ตอนที่แล้วบทที่ 22 - การเติบโตของเสี่ยวจิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 24 – การประลองที่เลี่ยงไม่ได้

บทที่ 23 – เจอกับซิงไห่เย่ว


เวลา 3 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนชั่วพริบตา ผมเริ่มคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในโรงเรียนแล้ว เทียบกับตอนที่เรียนกับปีศาจเฒ่า ที่นี่สบายกว่าเยอะ ทุก ๆ วันไม่มีอะไรให้ทำมากนัก นอกจากเข้าเรียนตอนเช้า หลังจากนั้นก็ถือว่าเป็นเวลาว่างของคุณแล้ว ไม่เลวเลยจริง ๆ

ระหว่างช่วงเวลา 3 เดือนนี้ เวทย์มนต์ของผมไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย โดยเฉพาะพลังเวทย์ แต่พลังวิญญาณของผมเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ผมควบคุมเวทย์มนต์ได้ดีขึ้นด้วย ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าผมจะเพิ่มพลังเวทย์ของผมได้ยังไง อา! ลืมมันไปเถอะ มันไม่ได้สำคัญอะไร ผมค่อยคิดถึงมันทีหลัง

ในชั้นเรียนเวทย์มนต์แสง ผมได้เรียนเวทย์เพิ่มเพียงเวทย์เดียว ‘บรรณาการแห่งแสง’ (เวทย์แสงสายสนับสนุนระดับกลาง เป็นเวทย์วงกว้าง ที่ส่วนใหญ่แล้วใช้เพื่อกำจัดแก๊สพิษ หรือเวทย์มนต์มืดระดับต่ำ หรือว่าจะใช้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติบางอย่าง) อ้อ! ผมปรับปรุงโล่ผลึกแสงขึ้นอีก (ตอนนี้โล่ผลึกแสงสามารถคลุมผมได้หมดทั้งตัว แถมยังสามารถสะท้อนเวทย์มนต์ได้ทุกทิศทาง ฮ่าฮ่า!)

ส่วนเวทย์มิติ!! ผมใช้เวทย์เคลื่อยย้ายระยะใกล้ได้สมบูรณ์แบบแล้ว มันไม่สามารถพัฒนาไปได้อีก แล้วผมก็ยังไม่กล้าใช้เวทย์เคลื่อนย้ายระยะไกล ดังนั้นเวทย์เดียวที่ผมก้าวหน้าระหว่างนี้คือเวทย์เฉือนมิติ ตอนนี้ผมสามารถควบคุมมันได้แล้ว ผมลองทดสอบกับหม่าเคอ เฉือนมิติของผมสามารถดูดกลืนเวทย์ระดับกลางของเขาได้ ไม่เลวจริง ๆ

สิ่งที่พัฒนาขึ้นมากที่สุดในช่วงนี้คือ เสี่ยวจิน ตอนนี้เจ้าตัวเล็กโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ ตัวยาว 5 เมตร แถบสีทองเริ่มชัด และหนาขึ้นกว่าเมื่อก่อน ที่น่าประหลาดใจคือ มันมีเขาสีทองเล็ก ๆ งอกออกมาจากหัว แต่ยังไงมันก็ยังตัวติดกับผมมาก ตอนที่ผมอัญเชิญมันออกมา ไม่มีทางที่มันจะออกห่างจากผมเกิน 5 เมตร ความสามารถของมันก็เพิ่มมากขึ้นด้วย มันใช้เวทย์ระดับกลางได้แล้ว แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงใช้เวทย์มิติไม่ได้ ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่เห็นมันเจริญเติบโตขึ้น เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม ผมรู้สึกไม่มีความสุขถ้าวันไหนไม่ได้อัญเชิญมันออกมาเล่นด้วยกัน ช่วงเวลาที่มีความสุขผ่านไปเรื่อย ๆ และผมก็ลืมสิ่งที่ปีศาจเฒ่าเคยเตือนไว้ จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เคยเจอสัตว์เวทย์ระดับขึ้นที่ต้องการจะทำร้ายเสี่ยวจิน

สิ่งที่ทำให้ผมจิตตก ก็คือการที่อาจารย์ในชุดคลุมเวทย์สีขาวชอบโผล่ออกมา ทุกครั้งที่ผมพาเสี่ยวจินออกมาเล่นตอนกลางคืน ผมจะเจอเขาเกือบทุกครั้ง ผมรำคาญอาจารย์คนนี้มาก แต่ผมก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน เพื่อที่จะหนี ผมพยายามเปลี่ยนสถานที่ไปหลายแห่ง แต่ตาแก่ยังตามมาเหมือนเป็นเงาของผม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมไม่มีทางรับเขาเป็นอาจารย์ของผมเด็ดขาด ลองดูว่าเขาจะทำอะไรกับผมได้ ผมไม่เอาแล้วการใช้ชีวิตที่ถูกเข้มงวด!

หม่าเคอ ยังคงดื้อรั้นอยู่เหมือนเดิม ทุก ๆ วันเขาจะตามไปกวน เธอชื่ออะไรนะ? (จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้ชื่อของเด็กสาวคนนั้น และยังไม่เคยพบเธอด้วย) ผมล่ะไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าผมเป็นคนประเภทเดียวกันกับ ‘เค้กข้าวหัวแดง’ (ฉายาใหม่ที่พวกนักเรียนตั้งให้หม่าเคอ ด้วยความที่เขาตามติดหนึบอยู่ทุกวันแบบนั้น ฮ่าฮ่า!) แม้ว่าเขาจะกลับห้องมาด้วยสภาพจมูกแตก หน้าบวมบ่อย ๆ แต่เขาก็ยังไม่ท้อถอย ตามที่เขาบอก ตอนนี้เขามีความก้าวหน้ามากขึ้น แม้ว่าสาวเจ้าจะยังไม่สนใจเขาเหมือนเดิม แต่พี่ชายของเธอไม่อัดเขาอีกแล้ว เพราะว่าตัวแทนนักเรียนชั้นปี 4 คนนี้เริ่มประทับใจกับความตั้งใจจริงของหม่าเคอ เขาเลยตั้งเงื่อนไขกับหม่าเคอ ถ้าหม่าเคอ สามารถเพิ่มพลังเวทย์จนเหนือกว่าระดับของเขาได้ เขาจะยอมให้จีบน้องสาวเขา ตั้งแต่นั้นมา หม่าเคอฝึกอย่างหนักทุก ๆ วันเหมือนคนบ้า ถ้าเปรียบกับผมตอนนี้ เขากับผมถือว่าไม่ต่างกันมากแล้ว เขาพัฒนาได้เร็วมากจริง ๆ

“หม่าเคอ ไปกินข้าวกัน” ชั้นเรียนจบแล้ว

“โอ้!” ผมเพิ่งค้นพบเร็ว ๆ นี้ว่านอกจากการฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งแล้ว  ไม่มีอะไรอื่นที่เขาสนใจอีกเลย

“แม่สาวสวยคนนั้น มาตามหานายแนะ”

“ไหน ไหน อยู่ไหน?” ตาของหม่าเคอลุกโชน

“พี่ใหญ่ พี่มีผมเป็นน้องเล็กอยู่คนเดียว พี่ยังกล้าหลอกผมอีกเหรอ?” หม่าเคอบ่น ตอนที่พบว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น

“เจ้านี่ แกมันโดนล้างสมองแล้ว! แกชอบเธอจริง ๆ เหรอ?”

“พี่ไม่รู้หรอก แค่ได้เห็นเธอ ผมก็พอใจแล้ว” ตาของหม่าเคอเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจ ผมนี่รับไม่ได้จริง ๆ

“อ้อ จริงสิ! เธอชื่ออะไร? ตอนนี้ฉันยังไม่รู้ชื่อเธอเลย”

“พี่จะทำอะไร????” หม่าเคอมองผมอย่างหวาดระแวง

ผมเตะเขา “บ๊ะ!! นี่ฉันไม่ควรรู้จักชื่อของสาวสวยที่นายหลงรักเหรอ?”

“โอ้! เธอชื่อซิงไห่เย่ว พี่ชายเธอชื่อซิงไห่รื่อ”

“ชื่อเธอเพราะดี นายก้าวหน้าไปบ้างมั้ย? ช่วงนี้”

“ผมยังหาโอกาสอยู่ เธอยังไม่ค่อยสนใจผม ถ้าเทียบกันแล้วพี่เธอดูเป็นมิตรมากกว่า อ้อ!ใช่ พี่ชายเธอถามผมหลายครั้งแล้วว่าใครเป็นคนรักษาผม”

“นายบอกไปหรือเปล่า?” ผมถามอย่างตระหนก

“ไม่ได้บอก ผมไม่ทรยศพี่หรอก จริง ๆ” หม่าเคอกล่าวยิ้ม ๆ

“นายนี่ทนทายาด ให้พวกเขาใช้นายเป็นกระสอบทรายฝึกมวยมาตั้งนาน”

“ผมมีช่วยดูแลผมไง เพื่อความสุขชั่วชีวิต ผมต้องฝึกเวทย์มนต์อย่างไม่กลัวเหนื่อย” ดูเหมือนว่าการมีเป้าหมายจะเป็นเรื่องดี เป้าหมาย! ผมก็มี! ‘ชีวิตที่อิสระเสรี’ ฮ่าฮ่า!

“รีบหน่อย เดี๋ยวข้าวหมด” ได้ยินหม่าเคอเตือน ผมเริ่มออกวิ่ง การกินข้าวคือเรื่องที่สำคัญมากสำหรับชีวิตของผม ผมกิน! กิน! กิน! และกิน จนอิ่ม

หลังเสร็จจากมื้ออาหาร หม่าเคอกลับไปที่หอพักเพื่อทำสมาธิ ผมก็คิดที่จะกลับไปงีบสักพัก ผมเลยเดินไปกับเขา ระหว่างทางกลับ หม่าเคอหยุดอย่างกะทันหัน

“นายหยุดทำไม?” ผมชนเขา

“พี่ใหญ่ ดูนั่น นั่นเธอ!”

ผมมองตามปลายนิ้วของเขาไป แน่นอน! ผมเห็นซิงไห่เย่ว ข้าง ๆ เธอมีเพื่อนนักเรียนอีก 3-4 คน นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ผม ‘เห็น’ เธอ

“พี่ใหญ่ เข้าไปทักทายเธอกันหน่อย”

“ถ้านายอยากไป ไปคนเดียวเลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าฉันเป็นเหมือนนาย เค้กข้าวหัวแดงผู้มีชื่อเสียง”

“ก็ได้ ถ้าพี่ใหญ่พูดอย่างนั้น พี่ว่าใครดังกว่ากัน พี่เป็นถึง ‘ถังข้าวธาตุแสง’ เลยนะ”

“นายอยากโดนดีใช่มั้ย ไอ้นี่!” ผมดังขนาดนั้นเลยเหรอ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย?

“มาด้วยกันเถอะพี่ ผมรู้สึกกล้าขึ้นมากถ้าพี่อยู่ด้วย” ผมปฏิเสธไม่ได้ เพราะหม่าเคอเริ่มลากผมไปด้วย

“หวา!! ไม่ใช่แค่เค้กข้าวหัวแดงแฮะวันนี้ ขนาดถังข้าวธาตุแสงก็ยังมาด้วย” เด็กผู้หญิงข้าง ๆ ไห่เย่วยิ้ม

ผมยังไม่ได้สนใจพวกเธอเท่าไร ตอนนี้ผมแค่เห็นนักเรียนอายุประมาณ 15 ปีในชุดคลุมเวทย์ไฟ หวา! เขาดูแข็งแกร่ง! ด้วยรัศมีแห่งความป่าเถื่อนที่กระจายออกมา ผมรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะอ่อนแอกว่าปีศาจเฒ่ามากนัก เขาก็สังเกตเห็นผม ตาเราประสานกัน ตาเขาวาวเป็นประกายขึ้นมา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด