผมนึกว่าตัวเองหูฝาด ไห่เย่วเพิ่งจะขอโทษผมอย่างนั้นหรือ? ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ย? ผมตอบเธอกลับอย่างไม่เต็มเสียงนัก “เธอไม่ต้องสุภาพนักหรอก อันที่จริง! ฉันก็ทำผิดต่อเธอหลายอย่างอยู่เหมือนกันนั่นแหละ”

ไห่เย่วหมุนตัวเดินนำหน้าผมไปอีกครั้ง “หลังจากเดินทางกับพวกนายมาไม่กี่วันนี้ ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้ฉันเห็นแล้ว พวกนายทุกคนต่างก็เป็นคนดี เป็นฉันเองต่างหากที่ตาบอดไปด้วยความตระหนก และมองพวกนายความเกลียดชังเป็นหลักก่อนหน้านี้”

ผมถามเธอเพิ่ม “นี่เธอแค่จะเรียกฉันมาเพื่อขอโทษใช่มั้ย?”

เธอพยักหน้ารับ นั่นทำให้ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ผมนึกว่าเธอจะถามอะไรเกี่ยวกับหม่าเคอบ้าง นี่มันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้วจริง ๆ ใช่มั้ยที่คู่นี้จะลงเอยกัน?

ผมเลยถามเธออย่างจริงจังไปเลย “มันไม่มีโอกาสเหลือให้หม่าเคอจริง ๆ แล้วใช่มั้ย? อันที่จริงแล้วนิสัยของหม่าเคอก็ไม่ได้เลวร้าย ทำไมเธอไม่เปิดโอกาสให้เขาบ้าง?”

ไห่เย่วหันหน้ากลับมามองผม ยิ้มให้ก่อนจะกล่าว “มู่จือเคยถามคำถามพวกนี้กับฉันแล้ว ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาเถอะ ไปกันเถอะ! แล้วเรื่องที่คุยกันวันนี้ ห้ามนายบอกให้เขารู้เด็ดขาด เข้าใจมั้ย?” ผมได้ยินก็รู้สึกดีใจแทนหม่าเคอ ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็สามารถทำให้ไห่เย่วหวั่นไหวได้ ภูเขาน้ำแข็งในที่สุดก็เริ่มละลายบ้างแล้ว ผมดีใจแทนเจ้าเด็กนั่นจริง ๆ

ผมแกล้งถามออกไป “เขาไหน?”

ไห่เย่วหน้าแดงน้อย ๆ “นายอย่ามาทำตัวน่ารังเกียจ ไม่ต้องมาแกล้งโง่เลย!”

ผมยิ้มให้เธอ “ไม่ได้เห็นเธอยิ้มมานานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย!”

“แต่นายยังยิ้มได้อยู่เสมอ นั่นมันโชคดีมากแล้วรู้มั้ย? ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าน้องสาวฉันกับมู่จือชอบอะไรในตัวนายกันแน่!”

“เธอแค่ไม่ได้สังเกตเห็นเองแค่นั้นแหละ ข้อดีของฉันนั้นเยอะจะตาย ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามมู่จือดูสิ?”

สีหน้าของไห่เย่วกับมาเรียบเฉยเหมือนเดิมแล้ว “ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ ตอบฉันมาหน่อย นายจะทำยังไงกับมู่จือแล้วก็น้องสาวของฉันกันแน่?”

ผมได้แต่ถอนหายใจ “ไหสุ่ยเป็นเด็กสาวที่น่ารัก แต่ระหว่างฉันกับเธอมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ฉันคบอยู่กับมู่จือ! ฉันบอกเรื่องนี้กับไหสุ่ยไปอย่างชัดเจนแล้ว”

“เรื่องของความรู้สึกนี่มันทำนายอะไรไม่ได้จริง ๆ ไหสุ่ยนั้นดีกว่ามู่จือในแทบทุกด้าน แต่นายก็ยังดื้อดึงที่จะเลือกมู่จืออยู่ดี” เธอได้แต่กล่าวออกมาแบบนั้น

“พวกเราไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ได้มั้ย? สิ่งที่ฉันจะบอกเธอได้ก็คงเป็นแค่ ความรู้สึกของฉันที่มีต่อมู่จือคงจะไม่เปลี่ยนแปลงไปหรอกในชีวิตนี้” หลังจากพูดจบ ผมก็รีบเคลื่อนย้ายตัวเองขึ้นไปให้ทันกลุ่มข้างหน้าทันที ปล่อยให้ไห่เย่วสั่นหัวแล้วเร่งความเร็วตามไปคนเดียว

ผมรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับไห่เย่ว และไม่ได้บอกอะไรที่เราคุยกันให้หม่าเคอฟังเลยแม้แต่คำเดียว มู่จือก็ทำเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกินขึ้นทั้งนั้น ผมดึงเธอออกมานอกกลุ่ม “ทำไมเธอไม่ถามอะไรเลยล่ะ? ว่าฉันกับไห่เย่วคุยกันเรื่องอะไร?”

มู่จือจับมือผมไว้ แล้วกระซิบตอบ “ฉันเชื่อใจนาย!” เป็นคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจทันที ผมยกมือเธอขึ้นมาจุมพิต “เธอนี่มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ภรรยาที่น่ารัก!”

เธอสะบัดมือออกทันที “นายนี่ช่างทำตัวน่ารำคาญได้ไม่หยุดจริง ๆ รีบเดินเข้าเถอะ เรากำลังจะถึงเมืองอู่หุยแล้ว!”

อาณาบริเวณของเมืองอู่หุยไม่ได้ใหญ่โตมากนัก อันที่จริงมันเล็กกว่าที่คาดเอาไว้มากเลยล่ะ หลังจากที่เข้าสู่ในเมืองได้แล้ว เราหยุดคนที่กำลังเดินผ่านไปเพื่อถามเขา “ขอโทษครับ คุณช่วยบอกพวกเราหน่อยได้มั้ยว่าสถาบันเวทย์มนต์เซินหลงอยู่ที่ไหน?”

ชายคนนั้นแสดงท่าทางงวยงง “อ้อ! พวกนายน่าจะมาจากเมืองอื่น ถึงได้ไม่รู้ว่าทั้งเมืองนี้เป็นเขตของสถาบันเวทย์มนต์แล้ว!”

หา!! ทั้งเมืองนี้เป็นอาณาเขตของสถาบันเวทย์มนต์เซินหลง? นี่มันทำให้เห็นได้เลยว่าสถาบันแห่งนี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน

ผมยิ้มให้เขาก่อนจะถามเพิ่มเติม “ถ้าอย่างนั้นกรุณาบอกพวกเราหน่อยว่า เราจะเดินทางไปที่ศูนย์กลางของสถาบันได้อย่างไร?”

เขาชี้ทางให้พวกเรา “พวกนายคงจะมาที่นี่เพื่อทำการทดสอบ! ยังเหลือระยะทางอีกไม่น้อยกว่าจะถึงพื้นที่รับสมัคร พวกนายแค่ต้องเดินตรงไปตามถนนเส้นนี้ แล้วจะเจอศูนย์กลางของเมืองนี้ได้”

หลังจากปล่อยชายคนนั้นไปแล้ว ผมหันไปบอกกับทุกคน “ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของสถาบันเวทย์มนต์เซินหลงจะไม่น้อยเลย”

แต่หม่าเคอกลับให้ข้อมูลผมเพิ่ม “แน่นอนอยู่แล้ว! พวกเขาเป็นสถาบันเวทย์มนต์ระดับสูงที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสอง เป็นรองแค่สถาบันเวทย์มนต์หลวงของพวกเราเท่านั้น และพวกเขานี่แหละที่เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา”

พวกเราเข้ามาถึงทางเข้าของสถาบันเวทย์มนต์เซินหลงจริง ๆ จนได้ ถึงแม้ว่าตัวของสิ่งปลูกสร้างจะไม่ได้หรูหราเหมือนกับสถาบันเวทย์มนต์หลวง แต่มันก็ยังให้บรรยากาศที่กดดันอยู่พอสมควร

ผมเดินเข้าไปหาพนักงานที่เฝ้าอยู่ที่ประตู “สวัสดีครับ พวกเรามาจากสถาบันเวทย์มนต์หลวง ขอถาม...”

โดยไม่ได้ปล่อยให้ผมพูดจนจบประโยค เขาก็รีบกล่าวขัดขึ้น “อา! พวกท่านมาจากสถาบันเวทย์มนต์หลวง กรุณาตามข้ามาได้เลย”

ยามเฝ้าประตูเดินนำพวกเราเข้าไปด้านใน ซึ่งข้างในสถาบันมีต้นไม้ปลูกอยู่เต็มไปหมด มีสวนดอกไม้อยู่ทั่วไปทำให้มีความรู้สึกสดชื่นไม่น้อย

เขาพาพวกเราไปหยุดอยู่ที่หน้าอาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ก่อนจะบอกให้พวกเรารอสักครู่ ก่อนที่เขาจะเข้าไปรายงานเรื่องนี้ในตัวอาคาร

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินนำคนกลุ่มหนึ่งกลับออกมา ผมมองไปที่กลุ่มสามคนที่เดินออกมาด้วยนั้น พวกเขาอยู่ในวัยประมาณ 50 ปีทั้งหมด ชุดที่สวมใส่ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นนักเวทย์ธาตุอะไรอย่างชัดเจน นักเวทย์ธาตุไฟ นักเวทย์ธาตุน้ำ และนักเวทย์ธาตุลมตามลำดับ

นักเวทย์ธาตุไฟเป็นคนที่เดินนำเข้ามาหาพวกเรา ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากทักทาย “ขอต้อนรับทุกคนสู่สถาบันเวทย์มนต์เซินหลง ข้าเป็นรองผู้อำนวยการของที่นี่ เชิญทุกคนเข้าด้านในก่อน”

พวกเขาต้อนรับพวกเราอย่างสุภาพมาก พวกเราก็ไม่สามารถละเลยธรรมเนียมได้ พวกเราโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียง “เป็นเกียรติที่ได้พบกับท่านอาจารย์ครับ/ค่ะ”

รองผู้อำนวยการพยักหน้ารับ ก่อนที่จะนำพวกเราเข้าไปในอาคาร ระหว่างที่เดินไปเขาก็เริ่มชวนคุย “นี่เป็นตึกหลักของสถาบันเรา มันเล็กไปหน่อยนะ ขายหน้าพวกเธอแล้ว”

หมิงซือหวากล่าวตอบ “อาคารหลังนี้ยอดเยี่ยมไม่แพ้อาคารไหนในสถาบันของพวกเราเลย ท่านรองผู้อำนวยการ ไม่ทราบว่าท่านยังจำผมได้หรือไม่ครับ?”

เขาหันมามองซือหวาอย่างละเอียด ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป แล้วยังสะดุ้งเล็กน้อยด้วย “อา! เธอไม่ใช่คนที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันครั้งที่แล้วด้วยเหรอ? ซือหวา? ใช่มั้ย?

ซือหวายิ้มให้เขา “ใช่แล้วครับ!”

รองผู้อำนวยการพึมพำ “ทำไมเธอยังไม่จบการศึกษาอีกล่ะ?”

“ตอนการแข่งขันคราวที่แล้ว ผมเรียนอยู่ชั้นปีที่สอง ตอนนี้ผมเพิ่งอยู่ชั้นปีห้า กำลังจะขอจบการศึกษาได้ในอีกไม่นานแล้วครับ”

พวกเราพากันตามเขามาจนถึงห้องทำงาน เขาจัดให้พวกเรานั่งลงที่เก้าอี้ ก่อนจะกล่าวต้อนรับอีกครั้ง “อาจารย์ขอเป็นตัวแทนของทางสถาบันเวทย์มนต์เซินหลงต้อนรับพวกเธอทุกคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง”

ผมยิ้มก่อนจะกล่าว “อาจารย์ให้เกียรติพวกเรามากเดินไปแล้ว พวกเราหวังว่าทีมของทางสถาบันนี้จะมีความเมตตาให้พวกเรามากกว่าครับ”

เขาหันมามองผมก่อนจะกล่าว “ถ้าจะขอความเมตตากัน น่าจะเป็นพวกเราที่ต้องขอจากพวกเธอมากกว่านะ อ้อ! เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอน พวกเธอนำหนังสือรับรองออกมาให้อาจารย์ดูหน่อยสิ”

ผมรีบหยิบหนังสือรับรองที่อาจารย์เจิ้นให้มา ส่งมอบให้กับเขาไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด