บทที่ 159: มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง! ฉันเป็นคนเขียนงั้นเหรอ!
ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์เหรินตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินลงไปรำไทเก๊กตามปกติ
ทั้งหน้าที่การงานและการผักผ่อนล้วนทำได้อย่างปกติสุขดี
เมื่อรำไทเก๊กเสร็จแล้วก็กลับเข้าบ้านมาเจอกับข้าวต้มที่ภรรยาจัดเตรียมไว้ให้แล้ว
แต่หลังจากที่กินไปได้แค่คำสองคำเท่านั้นก็เห็นว่ามือถือของตนมีสายเข้า พอชะโงกดูก็พบว่าเป็นศาสตราจารย์หลิวซึ่งเป็นเพื่อนกัน อีกฝ่ายเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยสถาบันการเกษตรในเขตเมืองหมิง
อาจารย์เหรินเลยรับสายทันที “ไงเฒ่าหลิว ทำไมถึงได้โทรหาฉันตั้งแต่เช้าล่ะหืม?”
แล้วเสียงของศาสตราจารย์หลิวก็ดังมาจากปลายสาย “นึกแล้วเชียวว่านายต้องตื่นแล้ว นายนี่ก่อเรื่องก่อราวในเน็ตซะใหญ่โตเลยนา ฉันเลยถูกคนขอให้มาไกล่เกลี่ยเนี่ย!”
“เดี๋ยวก่อน!” จู่ ๆ ศาสตราจารย์เหรินก็ตกใจ
“เรื่องในเน็ตอะไรยังไง? เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“หา?” ศาสตราจารย์หลิวที่ปลายสายก็ตกใจกับคำถามของอีกฝ่ายเหมือนกัน
“เฮ่ย ๆ เฒ่าเหริน ในเน็ตน่ะเรื่องราวใหญ่โตซะขนานนั้นแต่นายที่เป็นตัวต้นเรื่องกลับไม่รู้ว่าเกิดไรขึ้นเนี่ยนะ? ก็นายแสดงความคิดเห็นตำหนิบ้านไร่ชิงหลินไว้นี่ ใช่มะ? แล้วตอนนี้คลิปนายก็กลายเป็นข่าวไปแล้วนาเว่ย!”
“เฒ่าหลิว! รอแป๊บนะ!” ศาสตราจารย์เหรินขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็ขอให้ภรรยาเอามือถือของเธอมาเปิดติ๊กต็อกให้ดู และก็ต้องพบคลิปที่มีทั้งหน้าและเสียงของตนพูดจาน้ำไหลไฟดับด้วยความโกรธในทันที
แม้เขาจะอายุมากและมีงานรัดตัว แต่ก็พอจะมีความเข้าใจแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เหล่านี้อยู่บ้าง สาเหตุก็มาจากภรรยาที่มักจะเปิดฟังเพลงดูคลิปฆ่าเวลายามว่างนั่นแหล่ะ
“ในฐานะศาสตราจารย์ที่ทุ่มเทให้กับการวิจัยด้านสุขภาพแล้วบอกเลยว่าฉันโกรธสิ่งที่บ้านไร่ชิงหลินทำมาก...”
เมื่อได้เห็นยอดไลค์และอ่านคอมเมนต์แล้วเขาก็รู้เลยว่านี่มันเรื่องใหญ่โคตร ๆ แล้ว และเมื่อเลื่อนดูคลิปต่อ ๆ ไปทุกคลิปก็ได้เห็นบล็อกเกอร์สายแสดงความคิดเห็นมาแสดงตัวออกความคิดเห็นสนับสนุนเขาและโจมตีบ้านไร่ชิงหลินอีก
“ไอ้พวกนี้มันบ้าไปแล้ว!” อาจารย์เหรินดุอย่างโกรธจัด
ในคลิปที่ลงไปนั่นเป็นตัวเขาจริง ๆ พูดเองจริง ๆ ไม่ปฏิเสธ แต่สถานการณ์จริง ๆ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เขาไม่ได้จะโจมตีบ้านไร่ชิงหลินออกสื่อหรืออะไร ไม่ได้ทำคลิปตัวเองแสดงความเห็นลงอินเทอร์เน็ตด้วย ที่เขาพูดตอนนั้นเขากำลังนั่งจ้องลูกชายตัวเองอยู่ แถมคำพูดทั้งหมดก็ยังมีเป้าหมายที่ลูกสะใภ้ด้วย
ลูกชายของเขาเป็นพวกประมาทเลินเล่อและไม่ได้เก่งทางวิชาการมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงอาศัยเส้นสายช่วยให้ลูกขายสามารถเข้าสถาบันวิจัยของเพื่อนได้ แต่ใครมันจะไปนึกล่ะว่ามันโตจนป่านนี้แล้วก็ยังจะประมาทเลินเล่ออยู่ไม่รู้จักพัฒนา
มันไปได้เมียเป็นอีสาวมือเปล่าที่ไม่มีดีอะไรให้อวดแต่ดันชอบอวดดี
และในครั้งนี้การทดลองที่สำคัญของเพื่อนคนนั้นกำลังขาดแคลนกำลังคนอยู่แท้ ๆ แต่ดูเมียมันซิ ดันยุให้ผัวทิ้งงานไปเที่ยวบ้านไร่ชิงหลินเพื่อไปเอาเหล้าสมุนไพรชิงหลินสูตรแก้ริดสีดวงทวารเพราะตัวเองดันเป็นริดสีดวงขึ้นมาซะงั้น
ไอ้คนเป็นพ่อได้ยินแบบนี้ก็ขึ้นสิครับรออะไร ด้วยความโมโหขาดสติในตอนนั้นจึงได้พล่ามด่าลูกชายลูกสะใภ้ไปซะหมดเปลือก การที่ผู้หญิงจะกังวลเรื่องนี้มันก็พอเข้าใจ แต่พอมาบวกกับเหล้าสมุนไพรชิงหลินที่บรรยายสรรพคุณเกินสามัญสำนึกแบบนั้นแล้ว ในฐานะนักวิจัยแถมกำลังขึ้นด้วยแล้วใครมันจะไปเชื่อล่ะว่าคนเป็นริดสีดวงกินแอลกอฮอล์แล้วมันจะหาย?
แน่นอนว่าไอ้ที่ด่า ๆ ไปตอนนั้นก็ไม่ได้กะจะทำร้ายจิตใจอะไรหรอก ใจก็แค่อยากอธิบายสามัญสำนึกให้ฟังเท่านั้นเอง แต่เพราะมันโกรธไงเลยกลายเป็นแบบนั้นไป
และเมื่อนึกถึงคลิปที่ได้เห็นเพราะถูกเพื่อนโทรมาเตือนแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องบ้านี่มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง
นังผู้หญิงโง่นั่นมันกล้าแอบถ่ายคนในครอบครัวไปโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ตจำเกิดเรื่องเกิดราวโกลาหลใหญ่โต
การที่ต้องแต่งผู้หญิงคนนี้เข้าบ้านเนี่ยมันช่างน่าเศร้าแท้ ๆ
ศาสตราจารย์เหรินได้แต่ถอนหายใจ
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนคลอดหลานสาวให้เขา
เอาจริง ๆ ถ้าตอนนั้นหล่อนไม่ท้องเขาคงไม่มีวันปล่อยให้ลูกชายตัวเองแต่งงานกับแม่นี่หรอก
และแล้วศาสตราจารย์เหรินก็ทำได้เพียงแค่พูดกับอีกฝ่ายไปว่า “เฒ่าหลิว ฉันรู้แล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ฉันไม่ใช่คนทำจริง ๆ”
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าผู้อาวุโสหยวนรู้สึกอย่างไรที่จู่ ๆ ก็มาพบว่าบัญชีติ๊กต็อกของตนมียอดผู้ติดตามเป็นสิบล้านโดยไม่เคยรู้ตัวมาก่อน
เขาก็ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่าเรื่องบ้า ๆ แบบนี้มันจะมาเกิดขึ้นกับตัวเองด้วย
“เฒ่าหลิว ที่นายโทรมาได้แบบนี้แปลว่าความสัมพันธ์ของนายกับบ้านไร่ชิงหลินไม่ใช่เรียบง่ายใช่มั้ย?” ศาสตราจารย์เหรินถามอีกครั้ง
ศาสตราจารย์หลิวตอบว่า “เฒ่าเหรินเอ๊ย ฉันว่านายคิดผิดแล้วล่ะนะ ฉันเชื่อจริง ๆ ว่าเหล้าสมุนไพรชิงหลินมันแก้ริดสีดวงได้จริง และนายกำลังเข้าใจอีกฝ่ายผิดอยู่ ฉันเลยเต็มใจโทรมาช่วยไกล่เกลี่ยนี่ไง”
“เหล้าสมุนไพรนั่นมันรักษาริดสีดวงได้จริงเหรอ? ทั้ง ๆ ที่มันผิดสามัญสำนึกขนาดนั้นน่ะนะ!?” ศาสตราจารย์เหรินยังคงตกใจ ตอนนี้สามัญสำนึกกำลังมีข้อกังขา
“ฉันรู้ว่ามันผิดสามัญสำนึก แต่เท่าที่ฉันรู้มาคือมันเป็นไปแล้วจริง ๆ แถมยังออกฤทธิ์ได้รุนแรงเหนือกว่ายาริดสีดวงตามท้องตลาดอีกด้วย” ศาสตราจารย์หลิวตอบด้วยความมั่นใจ
“ถึงมันจะไม่น่าเชื่อ แต่มันก็ไม่แน่บางทีมันอาจมีส่วนประกอบที่แปรสภาพผิดธรรมชาติกลายเป็นตัวยาในเหล้าสมุนไพรนั่นอยู่ก็ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับวิทยาศาสตร์หนิ”
เมื่อศาสตราจารย์เหรินได้ยินสิ่งนี้เขาก็สนใจทันที “ที่นายโทรมาได้แบบนี้แปลว่านายเองก็ต้องมีช่องทางติดต่อบ้านไร่ชิงหลินใช่มั้ยเฒ่าหลิว? ช่วยติดต่อทางนั้นบอกว่าฉันขอเหล้าสมุนไพรนั่นมาศึกษาให้ฉันหน่อยสิ”
การเกิดการแปรสภาพแบบผิดธรรมชาติใด ๆ ล้วนอาจส่งเสริมความก้าวหน้าพัฒนางานวิจัยได้ทั้งสิ้น
เป็นเรื่องปกติที่คนเป็นริดสีดวงทวารควรต้องเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งยังเป็นหลักการสำคัญของวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพและวิถีชีวิตที่ดีด้วย แต่ตอนนี้กลับมีเหล้าสมุนไพรชิงหลินที่คนเป็นโรงริดสีดวงทวารดื่มแล้วหายจึงมีโอกาสสูงที่ในเหล้าสมุนไพรนั่นจะมีองค์ประกอบที่เกิดจากการแปรสภาพผิดธรรมชาติและส่งผลบางอย่างต่ออาการของโรคริดสีดวงทวาร และแปลว่านี่มันเรื่องใหญ่
สำหรับคนอย่างเขาแล้วนี่ถือว่าเป็นอะไรที่สามารถดึงดูดใจได้อย่างถึงที่สุดจริง ๆ
ศาสตราจารย์หลิวไปยินที่อีกฝ่ายร้องขอก็ยิ้มออกมา “ตอนนี้สภาพการในสื่อโซเชียลไม่ดีต่อบ้านไร่ชิงหลินเลย เพราะงั้นทางนั้นถึงได้โพสต์คลิปเชิญให้นายไปตรวจสอบผลของเหล้าสมุนไพรชิงหลินด้วยตัวเองซึ่งตอนนี้ก็กำลังรอนายตอบกลับอยู่”
เมื่อศาสตราจารย์เหรินได้ยินสิ่งนี้ก็ตอบไปโดยไม่ลังเล “นายบอกทางนั้นด้วยว่าฉันจะไปแน่นอน แล้วเย็น ๆ ฉันจะโทรหานายอีกที เออ แล้วก็เรื่องนี้มันเกิดเพราะฉันเอง เดี๋ยวฉันจะถ่ายคลิปฝากไปให้บ้านไรชิงหลินด้วย”
“โอเค” ศาสตราจารย์หลิวกล่าว
…...................................................................................................
บ้านไร่ชิงหลิน
ฉินหลินไปที่โกดังเช่าเพื่อเอาของจากในเกมไปส่งที่บ้านไร่ และเมื่อมาถึงห้องทำงานวีแชตก็เด้งแจ้งเตือนขึ้นพอดี เปิดดูก็รู้ว่าเป็นหลี่ไข่ทักมาโดยแนบคลิปวิดีโอมาให้ด้วย
ใต้คลิปหลี่ไข่ได้แนบคำบรรยายไว้ว่า ‘เป็นเรื่องเข้าใจผิด ศาสตราจารย์เหรินเองไม่รู้ว่าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในโลกออนไลน์ แล้วทางนั้นก็สัญญาแล้วว่าจะมาบ้านไร่ชิงหลิน ตอนนี้อยู่ที่เขตเมืองหมิงแล้วก็น่าจะมาถึงพรุ่งนี้’
อ่านเนื้อความเสร็จแล้วฉินหลินก็แตะหน้าจอเปิดคลิปขึ้นมาดูซึ่งเป็นคลิปที่ศาสตราเหรินถ่ายเอง
“ฉันขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอินเทอร์เน็ตด้วยจริง ๆ ไม่ได้คิดว่าความเห็นของตัวเองจะดึงกระแสความคิดของสาธารณชนจนต้องกลายเป็นแบบนี้ แล้วอีกอย่างฉันก็ด่วนตัดสินเหล้าสมุนไพรชิงหลินโดยไม่ได้ดูข้อเท็จจริงให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนด้วยซึ่งไม่สมกับเป็นนักวิทยาศาสตร์เลย ดังนั้นจึงต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้”
“แน่นอนว่าถ้าตามปกติแล้วผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารควรต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากมีการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้เกิดการแปรสภาพอย่างผิดธรรมชาติขึ้นล่ะก็นั่นจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย และข่าวที่ฉันได้มาใหม่ก็คือเหล้าสมุนไพรชิงหลินมีองค์ประกอบที่เกิดจากการแปรสภาพแบบผิดธรรมชาติดังกล่าวอยู่ หากสามารถนำมาศึกษาทำความเข้าใจได้ล่ะก็จะต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารอย่างมากเป็นแน่ ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจจะไปที่บ้านไร่ชิงหลินด้วยตัวเอง”
“แล้วฉันได้ให้ทนายจัดการกับผู้ที่แอบถ่ายฉันและเอาคลิปนั้นลงในโซเชียลมีเดียแล้ว ซึ่งฉันจะไม่ยอมปล่อยคนเหล่านั้นไปอย่างแน่นอน!”
น้ำเสียงในประโยคสุดท้ายของศาสตราจารย์เหรินเฉียบขาดมาก เนื่องจากเขารู้ว่าต้องเป็นฝีมือของแม่ลูกสะใภ้ตัวแสบกับเพื่อนสนิทของมันชัวร์ ๆ
เรื่องนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยไปอย่างเด็ดขาด เพราะหากครั้งนี้ปล่อยไปพวกมันอาจจะเหลิงแล้วทำอีกก็ได้ใครจะรู้
เมื่อฉินหลินดูคลิปนี้จบเขาก็ประทับใจในตัวศาสตราจารย์เหรินทันที ด้วยฐานะของคนระดับนั้นแล้วในโลกนี้คงจะมีน้อยคนนักที่กล้าอัดคลิปขอโทษอย่างจริงใจและยอมรับความผิดพลาดอย่างไม่เห็นแก่ตัว
อีกทั้งยังส่งคลิปนี้ให้เขาด้วย แปลว่าอยากให้เขาเอาลงในเน็ตเพื่อแก้ไขสถานการณ์ของบ้านไร่ชิงหลิน
ช่างรอบคอบสมกับเป็นศาสตราจารย์
จากนั้นประตูห้องทำงานก็เปิดออกและเป็นจ้าวโม่ชิงที่รีบร้อนเข้ามา “ฉินหลิน ศาสตราจารย์คนนั้นไม่ตอบคลิปเราเลยอะ ที่อาจารย์หลี่ติดต่อไปเป็นยังไงมั่ง?”
ฉินหลินยื่นมือถือให้เธอ “เอาคลิปนี้ไปจัดการ”
จ้าวโม่ชิงรับมือถือมาดูด้วยความสงสัยและเห็นคลิปวิดีโอของศาสตราจารย์เหริน
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง” จ้าวโม่ชิงบอกหลังจากดูคลิปจบและรีบออกไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของฉินหลิน ด้วยคลิปวิดีโอนี้และว่าความวุ่นวายบนอินเทอร์เน็ตจะผ่านพ้นไปแถมยังเปลี่ยนของเสียให้เป็นข้อดีได้ด้วย
โลกออนไลน์
หลังคุกรุ่นกันมาทั้งคืนในที่สุดความแรงในเรื่องความขัดแย้งระหว่างศาสตราจารย์เหรินกับบ้านไร่ชิงหลินก็ถึงจุดระเบิดในที่สุด มีบล็อกเกอร์มากมายโพสต์คลิปแสดงความคิดเห็นโจมตีบ้านไร่ชิงหลินเหมือนกับไอ้พี่ซ่งที่นำโด่งไปก่อนแล้ว
ในห้องทำงานแห่งหนึ่ง
พี่ซ่งกำลังให้ความสนใจกับข้อมูลในหลังบ้านของช่องตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันยิ่งมาก็ยิ่งลุ้นเพราะครั้งนี้มันใส่สุดเกียร์จริง ๆ นอกจากคำพูดยุแยงให้ทั้งสองฝ่ายแตกกันแบบเนียน ๆ แล้วยังบวกกับเงินสองแสนที่ลงไปกับติ๊กต็อกพลัสด้วย
วิธีการลงคลิปวิดีโอยุแยงตะแคงรั่วแบบนี้จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมาก ๆ เพราะหากเกิดคดีพลิกขึ้นมานี่เจ็บหนักจนอาจถึงขั้นจบเห่ได้เลย
แต่มันก็ยังคิดว่าไม่มีทางที่จะถูกผู้อาวุโสอย่างศาสตราจารย์เหรินทำคดีพลิก ดังนั้นก็เลยไม่ได้ห่วงกฎอะไรมากนัก
“พี่ซ่ง! บ้านไร่ชิงหลินลงคลิปอีกแล้ว!” ผู้ช่วยพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
พี่ซ่งก็ยิ้มเย้ยไปว่า “ต้องเป็นเพราะเมื่อวานศาสตราจารย์เหรินไม่ตอบคลิปของพวกมันชัวร์ ๆ วันนี้มันเลยลงอีกรอบ!”
“ไม่ใช่แล้วพี่ซ่ง มาดูนี่ก่อนเร็วเข้า” น้ำเสียงผู้ช่วยบ่งบอกว่ากำลังกังวล
พี่ซ่งก็งงสิ เลยขยับไปดูด้วยและเมื่อเห็นคลิปใหม่ที่บ้านไร่ชิงหลินลงก็เป็นต้องตกตะลึง!
คลิปวิดีโอตอบกลับจากศาสตราจารย์เหริน? แถมยังบอกขอโทษและจะไปที่บ้านไร่ชิงหลินด้วยตัวเองอีก!
“เป็นไปได้ไงวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!” พี่ซ่งไม่อยากจะเชื่อ
เรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น!
แต่มันดันเกิดขึ้นไปแล้ว!
แถมศาสตราจารย์เหรินยังพูดถึงองค์ประกอบที่เกิดจากการแปรสภาพแบบผิดธรรมชาติอะไรนั่นอีก แน่นอนว่าพวกพี่ซ่งฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอจะจับใจความได้ว่าสรุปแล้วเหล้าสมุนไพรชิงหลินมันใช้รักษาโรคริดสีดวงทวารได้จริง!
พี่ซ่งตอนนี้เหมือนคนเมาหมัดที่โดนต่อยจนมึนหัวไปหมด
มันหมดเงินไป 200,000 เพื่อซื้อความฝัน แต่ตอนนี้ฝันนั้นกลับวิ่งหนีหายไปซะแล้ว แบบนี้มันต่างจากโกงกันตรงไหน?
และไม่ใช่แค่พี่ซ่งหรอกที่เป็น พวกบล็อกเกอร์สายแสดงความคิดเห็นทุกคนที่โพสต์คลิปโจมตีบ้านไร่ชิงหลินก็กำลังหัวระเบิดไปกับระเบิดลูดนี้จนไม่อาจค้นคำอะไรมาบรรยายความรู้สึกได้เช่นเดียวกัน
ถ้าศาสตราจารย์เหรินเองก็เป็นฝ่ายถูกด้วยมันจะเป็นอะไรที่ยังพอกล้อมแกล้มเอาตัวรอดกันไปได้บ้าง แต่นี่อาจารย์แกดันบอกว่าตัวเองผิดเองตรง ๆ ซะงั้น แล้วพวกบล็อกเกอร์ที่จัดการแบ่งฝ่ายกันเองแล้วมาอยู่ฝ่ายแกล่ะ ยิ่งคิดยิ่งอับอายเหมือนโดนหมัดหนัก ๆ ซัดหน้าจนเมาจริง ๆ
คดีพลิกที่ไม่ควรเกิดกลับเกิดขึ้นแล้ว
อันที่จริงก็ต่างทำตัวเองทั้งนั้น ที่ต้องเป็นแบบนี้เหตุก็เพราะเอาแต่แสดงความคิดเห็นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความรู้ไม่ใช่เหรอ? เพราะไม่ได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นกลางทั้ง ๆ ที่ทำตัวเป็นคนที่มีใจเป็นกลางไม่ใช่เหรอ?
ควรตั้งคำถามกับพฤติกรรมชอบแสดงความคิดเห็นในทำนองนี้ของตนเองได้แล้วมั้ง
ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือช่วงท้ายคลิป ที่ว่านั่นมันหมายถึงเรื่องอะไร? อาจารย์แกไม่ได้ถ่ายคลิปแล้วลงในแอคเคาน์ส่วนตัวหรอกเหรอ? หรือว่าจะมีเรื่องราวเบื้องหลังอะไรอยู่?
เพราะน้ำเสียงตอนบอกว่าจะให้ทนายความจัดการคนที่แอบถ่ายแล้วเอามาลงโซเชียลนั่นคือจริงจังจนคนที่ได้ฟังต้องขนลุกซู่
บล็อกเกอร์สายแสดงความคิดเห็นเหล่านี้ได้ฟังถึงกับแทบหยุดหายใจและกลับไปหาคลิปวิดีโออันแรกที่เป็นตัวต้นเรื่องให้พวกตนต้องออกมาเกาะกระแส แต่สุดท้ายหายังไงก็หาไม่พบซึ่งแปลว่ามันได้ถูกลบไปแล้ว
นี่มันเหมือนโดดลงกับดักเองชัด ๆ และแต่ละคนต่างก็ทยอยลบคลิปของตนทันที
ส่วนคลิปขอโทษของศาสตราจารย์เหรินก็ได้รับความนิยมอย่างมาก บรรดาคลิปโจมตีบ้านไร่ชิงหลินก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
แม้แต่พวกชาวเน็ตสายเกรียนแตกทั้งหลายที่จะเข้าไปร่วมคอมเมนต์โจมตีต่อเพื่อสร้างความเมามันก็ยังไม่อาจหาคลิปเหล่านั้นเจออีก
ทางด้านพี่ซ่งก็รีบบอกผู้ช่วยอย่างเร็วว่า “เร็ว ๆ รีบลบคลิปเดี๋ยวนี้เลย พวกเราโดนหลอกเข้าให้แล้ว!”
คดีที่ไม่น่าพลิกกับพลิกไปแล้วแบบนี้จะให้ทำไงได้? ลงคลิปโจมตีอาจารย์เหรินเหรอ? อยากไปกินข้าวฟรีรึไงถึงคิดแบบนั้น? แต่ก่อนที่จะไปกินข้าวฟรีบัญชีที่มียอดผู้ติดตามเกือบสามล้านอาจจะเจ๊งก่อนก็เป็นได้
โชคยังดีที่เป็นศาสตราจารย์เหริน เพราะศาสตราจารย์แกเป็นคนเอ่ยปากขอโทษต่อทุก ๆ คนเองเลยซึ่งไม่ได้ส่งผลร้ายหนักหนาอะไรนัก แต่เอาจริง ๆ ใครมันจะไปคิดล่ะว่าอุบัติเหตุแบบนี้มันก็เกิดขึ้นได้ด้วย
แล้วยังจะไปเอาเรื่องกับศาสตราจารย์ต่อได้ยังไงในเมื่อทำตัวเองทั้งนั้น?
แต่ก็เสียดายเงินสองแสน
พี่ซ่งคิดแบบนี้
แต่ไม่นานผู้ช่วยก็เอาคลิปให้ดูด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ “พี่ซ่ง แย่แล้วพี่ มีคนจงใจแกล้งพี่อะ เหมือนจะเป็นบล็อกเกอร์สายแสดงความเห็นหน้าใหม่ ก่อนหน้านี้มันเข้ามาป่วนในคลิปที่พี่โพสต์เลยถูกเตะออก แล้วตอนนี้มันกำลังเอาคลิปที่พี่โพสต์มาโจมตีพี่เองบอกว่าพี่จงใจยุแยงศาสตราจารย์เหรินกับบ้านไร่ชิงหลินให้ผิดใจกันเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง เป็นต้นเหตุของความโกลาหลในโลกออนไลน์เมื่อคืนนี้เพราะงั้นต้องรับผิดชอบด้วย!”
“อะไรนะ!?” ใบหน้าของพี่ซ่งอัปลักษณ์สุดขีดแต่ก็รีบกดดูคลิป
“...ต้องบอกว่าพี่ซ่งคนนี้นี่ก็ช่างทำงานละเอียดซะจริง ๆ อาศัยการฉวยโอกาสเกาะศาสตราจารย์ที่กำลังเป็นกระแสเพื่อดึงกระแสเข้าสู่ตัวเอง ใช้คำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงเพื่อหาประโชน์ ช่างน่าอายจริง ๆ ทุกคน อะลองดูคลิปของมันนะ...”
เห็นได้ชัดว่าพี่ซ่งดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าในแวดวงของเน็ตไอเอลทั้งหลายเองก็มักจะใช้วิธีการเอาเปรียบกันเองเพื่อปีนขึ้นที่สูง ตัวเองที่ไปดูถูกคนอื่นเขาแบบนั้นก็สามารถโดนเองบ้างได้เหมือนกัน
ในทำนองเดียวกันการที่บล็อกเกอร์สายแสดงความคิดเห็นจะโดนบล็อกเกอร์คนอื่นเอาไปโจมตีบ้างก็เป็นเรื่องปกติใช่มั้ยล่ะ?
แน่นอนว่าไม่ต้องรอนาน ไอ้พี่ซ่งดูคลิปยังไม่ทันจบก็กระเบิดอารมณ์ขึ้นมา เพราะที่หน้าเพจหลังบ้านตัวเลขยอดซับลดเอา ๆ แถมคนที่ดูคลิปของไอ้หมอนั่นก็เข้ามาประณามหยามเหยียดกันรัว ๆ
“เชี่ยเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” พี่ซ่งปามือถือทิ้งเพื่อระบายความแค้น
โลกออนไลน์
หลังจากที่บ้านไร่ชิงหลินโพสต์คลิปล่าสุดทิศทางลมก็เปลี่ยนไปทันที และคำพูดของศาสตราจารย์เหรินก็ยังกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนด้วยว่าเหล้าดองสมุนไพรของบ้านไร่ชิงหลินมันได้ผลจริงหรือไม่ในทันที
แล้วผลกระทบอีกเรื่องคือตอนนี้มีอีกหลายคนที่กำลังเสียดาย เพราะก่อนหน้านี้ตัวเองได้ตัดสินใจว่าจะไปบ้านไร่ชิงหลินแล้วแท้ ๆ แต่กลับต้องระงับแผนการเดินทางเพราะเรื่องราวในโลกออนไลน์
คิดจะไปตอนนี้ต่อให้จะเร่งรีบขนาดไหนมันก็สายเกินไปแล้ว
พวกเขารู้ดีว่านอกจากต้องพลาดโอกาสในการรักษาโรคริดสีดวงทวารที่เป็นอยู่แล้ว ยามที่โรคมันปะทุกำเริบขึ้นมาในอนาคตรับรองว่าต้องมานั่งเสียใจภายหลังอีกรอบแน่นอน
ในบ้านแห่งหนึ่ง
นักเปิดโปงฉุนฉุนก็กำลังอ้าปากค้าง
เพราะรายนี้ก็เสียเงินไปหนึ่งแสนแต่กลับกลายเป็นเสียเปล่า
เธอคิดว่าตัวเองถูกไอ้ชาติชั่วศาสตราจารย์แซ่เหรินนั่นหลอกเอาซะงั้น
คิดได้ดังนั้นก็เตะเก้าอี้ตัวข้าง ๆ จนกระเด็นเพื่อระบายความแค้น
แล้วขณะที่กำลังจะระเบิดลงอีกรอบนั่นเองจู่ ๆ ก็มีข้อความเข้า เมื่อเปิดดูก็เห็นว่าเป็นข้อความจากศาลซึ่งทำให้หล่อนต้องสีตกในทันที
“...เนื่องจากคุณไม่ได้มาขึ้นศาล ศาลจึงแจ้งให้คุณทราบอย่างเป็นทางการว่าคุณแพ้คดีหมิ่นประมาทบ้านไร่ชิงหลิน... ตามคำขอร้องของโจทก์คุณจะต้องจ่ายค่าชดเชยแก่บ้านไร่ชิงหลิน 500,000 หยวน.. . หากไม่ชำระเงินภายในเวลาที่กำหนดศาลจะต้องบังคับใช้มาตรการที่เข้มข้น”
อ่านแล้วสีหน้าก็ยิ่งอัปลักษณ์ลงกว่าเดิม
สาเหตุที่เธอเกลียดชังบ้านไร่ชิงหลินก็เพราะอีกฝ่ายขอให้ไอ้ทนายแซ่ฉู่ส่งฟ้องเธอนี่แหล่ะ
“ห้าแสน! ห้าแสนเนี่ยนะ!” นักเปิดโปงฉุนฉุนพึมพำด้วยความหงุดหงิดเปิดมือถือเช็คดูยอดเงิน
ตอนนี้เริ่มเสียใจแล้วว่าทำไมตัวเองต้องไปใส่ร้ายบ้านไร่ชิงหลินเพราะแค่อยากได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนั้น ตอนนี้ไม่เพียงแต่ช่องที่ทำจะหายไปเท่านั้น แต้ยังต้องจ่ายค่าเสียหายให้อีกฝ่ายถึง 500,000 หยวนอีก
แล้วพอนับจำนวนเงินที่เหลือ ๆ อยู่จากหลาย ๆ แห่งมารวมกันก็ยิ่งต้องหน้าซีด เพราะนอกจากจะต้องจ่ายเงินให้พนักงานที่ออกไปแล้วยังต้องจ่ายเงินให้กับทางธนาคารเพื่อเป็นค่าเสียหายในสัญญาโฆษณาด้วย ตอนนี้เงินที่เหลือนับรวม ๆ แล้วมีอยู่ 400,000 หยวนซึ่งยังอีกไกลกว่าจะถึง 500,000 ส่วนต่าง 100,000
แล้วที่แย่ที่สุดคือไอ้ส่วนต่างนี่มันเกิดขึ้นเพราะเมื่อคืนเธอพึ่งเอาเงิน 100,000 ไปจ้างกองทัพเกรียนให้ช่วยโจมตีบ้านไร่ชิงหลิน
“ทำไม... ถึงเป็นงี้...”
เธอไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ยังไงเลย
........................................................................................................
หลังจากลมเปลี่ยนทิศทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังรีบเดินทางหมายจะไปเที่ยวบ้านไร่ชิงหลินด้วยความกระตือรือร้น
บนรถไฟความเร็วสูง หวางหยางนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ที่ต้องขึ้นรถไฟมาแบบนี้เพราะมันไม่มีเวลาแล้ว ขับรถมาเองยังไงก็ไม่ทันแน่ ๆ
ในอ้อมแขนของเขาคือหญิงสาวที่มีรูปร่างดี แต่งตัวสวย ดูเงียบขรึมสมเป็นกุลสตรี
ก็คือแฟนเขานั่นแหล่ะชื่อซูจวน จะว่าเป็นคู่หมั้นก็ได้ ก็สัญญาไว้แล้วนี่ว่าหลังจากกลับจากบ้านไร่ชิงหลินคราวนี้จะไปจดทะเบียนสมรสกัน
ก็เพราะเพื่อสนิทปานพี่น้องกันคนนั้นนั่นแหล่ะที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าตัวเองควรจะแต่งงานกับใครดี
พี่น้องแสนดีเป็นคนรักสนุก เมื่อสนุกจนพอแล้วก็กะจะหาผู้หญิงดี ๆ ลงหลักปักฐาน พอได้แล้วใครมันจะไปเชื่อว่าผู้หญิงดี ๆ นางนั้นกลับมีอดีตที่หนักยิ่งกว่าตัวเองซะอีก และที่หลอนที่สุดในตอนนี้คือลูกของทั้งสองเริ่มรู้ความแล้ว...
คนหลั่นล้าชอบเที่ยวไนต์คลับอย่างพวกเขาก็เหมาะสมแล้วกับผู้หญิงหลั่นล้าเหมือนกัน
เมื่อมองดูชุดเนี้ยม ๆ ของซูจวนในอ้อมแขนเขาก็แทบไม่อยากจะนึกเลยว่าแม่กุลสตรีแต่งหน้าหนาเตอะนี่ตัวจริงตอนกลางคืนเป็นยังไง
ซูจวนไม่รู้ว่าหวางหยางกำลังคิดอะไรอยู่ เธอกำลังดูมือถือพร้อมกับพูดเบา ๆ ว่า “พี่หยาง ไม่คิดเลยนะว่าศาสตราจารย์คนนั้นจะเอ่ยปากขอโทษ”
หวางหยางได้ยินก็ยิ้ม “แล้วไม่ดีเหรอ? เพราะคลิปแรกสุดของแกน่าจะทำให้จำนวนคนไปบ้านไร่ชิงหลินน้อยลง เราอาจไม่มีคู่แข่งเลยก็เป็นได้ เผลอ ๆ อาจเจอผลประโยชน์มากขึ้นก็เป็นได้นา”
“จริงด้วยพี่หยาง พี่นี่ฉลาดจังเลย” ซูจวนพูดชื่นชมทันที
ในไม่ช้าไฟก็มาถึงสถานี แต่พอลงรถมาก็ต้องพบว่าความคิดก่อนหน้านี้ของตนนี่ก็ช่างมั่วซั่วโดยแท้
เพราะตรงที่รอรถมีคนต่อคิวรอขึ้นแท็กซี่ยาวเหยียดถึง 2 แถว แถมแท็กซี่แต่ละคันนี่เรียกว่าอัดกันเป็นปลากระป๋องไปเลย
“อ่าวเฮ่ย! นี่เอ็งก็จะไปบ้านไร่ชิงหลินด้วยเอ่อ?”
“เออ! เอ็งก็ด้วยเอ่อ?”
“ทำไมบ้านไร่ชิงหลินต้องมาเปิดในอำเภอเล็ก ๆ งี้ด้วยว้า จะไปทีนี่ต้องต่อคิวซะนานเลย”
“จริง แต่ที่สำคัญที่สุดคือแท็กซี่แม่งน้อยเกิ๊น ดูดิกว่าจะมีคนมาโบกให้ออกไป”
“...”
ทั้งหมดนี่คือนักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยวบ้านไร่ชิงหลิน แต่ละคนต่างจับกลุ่มคุยกันพร้อมบ่นด้วยความกระวนกระวายใจ
ใครมันจะไปคิดล่ะว่าในอำเภอเล็ก ๆ แบบนี้จะต้องมารอคิวขึ้นแท็กซี่
กลับกัน เหล่าคนขับแท็กซี่ทั้งหลายนี่มีความสุขขีกันเหลือเกินทั้ง ๆ ที่พวกตัวเองมีจำนวนไม่พอต่อความต้องการของลูกค้า จากสถานี่ไปบ้านไร่ชิงหลินก็ 40 นาที ค่าโดยสารรอบละประมาณ 70 – 85 หยวน
วันหนึ่งวิ่งจากสถานีไปบ้านไร่ชิงหลิน 10 เที่ยวเหนาะ ๆ แล้วขากลับยังรับคนจากบ้านไร่ชิงหลินมาส่งได้อีก!
ทำให้ต่อวันหาลูกค้าได้ 15 กลุ่มแบบไม่ยาก ทำให้ได้เงินค่าโดยสารประมาณวันละ 1,050 – 1275 หยวน หลังจากหักค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้วก็เอาเป็นว่าหาเงินได้เดือนละเป็นหมื่นได้สบาย ๆ แล้วกัน
สำคัญคือนักท่องเที่ยวที่จะไปบ้านไร่ชิงหลินก็เยอะเกินไป รถที่จะรับส่งก็ไม่พอทำให้บริษัทมีแผนจะเพิ่มจำนวนรถด้วย
อาจกล่าวได้ว่าในอำเภอโหยวเฉิงซึ่งมีเงินเดือนต่อหัวอยู่ที่ 3,000 – 4,000 หยวนแล้วคนขับแท็กซี่ได้กลายเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง และกลายเป็นอาชีพที่ผู้คนต้องการมากที่สุด
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณบ้านไร่ชิงหลินมาก พวกเขายังรู้ว่างานที่ได้มานี้เป็นบ้านไร่ชิงหลินที่มอบให้ ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะช่วยเหลือบ้านไร่ชิงหลินโดยการแนะนำสถานการณ์ของบ้านไร่ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาว่าสามารถเพลิดเพลินกับอะไรได้บ้าง และยังเล่าแต่สิ่งดี ๆ ของบ้านไร่ชิงหลินให้ฟังด้วย
พวกเขารู้ว่าตราบใดที่บ้านไร่ชิงหลินไม่ล่มสลายงานของพวกเขาก็จะมั่นคงยั่งยืน
หวางหยางกับซูจวนรออยู่นานมากจนในที่สุดก็มาถึงบ้านไร่ชิงหลินจนได้ ทันทีที่ลงรถมาเสียงแรกเลยที่ได้ยินคือเสียงฉาบ กลอง และเสียงประทัด
ทั้งคู่เห็นว่าได้มีป้ายที่มีผ้าสีแดงคลุมไว้แขวนแทนที่ป้ายเดิมซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นป้ายใหม่ที่ทางบ้านไร่หามาเปลี่ยน
ในเวลานี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากล้อมรอบอยู่ตรงทางเข้าและกำลังสงสัยในป้ายแผ่นใหม่ของบ้านไร่ชิงหลิน
ฉินหลิน, จ้าวโม่ชิง, เหล่าซุปเปอร์ไวเซอร์, เฉินเชิ่งเฟย หม่าเลี่ยเหวิน และหลี่ชิงก็เข้ามาดูอยู่ใกล้ ๆ ฟังเสียงประทัดที่ระเบิดกันอย่างรัว
“เฒ่าเฉิน นายว่าป้ายจะหน้าตาเป็นไง” หม่าเลี่ยเหวินถามด้วยความสงสัย
ตั้งแต่มาที่นี่จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นป้าย
“ต้องออกมาดีชัวร์อยู่แล้ว เพราะแบบป้ายฉันเป็นคนทำ ส่วนแบบอักษรเป็นฝีมือเปี่ยวจู” เฉินเชิ่งเฟยยิ้มตอบ
“หวังว่าทุกท่านจะไม่ผิดหวัง” เฉินเฟิงอู่พูดพลางประสานมือคารวะทุกคนรอบข้าง
นักท่องเที่ยวที่รายล้อมได้ยินเสียงประทัดรัวขึ้นเรื่อย ๆ
และในเวลานี้เองเฉินต้าเป่ยได้เดินไปที่ด้านล่างของป้ายแล้วคว้ามุมของผ้าแดง
พิธีเปิดบ้านไร่นั้นไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากมายเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ มีก็แค่ฆ้อง ฉาบ กลอง และประทัด ซึ่งเป็นของเฉลิมฉลองปกติ และของสมนาคุณอีก 4,666 ชิ้นที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมีชีวิตชีวา
และฉินหลินก็ไม่ได้ออกไปเปิดม่านเองเหมือนเหล่าเจ้าของกิจการใหญ่ ๆ คนอื่นด้วยซ้ำ
เขาไม่ได้อยากเปิดเผยตัวซึ่งมันจะทำให้เขาสามารถทำอะไรได้อย่างคล่องตัวมากกว่า
ส่วนเฉินต้าเป่ยที่ต้องออกหน้านั้นย่อมรู้สึกตื่นเต้นกว่าใคร
การที่เถ้าแก่มอบหมายให้งานสำคัญอย่างการเปิดผ้านี่แสดงถึงความไว้วางใจ แสดงว่าตนคือคนสนิทของเถ้าแก่
“เปิดม่าน!”
เฉินต้าเป่ยตะโกนพร้อมดึงผ้าแดงออกอย่างสวยงาม
ต่อมา...
ป้ายไม้หวงฮัวหลีคุณภาพเลเวล 2 ได้ปรากฏขึ้นแก่สายตาของทุก ๆ คนโดยมีคำว่า ‘บ้านไร่ชิงหลิน’ พิมพ์อยู่
คุณสมบัติดึงดูดความสนใจ +2 และบรรยากาศทางศิลปะ +2 ยังทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาออกจากมันได้ในทันที
แถมตัวอักษร ‘บ้านไร่ชิงหลิน’ นั้นยังงดงามดูวิจิตรศิลป์โดยไม่รู้จะสรรค์หาคำใด ๆ มาพรรณนา
หม่าเลี่ยเหวินที่เห็นก็ตะลึงไปเหมือนกัน “อาจารย์เฉิน คำที่อาจารย์เขียนนี่สุดยอดจริง ๆ เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่ผมได้เห็นตัวอักษรที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ อาจารย์ช่วยจัดให้บริษัทผมบ้างได้มั้ยครับ”
หลี่ชิงอดพูดไม่ได้เลยว่า “อาจารย์เฉิน แบบอักษรของอาจารย์ดีสุดในประเทศจริง ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ดีกว่าแบบอักษรที่ผมเคยเห็นมาทั้งหมดล่ะครับ”
เฉินเชิ่งเฟยมองไปที่ตัวอักษรด้วยอาการคิ้วขมวด
เขารู้สึกเหมือนมันไม่ค่อยถูกต้อง ‘ทำไมมันเหมือนแต่ดันไม่เหมือนกันวะ?’
ที่ตะลึงกว่าคือตัวอาจารย์เฉินเฟิงอู่เอง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าคำว่า ‘บ้านไร่ชิงหลิน’ นั่นตัวเองเป็นคนเขียนจริง ๆ
ตอนที่เขาเขียนลงกระดาษมันไม่ได้ให้ความรู้สึกมีชีวิตแบบนี้ แต่ทำไมพอไปอยู่บนป้ายแล้วมันกลับให้ความรู้สึกว่านี่แหล่ะชีวิตขึ้นมาได้ล่ะ?
ตัวเขาเองเห็นปุ๊บยังตกหลุมรักเลยทั้งที่มาจากลายมือตัวเองแท้ ๆ แบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่หลี่ชิงจะชมว่าเป็นอันดับหนึ่ง
“หรือว่าตอนนั้นเราจะระเบิดพลังแฝงเหนือธรรมชาติออกมาวะ? หรือเราจะมีพลังลับอันแข็งแกร่งซ่อนอยู่?” อาจารย์เฉินเฟิงหวู่พึมพำกับตัวเองพยายามนึกถึงสภาวะตอนที่เขียน ณ ตอนนั้นให้ออก
ดูเหมือนตอนนั้นตัวเองจะเมาหนัก พอได้รับสายจากลูกชายของลูกพี่ลูกน้องอย่างเฉินเชิ่งเฟยก็เลยได้เขียนตัวอักษรเหล่านั้นออกมาลวก ๆ ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แล้วส่งให้อีกฝ่าย ส่วนตอนนี้กระดาษที่มีตัวอักษรต้นฉบับนั้นเอาทิ้งลงถังขยะใบไหนไปแล้วก็ไม่รู้
ยิ่งหลังจากมาเจอการรับรองอันดีเยี่ยมของเถ้าแก่บ้านไร่แล้วด้วยมันก็ยิ่งอับอายไม่กล้าพูดถึงแบบอักษรบ้า ๆ บอ ๆ ตอนนั้นเลย
แต่ใครมันจะไปเชื่อล่ะว่าไอ้ลายมือบ้า ๆ บอ ๆ ตอนนั้นมันจะออกมาดีได้ขนาดนี้
หรือเราจะเปิดประสบการณ์ใหม่? การดื่มเหล้าจนเมาไม่เพียงแค่ไม่ทำให้ฝีมือการเขียนพู่กันห่วยลงเท่านั้น แต่กลับทำให้ฝีมือสูงขึ้น?
ปรมาจารย์เฉินเฟิงอู่รู้สึกกระตือรือร้นอยากกลับบ้านไปลองอีกซักรอบมันเดี๋ยวนี้เลย
ปล. ตอนยาวโคตร แต่ให้อ่านฟรีไปเลย