ตอนที่แล้วตอนที่ 7 เรียนรู้การแลกเปลี่ยน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9 เรียนรู้การแลกเปลี่ยนอีกครั้ง (2)

ตอนที่ 8 เรียนรู้การแลกเปลี่ยนอีกครั้ง


จรรยาบรรณในการทำงานของนานะไม่อนุญาตให้มีการเล่นพรรคเล่นพวกใด ๆ ลิธอาจจะเป็นลูกมือในอนาคตของเธอ แต่ทิสต้าก็ต้องรอคิวเหมือนคนอื่น ๆ

ลิธไม่ได้มีความสุขนักที่ต้องรออย่างนี้ ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเขาจะใช้ทุกวินาทีเพื่อทบทวนวิชาที่เขาอ่อนที่สุด

‘มีเรื่องมากมายที่ต้องอ่านแต่มีเวลาให้อ่านน้อยมาก มันคงจะดีกว่าที่จะปล่อยวางเวทมนตร์แสงและเวทมนตร์ความมืดไปก่อนเพราะพวกมันเป็นองค์ประกอบธาตุที่อยู่นอกฟิสิกส์ที่ฉันรู้จัก แล้วในกรณีที่ดีที่สุดมันก็คงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าฉันจะได้หนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกครั้ง และมีเพียงสิ่งเดียวที่ฉันสามารถทำได้นั้นก็คือการเรียนรู้ด้วยตนเอง’ เขาคิด

เมื่อถึงคิวของพวกเขา ลิธก็ทำการศึกษาอย่างรอบคอบว่าผู้รักษาใช้เวทมนตร์แสง Vinire Rad Tu อย่างไร

มันเป็นพลังชีวิตแบบเดียวกันกับที่เขาเจอตอนที่เธอใช้คาถากับเขาเมื่อสามปีก่อน แต่คราวนี้เขามีความเข้าใจและมุมมองเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ดีกว่าเดิมมาก

เนื่องจากเขานั่งอยู่ข้าง ๆ นานะ ลิธจึงสามารถชื่นชมทุกท่วงท่าและการเคลื่อนไหวของมือที่นานะใช้เพื่อขยายประสิทธิภาพของคาถาได้ แสงที่ห่อหุ้มร่างกายของทิสต้าเปลี่ยนเป็นสีเทารอบ ๆ หน้าอกของเธออย่างรวดเร็วและกลายเป็นรูปร่างปอดของเธอ

“ข้ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีก็คือสภาพของทิสต้ายังเหมือนเช่นเคยไม่มีวี่แววของการเสื่อมสภาพในเวลานี้ ข่าวร้ายก็คือดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ดีขึ้นเช่นกัน”

“ข้ากลัวว่าเธอจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป ยิ่งเธอเติบโตมากเท่าไหร่โอกาสที่ร่างกายของเธอจะสามารถรักษาตัวเองได้ก็ยิ่งน้อยลง”

บรรยากาศในห้องเปลี่ยนหนักอึ้ง การที่ต้องเจ็บป่วยตลอดชีวิตนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น

ลิธตกใจมากจนเขาลืมเรื่องหนังสือไปเลย โลกทั้งโลกไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลยถ้าเขาไม่สามารถแบ่งปันมันกับคนสามคนที่เขารักและไว้วางใจได้

พวกเขาออกจากบ้านนานะด้วยความหดหู่และกลับบ้านด้วยความเงียบ

เมื่อกลับไปถึงบ้าน เอลิน่าก็บอกข่าวร้ายกับทุกคนแล้วเข้าไปในอ้อมกอดของราซก่อนที่จะเริ่มร้องไห้ จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มร้องไห้ออกมาแล้วก็กอดกันและกัน

ลิธอนุญาตให้ตัวเองร้องไห้และก่นด่าให้กับชะตากรรมที่โหดร้ายที่เกิดขึ้นกับพี่สาวของเขา

‘เวทมนตร์จะมีประโยชน์อะไรถ้าฉันไม่สามารถช่วยอะไรได้? ทำไมฉันถึงต้องกลับชาติมาเกิดเพียงเพื่อที่จะย้ายจากนรกแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง? ฉันแค่โชคร้ายหรือว่ามันเป็นความผิดของฉัน? เป็นไปได้ไหมว่าในชีวิตก่อนหน้านี้ฉันได้ทำเรื่องที่โหดร้ายเอาไว้ทำให้ตอนนี้ทุกคนที่ฉันรักต้องถูกสาป? นี่เป็นการลงโทษของฉันใช่ไหม?’ เขาคิด

ในวันต่อมาลิธเอาแต่ทบทวนทุกทางเลือกในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ก่อนที่จะยอมรับความจริง ทิสต้าได้ป่วยอยู่แล้วในตอนที่เขาฟื้นคืนชีพครั้งที่สองดังนั้นมันน่าจะไม่ได้เป็นความผิดของเขา

ตอนนี้เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นลูกมือของนานะเขาจึงสามารถฝึกเวทมนตร์ได้อย่างเปิดเผย ในไม่ช้าเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีความสามารถในการทำความสะอาดบ้านทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียวซึ่งมันช่วยแบ่งเบาภาระของทั้งแม่และพี่สาวของเขา

ต้องขอบคุณเวทมนตร์ธาตุมืดมันทำให้การล้างจานและหม้อใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ไม่มีอะไรที่เป็นสารอินทรีย์เหลืออยู่เลยไม่ว่าจะเป็นเศษอาหารหรือไขมันก็ไม่สามารถหลุดรอดจากการถูกทำให้กลายเป็นฝุ่นด้วยพลังความมืด

นอกจากนี้เขายังได้ทำการทดลองเวทมนตร์ธาตุแสงนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อค้นหาวิธีการรักษาทิสต้า แต่สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือการประคับประคองอาการของเธอไว้เท่านั้น ตอนนี้ทิสต้าต้องไปรักษากับนานะน้อยลง แต่อาการของเธอก็ยังไม่ได้ดีขึ้น

สิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำทำให้ออพัลเกลียดเขามากขึ้นเรื่อย ๆ

‘อวดเก่ง! ฉันจะสนุกกับชีวิตได้อย่างไรถ้าเจ้านี่ยังอยู่แบบนี้? เจ้าปลิงนี่ไม่เพียงแต่แบ่งเบาภาระงานของแม่เท่านั้น แต่เขายังได้ใช้เวลาร่วมกับทิสต้าอีกด้วย’ ออพัลคิด

‘แม้แต่พ่อและแม่ก็ยังชื่นชมเจ้านั่นอยู่เสมอเรื่องพรสวรรค์และความฉลาดของเขา ตอนนี้พวกเขาไม่เคยหยุดพูดเลยเรื่องที่เจ้าปลิงช่วยลดรายจ่ายของครอบครัวพวกเขาเป็นเงินจำนวนมากด้วยการดูแลสุขภาพของทิสต้า’

‘ไม่มีใครชมแม้แต่คำเดียวที่ข้าลงแรงไปทั้งหมดและใช้เวลาไปกับการทำฟาร์ม! พระเจ้าทำไมท่านถึงปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่? ทำไมท่านไม่มอบพรสวรรค์อะไรแก่ข้าบ้างเลย?’

เกี่ยวกับความรู้สึกของพี่ชายของเขาลิธทำเพียงแค่เหมือนลืม ๆ มันไป เพราะเขาก็ไม่มีวิธีรับมือที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ในเรื่องพลังเวทมนตร์และความเข้าใจเกี่ยวกับมานาของเขามันยังคงมีพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่สามารถลบรสชาติของความล้มเหลวที่เขาเผชิญอยู่ตลอดได้

ในปีต่อ ๆ ไปเขาก็ไม่รู้สึกมีความสุขเกี่ยวกับการค้นพบเวทมนตร์ใหม่ ๆ อีกแล้ว เนื่องจากสิ่งที่ค้นพบนั้นมันไร้ประโยชน์ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพลังทั้งหมดของเขานั้นไร้ความหมาย

และในที่สุดเขาก็อายุสี่ขวบ เด็กที่มีช่วงอายุสี่ถึงหกขวบในลูเทียจะถูกเรียกว่า "ยุคทอง" เนื่องจากเด็กที่มีอายุเท่านี้นั้นโตมากพอที่จะมีอิสระเป็นของตัวเอง และยังเด็กเกินไปที่จะต้องมาช่วยเหลืองานในชีวิตประจำวัน

พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เล่นได้ทั้งวันโดยไม่ต้องสนใจโลก มันเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะหาเพื่อนและทำความสนิทกับเพื่อนบ้านของตัวเองให้มากขึ้น และก็เป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในวันเกิดสี่ขวบของเขาหลังจากที่ลิธทำงานบ้านเสร็จแล้วเรน่าก็พาเขาไปแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนบ้านทั้งหมดก่อนที่จะพาเขากลับบ้าน

เขาควรจะไปเข้าสังคมและเล่นสนุก แต่ลิธมีแผนในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะความล้มเหลวหรือความเศร้าโศกมากมายที่เขาต้องเผชิญแต่มันก็ไม่เคยทำให้เขาลืมเลือนความหิวโหยที่กลืนกินเขามานานตั้งแต่ตอนที่เขาอายุเพียงห้าเดือน

ฟาร์มของราซอยู่ที่ชายขอบด้านตะวันตกของพื้นที่เพาะปลูกของลูเทีย มันอยู่ห่างจากป่าใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อทราว์นประมาณหนึ่งกิโลเมตร

แม้จะบอกว่าเป็นป่าใหญ่แต่มันก็ไม่ใช่สถานที่ที่อันตรายอะไร ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงต่างก็พึ่งพิงป่าแห่งนี้เป็นแหล่งไม้หลักที่ใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา

ป่าทราว์นนั้นมีสัตว์ป่ามากมาย ดังนั้นคนที่กล้าหาญและโชคดีพอก็จะไปล่าสัตว์ตลอดทั้งปีเพื่อล่าเนื้อสัตว์มีค่า ขนสัตว์ที่อบอุ่น หรือทั้งสองอย่างมาจากพวกมัน

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพบกับมอนสเตอร์ในป่าเว้นแต่จะเข้าไปลึกหลายกิโลเมตร เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสำรวจป่าอย่างละเอียด ทำให้พื้นที่ด้านในยังคงเป็นดินแดนที่ไม่มีข้อมูลบนแผนที่

มีเหตุผลที่ลิธไม่เคยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในโลกใหม่นี้หรือไม่แม้แต่จะฝึกท่าเท้าเลย เพราะว่าการที่เขาฝึกเวทมนตร์อย่างต่อเนื่องนั้นทำให้เขาต้องใช้พลังงานจำนวนมาก และครอบครัวของเขาก็ไม่มีอาหารเพียงพอสำหรับการฝึกของเขา

ลิธผอมมากกว่าพี่น้องทุกคนของเขา การถูกชนเพียงนิดเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นกองกระดูกได้เลย ดังนั้นเขาจึงต้องการอาหารอย่างมาก

แต่เนื่องจากเขาเป็นเด็กในเมือง เขาจึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการล่าสัตว์ ดังนั้นเขาจึงต้องการครูและนั่นก็คือเหตุผลที่เขามุ่งหน้าไปยังบ้านของเซเลีย ฟาสแทร์โร เธอเป็นนักล่าเพียงคนเดียวในหมู่เพื่อนบ้านของพวกเขา

‘ปัญหาก็คือฉันไม่รู้ว่าจะขอให้เธอช่วยฉันได้อย่างไร ฉันยังเด็กเกินไปสำหรับการเป็นลูกมือและแม้ว่าฉันจะไม่ได้เด็กเกินไป และมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เธอจะเคยได้ยินเกี่ยวกับตกลงระหว่างเขากับนานะ’

‘เธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องช่วยฉันเลย ฉันได้แต่หวังว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่ใจดีและมีเมตตา’ เขาคิด

บ้านของเซเลียเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวซึ่งมีขนาดเล็กกว่าบ้านของลิธ มันมีขนาดใหญ่ประมาณหกสิบตารางเมตร ไม่มีเล้าไก่หรือโรงนา ยกเว้นพื้นที่รอบ ๆ ตัวบ้านพื้นที่อื่น ๆ นั้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าที่สูงชัน

‘เธอไม่มีความสนใจในการทำฟาร์มและการเลี้ยงสัตว์ซึ่งนั่นเป็นข่าวดีสำหรับฉัน มันหมายความว่าการล่าสัตว์ของเธอนั้นดีพอที่จะใช้ดำรงชีวิต แล้วก็ฉันสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในโรงเก็บของข้าง ๆ บ้านของเธอ มันมีขนาดใหญ่เกือบจะเท่าบ้านของเธอเลย’ เขาคิด

ลิธเคาะประตู ในขณะที่ไส้ของเขาแทบจะบิดเป็นเกลียวด้วยความกังวล และประตูก็เปิดออกเกือบจะในทันที

“เจ้าอีกแล้วงั้นหรอ? เจ้าหลงทางหรือไง?” เซเลียเป็นผู้หญิงในช่วงวัยยี่สิบกลาง ๆ เธอสูง 1.7 เมตร ผิวของเธอเป็นสีแทนจากการตากแดดมานานหลายปี ผมสีดำของเธอถูกตัดสั้นเหมือนกับทรงผมทหารที่โลก

เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่ง แต่หน้าอกเล็ก ๆ ของเธอควบคู่ไปกับดวงตาที่แหลมคม และทัศนคติที่หยาบกร้านของเธอทำให้เธอดูเป็นลูกผู้ชายกว่าเกษตรกรส่วนใหญ่

เธอสวมแจ็คเก็ตหนังทับเสื้อเชิ้ตสีเขียว สวมกางเกงทรงทหารสีเขียว และสวมรองเท้าล่าสัตว์สีน้ำตาลที่มีพื้นรองเท้านุ่ม ๆ เพื่อกำจัดเสียงที่เกิดขึ้นในขณะที่เคลื่อนไหว

“สวัสดีท่านฟาสแทร์โร ข้าต้องการความช่วยเหลือของท่าน ท่านช่วยสอนวิธีการถลกหนังและเอาเครื่องในสัตว์ออกได้ไหม?”

เซเลียเลิกคิ้วขึ้น “ทำไม?”

“เพราะข้าหิว” ลิธคิดว่าการพูดไปตามจริงจะดีที่สุด “ท้องของข้าไม่เคยถูกเติมเต็มเลย ข้าลืมไปนานแล้วว่าความรู้สึกอิ่มมันเป็นยังไง ข้านั้นรู้วิธีล่าและข้าก็รู้อีกด้วยว่าถ้าไม่มีการจัดการที่เหมาะสมเนื้อพวกนั้นก็จะกินไม่ได้”

“ไม่ เจ้ากำลังเข้าใจผิด ข้าหมายความว่าทำไมข้าต้องช่วยเจ้าด้วย? ข้าช่วยเจ้าไปแล้วจะได้อะไรกัน?” ตอนนี้เธอกำลังหมวดคิ้ว

“แล้วท่านต้องการอะไร?” ลิธถามขณะที่เขาซ่อนความต้องการที่จะเธอฆ่าเธอให้ตายอย่างช้า ๆ และเจ็บปวด เขาหิวมากพอที่จะมองเธอเป็นเหยื่อของเขา

“ข้าพูดตรง ๆ ข้าไม่คิดว่าเจ้าแคระที่ตัวสูงแทบจะถึงเข็มขัดของข้าจะสามารถล่าอะไรได้ แม้แต่หนูซักตัวก็คงจะยาก และเนื่องจากการสอนมันจะทำให้ข้าเสียเวลาดังนั้นข้าจึงต้องการค่าตอบแทน”

เธอลูบคางของเธอเพื่อคิดข้อเสนอที่แย่พอที่จะไล่เจ้าหนูนี่ออกไป เธอไม่เคยต้องการมีลูกของตัวเองมาก่อนดังนั้นเธอจึงไม่ชอบการถูกบังคับให้ไปจัดการเรื่องของคนอื่น

“ถ้าหากเจ้าต้องการเรียนรู้จากข้า ก่อนอื่นเจ้าต้องนำสัตว์ป่าที่ล่าได้มาที่นี่ เพราะหากเจ้าเป็นคนแล่เนื้อมันจะทำให้สินค้าของข้าเสียหาย มันจะสิ้นเปลืองทั้งสินค้าและเวลาของข้า ดังนั้นข้อเสนอของข้าคือ ไม่ว่าเจ้าจะจับตัวอะไรมาให้ข้าข้าจะสอนวิธีการถลกหนังและวิธีเอาเครื่องในออก แต่ครึ่งหนึ่งเป็นของมันจะต้องเป็นของข้า เจ้ายอมรับข้อเสนอนี้ไหม?”

‘ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ทั้งคนใจดีและมีเมตตาเลย นี่มันการปล้นกันกลางวันแสก ๆ ชัด ๆ’ ลิธคิด

“ข้อยอมรับมัน แล้วท่านจะอยู่บ้านนานแค่ไหน?” เขาตอบ

“ข้าจะอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันเพราะว่าข้ามีงานที่ต้องทำเยอะมาก ทำไมงั้นหรอ?”

“เพราะถ้าข้าจะกลับมาพร้อมกับเหยื่อของข้า ข้ายังต้องการความช่วยเหลือจากท่าน อย่าลืมข้อตกลงของเราล่ะ”

ลิธหันหลังกลับแล้วเดินไปทางป่า การได้เห็นการออกของเจ้าแคระตัวน้อยที่ไม่มีแม้แต่คันธนู กับดัก หรือกระเป๋าสำหรับเก็บสัตว์ป่ากลับมา เซเลียจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ

อย่างน้อยเธอก็หัวเราะจนกระทั่งประตูปิดกระแทกหน้าของเธอจนทำให้เธอล้มลงไปกระแทกพื้น หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าต่างที่ใกล้ที่สุด

ลิธยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่หน้าของเขาหันไปทางประตูของเธอ และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอย่างสดใสของแสงสลัวของรุ่งอรุณ

หลังจากไปที่ชายขอบของป่าเขาก็เปิดใช้งานคาถาธาตุแสงไลฟ์วิชั่น มันเป็นหนึ่งในหลาย ๆ สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาหลังจากหนึ่งปีของการฝึกฝน ด้วยการผสานเวทมนตร์ธาตุแสงเข้ากับดวงตา ลิธสามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตเป็นสีในขณะที่อย่างอื่นกลายเป็นเฉดสีเทา

ยิ่งมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งเท่าไหร่แสงสว่างก็จะยิ่งมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเท่านั้น ด้วยวิธีนี้เขาก็จะสามารถมองเห็นสัตว์ได้อย่างง่ายดายแม้ว่าพวกมันจะซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ในพุ่มไม้ หรือภายในต้นไม้ก็ตาม

ลิธไม่จำเป็นต้องล่าสัตว์ที่ตัวใหญ่เกินไป ตราบใดที่มันมีเนื้อมันก็เป็นเหยื่อที่สมบูรณ์แบบ

สัตว์ส่วนใหญ่จะวิ่งหนีไปทันทีเขาเข้าไปใกล้พวกมันแต่ก็ไม่ใช่ทุกตัวที่จะเป็นแบบนั้น นกและกระรอกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ทำให้พวกมันคิดว่าปลอดภัย แต่โชคไม่ดีสำหรับพวกมันเนื่องจากจิตเวทย์ของลิธได้มีรัศมีประมาณยี่สิบเมตรแล้ว

และพวกมันทั้งหมดก็อยู่ในรัศมีพอดี

เขาแค่ต้องกางฝ่ามือแล้วยื่นมือออกไปที่เหยื่อ จากนั้นก็บีบและหมุนมือของเขาเพื่อหักคอของพวกมัน ในเวลาน้อยกว่ายี่สิบนาทีเขาได้ฆ่านกแปลก ๆ ไปสองตัวและกระรอกอีกสองตัว

‘ข้าสามารถล่าได้มากกว่านี้ แต่ข้าต้องการแบ่งมันให้เธอน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้’ ลิธคิด

ในขณะที่กลับไปที่บ้านของนักล่า ความโลภของเขาก็ถกเถียงกับความโกรธของเขาอย่างดุเดือด

‘แม่งเอ้ย! ฉันคิดว่าจริง ๆ แล้วฉันแค่ถามพ่อของฉันก็ได้ ฟาร์มของเรามีเล้าไก่และพวกเราก็กินไก่ ดังนั้นเขาต้องรู้วิธีการฆ่ามันแน่นอน แต่ถ้าฉันทำอย่างนั้นฉันจะถูกบังคับให้ต้องแบ่งเหยื่อของฉันกับคนอื่น’

‘และถ้ามีบางสิ่งที่ฉันเกลียดมากกว่าการถูกปล้นโดยเจ้าตะกละนั่นก็คือความคิดที่ว่าออพัลและไทรออนจะได้เนื้อสัตว์ปริมาณเท่ากันกับฉัน หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือเนื่องจากพวกเขาอายุมากกว่าพวกจึงได้รับส่วนแบ่งเนื้อที่มากกว่า’

‘ฉันเป็นคนล่าเหยื่อพวกนี้! เพราะฉะนั้นเนื้อพวกนี้จึงเป็นของฉัน! พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้กินเศษเนื้อในตอนที่ฉันต้องการให้พวกเขาได้กินเท่านั้น!’

เมื่อลิธมาถึงประตูบ้านของเซเลียเขาก็สงบลงและจัดการซ่อนความโกรธของเขาไว้ภายใต้รอยยิ้มของเขา จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งก่อนที่จะเคาะประตู

เมื่อเซเลียเห็นเขาและเธอก็กำลังจะเยาะเย้ยเขาและเรียกเขาว่าไอขี้แพ้ ที่ยอมแพ้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่แล้วลิธก็แสดงให้เธอเห็นเหยื่อของเขา ทำให้เธอต้องกลืนคำพูด “อย่าดูถูกงานของนักล่า รู้แล้วรึยังว่ามันยากแค่ไหน” ทั้งหมดลงไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด