ตอนที่แล้วตอนที่ 150: สำนักงานใหญ่สมาพันธ์จัสทิส
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 152: ฟิวรี่

ตอนที่ 151: ทูราม


ตอนที่ 151: ทูราม

ทูรามมีอายุไล่เลี่ยกับฉินหมางแต่ฉินหมางปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนมีรูปร่างเหมือนกับลูกบอล แต่ทูรามยังคงรักษารูปร่างของเขาเอาไว้เป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าเขาดูจะมีอายุมากกว่า 70 ปีแต่เขาก็ยังคงทำการฝึกฝนอยู่ทุกวัน

ฟุบ!

ทูรามเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าพร้อมกับกางนิ้วทั้งห้าที่แหลมคมราวกับกรงเล็บนกอินทรี นอกจากนี้จิตสังหารที่เขาปลดปล่อยออกมายังมีความรุนแรงราวกับลมพายุอันน่าสะพรึงกลัว!

ขณะเดียวกันแม้ว่าเซี่ยเฟยจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้อำนวยการคนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะหลบหนีแต่พุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามแทน!

ผู้ที่มีพลังสายความเร็วเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคล่องแคล่ว แต่การที่เซี่ยเฟยพุ่งเข้าหาศัตรูแบบนี้ไม่ต่างไปจากการเอาจุดอ่อนของตัวเองไปปะทะกับจุดแข็งของคู่ต่อสู้

ชายหนุ่มขมวดคิ้วพร้อมกับใช้ขาถีบพื้นอย่างแรงจนทำให้ร่างของเขาพุ่งตัวเรียบไปกับพื้นราวกับกระสุนปืนใหญ่ โดยมีเป้าหมายคือเข่าของทูราม!

“หือ?” ทูรามอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่ร่างกายท่อนบนของเขาจะเหยียดตรงและทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเปลี่ยนไปกลางอากาศ!

ทันใดนั้นการโจมตีของทูรามก็เปลี่ยนไปเป็นแนวเฉียงและถึงแม้ว่าการโจมตีในรูปแบบนี้จะมีพลังทำลายด้อยกว่าการโจมตีในครั้งแรก แต่เซี่ยเฟยก็ไม่สามารถที่จะจู่โจมเข้าใส่เข่าของทูรามอย่างง่าย ๆ ได้เหมือนกัน ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าวิชาการต่อสู้ของทูรามได้แซงหน้าชายหนุ่มไปไกล

เซี่ยเฟยเป็นผู้ใช้พลังสายความเร็วและได้เรียนรู้เทคนิคเล่ห์กายา ดังนั้นเขาจึงสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการโจมตีได้ตลอดเวลา

ขณะเดียวกันทูรามก็ไม่ใช่ผู้ใช้พลังสายความเร็วและเขาก็ไม่เคยเรียนรู้เทคนิคเล่ห์กายามาก่อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนการโจมตีกลางอากาศได้ ซึ่งมันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ที่มีทักษะเหนือกว่านักสู้ทั่ว ๆ ไปที่สามารถทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ขึ้นมา!

“ทำไมถึงเร็วขนาดนี้” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาอย่างตกใจก่อนที่เขาจะเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ฟุบ! ฟุบ!

ร่างของทั้งสองเคลื่อนที่ผ่านกันอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากความเร็วของเซี่ยเฟยที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันเท้าของทูรามจึงสัมผัสแค่เพียงอากาศ แต่ไม่สามารถแตะต้องโดนตัวของเซี่ยเฟยได้

“ฮ่า ๆ ๆ มาสู้กันอีก 300 รอบเถอะ!” หลังลงจอดทูรามก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่พร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็เริ่มลงมือตั้งแต่ยังไม่ได้พูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากแลกเปลี่ยนการโจมตีกันไปเพียงแค่ครั้งเดียวทูรามกลับชวนให้เขาทำการต่อสู้ต่อ

ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันเซี่ยเฟยยังไม่มีอารมณ์ที่จะต่อสู้ เขาจึงใช้มือทั้งสองมาประสานกันก่อนที่จะก้มตัวลงไปเพื่อทักทายทูราม

“การสู้กันในคราวนี้ยังไม่เหมาะสม ครั้งนี้ผมมาส่งจดหมายให้ผู้อาวุโสแทนคุณตาฉินหมาง หวังว่าถ้าในอนาคตพวกเรามีโอกาสพวกเราคงจะได้ทำการต่อสู้กันอีก”

“เอ่อ…” ทูรามเริ่มทำตัวไม่ถูกเพราะเซี่ยเฟยได้เปลี่ยนท่าทางไปเป็นลูกศิษย์ที่ให้ความเคารพเขาอย่างฉับพลัน และถึงแม้ว่าเขาจะอยากต่อสู้มากแค่ไหนแต่เขาก็ละอายใจเกินกว่าจะกลั่นแกล้งชายหนุ่มที่ทำตัวแบบนี้

ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของเซี่ยเฟยก็ไม่ต่างไปจากลูกศิษย์ของเขาจริง ๆ

“นายออกไปก่อน” ทูรามหันไปพูดกับเลขาก่อนที่เขาจะเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองอย่างไม่พอใจ

การที่เขาได้ต่อสู้กับคนที่น่าสนใจมีอาการคล้ายกับคนติดยา ดังนั้นการที่อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันมันจึงทำให้ทูรามรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกตัดบทไปดื้อ ๆ

“ฉินหมางสบายดีไหม?” ทูรามหยิบจดหมายของฉินหมางไปวางไว้บนโต๊ะและเริ่มชวนเซี่ยเฟยพูดคุย

“คุณตายังสบายดีครับ แต่เหล่าเฮยกำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ คุณตาค่อนข้างจะกังวลกับเรื่องนี้มาก” เซี่ยเฟยกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าแมวดำตัวนั้นเป็นลูกรักของฉินหมางเลย เขาทำเหมือนกับว่ามันเป็นลูกชายของเขาจริง ๆ ว่าแต่ทำไมก่อนหน้านี้นายถึงไม่หลบแต่พุ่งเข้ามาจู่โจมที่เข่าของฉันแทน?” ทูรามถาม

“ถึงการเคลื่อนไหวของคุณในตอนนั้นจะดูทรงพลังแต่จริง ๆ แล้วมันเป็นการเคลื่อนไหวตบตา เพราะการจู่โจมที่แท้จริงยังคงถูกซ่อนเอาไว้ ผมจึงเหลือทางเลือกเดียวคือเคลื่อนไหวให้คุณเปิดเผยการจู่โจมที่แท้จริงออกมา” เซี่ยเฟยตอบกลับอย่างใจเย็น

ดวงตาของทูรามเริ่มเปล่งประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เขาจึงชี้ไปที่เก้าอี้เพื่อให้เซี่ยเฟยนั่งลง

“ใครเป็นคนบอกนายเกี่ยวกับกลอุบายของวิชาอินทรีลวงตาของฉัน ใช่อาจารย์ของนายหรือเปล่า?”

“คุณตาฉินหมางไม่ใช่อาจารย์ของผมครับและเขาก็ไม่เคยบอกอะไรผมเกี่ยวกับวิชาของคุณด้วย” เซี่ยเฟยส่ายหัวพร้อมกับรีบพูดออกไปอย่างตกใจ

“อะไรนะ! ฉินหมางไม่ได้เป็นอาจารย์ของนาย?!” ทูรามใช้มือกระแทกโต๊ะและอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ครับ คุณตาเป็นคนดูแลห้องสมุด ส่วนผมก็เป็นบรรณารักษ์ ถ้าจะเรียกให้ถูกผมคิดว่าผมควรจะเป็นลูกน้องของคุณตามากกว่า” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

“นายกำลังจะบอกว่านายอ่านการเคลื่อนไหวของฉันได้เองงั้นหรอ?”

“มันไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่าหากผมหลบผมจะมีอันตรายมากกว่าเดิม ผมเลยต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแทน”

“เอิ่ม…นั่นก็จริง” ทูรามเอียงศีรษะพร้อมกับใช้มือลูบเคราสีขาวสั้น ๆ ที่อยู่ตรงคาง จากนั้นเขาก็พึมพำขึ้นมากับตัวเอง

“ถ้าเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ของฉินหมาง แล้วทำไมเจ้าแก่นั่นถึงใช้ให้เขามาส่งจดหมาย?”

หลังจากนั้นทูรามก็ยื่นมือออกไปเปิดจดหมายที่อยู่บนโต๊ะ โดยในตอนแรกเขาได้ส่งเสียงหัวเราะในระหว่างอ่านจดหมาย แต่ในตอนจบท่าทางของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างจริงจัง

เซี่ยเฟยไม่รู้ว่าเนื้อหาในจดหมายเขียนว่าอะไรบ้าง ดังนั้นเขาจึงนั่งรออยู่อย่างเงียบ ๆ

หลังจากอ่านจดหมายจนจบแล้วทูรามก็เก็บจดหมายเอาไว้ในลิ้นชัก ก่อนที่จะหันไปพูดกับเซี่ยเฟยด้วยสีหน้าอันจริงจังว่า

“นายกำลังจะไปตามหาใครบางคนที่ภูมิภาคดาวมฤตยูใช่ไหม?”

เซี่ยเฟยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ฉินหมางบอกทูรามเรื่องที่เขากำลังจะเดินทางไปยังภูมิภาคดาวมฤตยู ซึ่งเหตุการณ์นี้มันก็ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

“ใช่ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน…คุณตาบอกว่าคุณก็ชอบดื่มน้ำชาเหมือนกัน ผมก็เลยนำชาจากบ้านเกิดของผมมาให้ชิมครับ” เซี่ยเฟยกล่าวเบา ๆ ก่อนที่เขาจะหยิบกระป๋องชาออกมาจากแหวนมิติและวางไว้บนโต๊ะ

“ชา 3 กระป๋องนี้คือชาเถี่ยกวนอิน, หยุนวู่เหมาเจียนและหมิงเฉียนหลงจิ่ง ถ้าหากคุณชอบคราวหลังผมจะเอามาฝากเพิ่มนะครับ” เซี่ยเฟยกล่าว

หลังจากพูดจบเซี่ยเฟยก็ลุกขึ้นและเตรียมที่จะบอกลา แต่ทูรามกวักมือเป็นสัญญาณให้ชายหนุ่มนั่งลง

แม้ว่าเซี่ยเฟยอยากจะไปเจอแอวริลแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถหักหน้าทูรามได้ เขาจึงจำเป็นที่จะต้องนั่งลงไปอีกครั้ง

“นายรู้ไหมว่าฉินหมางเขียนอะไรในจดหมายฉบับนี้” ทูรามถาม

“ผมไม่รู้ครับ คุณตาไม่เคยบอก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

“ฉันรู้จักกับฉินหมางมาหลายสิบปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาเอ็นดูใครขนาดนี้ นายรู้ไหมว่าตอนหนุ่ม ๆ เจ้าแก่นั่นถูกเรียกว่าอะไร?” ทูรามกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ไม่รู้ครับ” เซี่ยเฟยตอบ

“คุณตาที่นายเรียกเคยมีฉายาว่า ‘ฮาเดส’ ในตอนนั้นถ้าใครทำให้เขาขุ่นเคืองแม้แต่เพียงนิดเดียวเขาคนนั้นจะถูกทรมานจนอยากตาย ฉินหมางเคยถูกเรียกว่าเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลและมีนิสัยที่ดุร้าย นายน่าจะเป็นคนแรกที่กล้าเรียกเขาว่าคุณตา หากคนอื่นไปเรียกคำบอกอายุแบบนั้นบ้างพวกเขาก็คงจะถูกถลกหนังทั้งเป็น” ทูรามเล่าเรื่องในอดีตโดยที่ในแววตาแฝงความหวาดกลัวเอาไว้เล็กน้อย เซี่ยเฟยจึงไม่สามารถจับคำโกหกจากคำบอกเล่าพวกนี้ได้เลย

‘ในอดีตฉินหมางเป็นคนที่น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ?’

เซี่ยเฟยพยายามปฏิเสธความคิดภายในใจ เพราะฉินหมางที่เขาเห็นเป็นเพียงแค่ชายชราตัวอ้วนที่มีนิสัยแปลก ๆ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดยังไงเขาก็ไม่สามารถจินตนาการถึงความโหดร้ายของชายชราคนนี้ได้เลย

“คุณตาไม่เคยเล่าเรื่องในอดีตให้ผมฟังเลยครับ แต่เท่าที่ผมได้สัมผัสมาเขาก็เป็นเพียงแค่คนแก่ใจดีคนหนึ่ง” เซี่ยเฟยกล่าว

“คนแก่ใจดี!!” ทูรามอุทานพร้อมกับเบะปาก จากนั้นเขาก็ถกแขนเสื้อข้างขวาเผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีดำที่น่ากลัว

“นายเห็นนี่ไหม? นี่คือรอยแผลเป็นที่คุณตาใจดีของนายทิ้งไว้ให้ นายรู้ไหมว่าตอนนั้นพวกเราทะเลาะเรื่องอะไรกัน”

“ไม่รู้ครับ”

“เราทะเลาะกันเพราะฉันคิดว่ามันเป็นคนน่ารัก!” ทูรามพูดอย่างโกรธจัด

“เมื่อก่อนพวกเราเรียนอยู่ในค่ายฝึกเดียวกัน ฉันคิดว่าฉินหมางเป็นคนน่ารัก หลังจากนั้นพวกเราก็เลยทะเลาะกันมาตลอด ระหว่างที่ฉันกับมันอยู่ค่ายฝึกพวกเราเคยสู้กันมาหลายร้อยครั้งและรอยแผลเป็นมากกว่าครึ่งบนร่างของฉันก็เป็นฝีมือของมันนั่นแหละ!”

“สุดท้ายมันก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งได้ และพวกเราก็เริ่มสนิทกันผ่านการต่อสู้กันมากขึ้นจนพวกเราได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน พูดแล้วฉันก็คิดถึงเรื่องในอดีตอยู่เหมือนกันนะ”

ขณะที่ทูรามเล่าเรื่องในอดีตแววตาของเขาดูสับสนไปเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังคิดถึงช่วงเวลาวัยเยาว์ของเขาจริง ๆ

เซี่ยเฟยไม่ได้พูดอะไรกลับไปแต่พยายามคิดในใจถึงฉากที่ฉินหมางทำการต่อสู้กับคนอื่น แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามจินตนาการยังไงเขาก็คิดภาพที่ฉินหมางไปต่อสู้กับคนอื่นไม่ออกจริง ๆ

“ถึงนายจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขาแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเอ็นดูนายมากกว่าลูกศิษย์ของเขาจริง ๆ เสียอีก ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่านายไปทำอะไรเขาถึงได้เอ็นดูนายมากขนาดนี้” ทูรามกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

คำพูดของชายชราทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษกับฉินหมางเลย อย่างมากที่สุดเขาก็แค่ช่วยชงชา, ช่วยให้อาหารแมวและนั่งพูดคุยในระหว่างที่ฉินหมางกำลังเหงาเท่านั้น

“อาจจะเป็นเพราะพวกเราเหมือนกันละมั้งครับ” เซี่ยเฟยกล่าวออกไปอย่างคลุมเครือ

คำตอบนี้ทำให้ทูรามจ้องมองไปที่เซี่ยเฟยเป็นเวลานานจนทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกอึดอัด

“ถึงนายจะบอกว่านายคล้ายกับฉินหมาง แต่นายดูมีเหตุผลมากกว่าไอ้แก่นั่นมาก ตอนมันยังเด็กมันเป็นพวกหัวรั้นอย่าบอกใคร”

“เอาล่ะกลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า ฉินหมางขอให้ฉันเตรียมยานอวกาศที่เหมาะสมให้นายใช้เดินทางไปยังภูมิภาคดาวมฤตยู แต่ฉันไม่มีสิทธิ์มอบยานของสมาพันธ์ให้กับนายได้ อย่างมากที่สุดฉันก็ช่วยหาให้ได้แค่ยานปลดระวางแล้วเท่านั้น ถึงยังไงนี่ก็เป็นคำขอร้องจากฉินหมางฉันจะไม่ช่วยก็คงจะไม่ได้” ทูรามกล่าว

คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกใจมาก เพราะเขาไม่คิดเลยว่าฉินหมางจะเขียนจดหมายร้องขอให้เขาได้รับยานอวกาศลำใหม่!

ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยไม่ได้ต้องการยานอวกาศลำใหม่ เพราะประสิทธิภาพของแวมไพร์ค่อนข้างจะดีมากอยู่แล้ว เขาจึงคิดที่จะใช้แวมไพร์เดินทางไปยังภูมิภาคดาวมฤตยูหรือฉินหมางจะคิดว่าแวมไพร์ยังมีประสิทธิภาพไม่มากพอ?

ในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังคิดทูรามก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉินหมางบอกว่านายมียานรุ่นโคแอกิวเลชั่นใช่ไหม?”

“ใช่ครับ” เซี่ยเฟยตอบพร้อมกับพยักหน้า

“ยานรุ่นนี้มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดีแต่ถึงยังไงมันก็เป็นเพียงแค่ยานฟริเกต ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะสามารถจัดการกับยานในระดับเดียวกันได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยานที่มีขนาดใหญ่กว่าถึงเวลานั้นนายก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย”

“ฉินหมางต้องการให้นายใช้ยานแบทเทิลครุยเซอร์เป็นกำลังหลักและใช้ยานโคแอกิวเลชั่นจอดเอาไว้ในโรงเก็บเพื่อใช้เป็นยานสำรอง”

“ปกติมันเป็นเรื่องยากมากที่ฉินหมางจะขอให้ฉันช่วยเหลือใครแบบนี้ หลังจากที่นายกลับไปนายควรจะต้องไปขอบคุณเขามาก ๆ ล่ะ” ทูรามกล่าว

“ยานแบทเทิลครุยเซอร์!” เซี่ยเฟยอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของทูราม

***************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด