ตอนที่แล้วบทที่ 447-448
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 451-452

บทที่ 449-450


บทที่ 449

ถ้าไม่คว้าไว้ ก็ไม่ได้อะไรเลย

เมือง F คฤหาสน์ตระกูลถัง

ถังปู้ฝานขมวดคิ้วทันทีหลังจากได้รับโทรศัพท์จากพนักงานดูแลพื้นที่ร้านในเมืองหลวง

เขารู้สึกอารมณ์เสียมาก หลังจากอีกฝ่ายวางสายไป

เขากำโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดด้วยความโกรธ

“ไร้สาระที่สุด!”

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไม คุณถึงโกรธขนาดนี้”

อี้เวยวานยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อหลังจากรีบวิ่งมาดูสามีของเธอ ก่อนเดินเข้าไปหาเขาใกล้ ๆ แล้วพูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

เนื่องจากเธอไม่ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ของเขามานาน จึงค่อนข้างตกใจเล็กน้อย

เมื่อถังปู้ฝานเห็นภรรยาเดินเข้ามาหา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน เขาก็ตอบอย่างใจเย็นว่า

“เวยวาน คนที่ดูแลค่าเช่าร้านของเราในเมืองหลวงโทรมา แล้วบอกว่าจะขึ้นค่าเช่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์! อุกอาจเกินไปแล้ว! เขากลับคำได้ยังไงในเมื่อเราเซ็นสัญญาไปแล้ว”

“เป็นไปได้ยังไง? ละเมิดสัญญาแบบนี้มันผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ?”

อี้เวยวานตกใจมากเมื่อเธอได้ยินแบบนั้น ก่อนพูดต่อ

“แย่มาก แต่เรายังมีทาง ถ้าเราไม่เห็นด้วยและเลิกเช่าซะ เขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายสิบเท่าตามเงื่อนไขในสัญญา”

ต่อให้ค่าชดเชยจะเป็นสิบเท่าก็ตาม แต่ความจริง ร้านนี้ยังอยู่ระหว่างการสร้างและตกแต่งอยู่ รวมถึงมีการรับจ้างพนักงานล่วงหน้าเอาไว้ด้วย เมื่อบวกลบค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ถังปู้ฝานยังคงขาดทุนไม่น้อยทีเดียว

อย่างไรก็ตามการขึ้นค่าเช่าอย่างกะทันหันถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทำให้เขารู้สึกเจ็บใจและไม่พอใจเป็นอย่างมาก

‘ร้านบะหมี่ถัง’ ถือได้ว่าเป็นร้านอาหารระดับกลาง จึงต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองปีถึงจะสามารถคืนทุนได้ และได้รับกำไร

การขึ้นค่าเช่าอย่างกะทันหันแบบนี้ ต่อให้ยังเปิดร้านตามกำหนดเดิม แต่เขาจะทำกำไรได้จากตรงไหน?

ถ้าต้องการให้ธุรกิจนี้เติบโต เขาต้องรออีกสี่ถึงห้าปีจึงจะสามารถทำกำไรได้หากค่าเช่ายังคงราคาเดิม แต่ถ้าค่าเช่าสูงแบบนี้ หลังจากทำธุรกิจได้ห้าปีจนหมดสัญญาเช่า เขาก็ไม่มีโอกาสได้สานต่อธุรกิจเลย

จากสถานการณ์นี้ สรุปได้ว่าธุรกิจนี้ของเขาอาจต้องล้มละลาย

นี่คือตอนจบที่ถังปู้ฝานไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น

‘ร้านบะหมี่ถัง’ ของพวกเขาถือได้ว่าเป็นที่นิยมจนมีสาขาสองถึงสามแห่งในต่างเมือง ถ้าหากพวกเขาตั้งสาขาในเมืองหลวงได้ ไม่นานพวกเขาจะขึ้นแท่นหนึ่งในสิบตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง F ที่ใคร ๆ จะต้องอิจฉา

ถังปู้ฝานเดินไปมาหลายครั้ง และในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะไม่เช่าที่นั่น!

ก่อนที่เขาจะตัดสินใจโทรไปหาอีกฝ่าย อี้เวยวานก็พูดขึ้นมาว่า

“สามีคะ แทนที่จะเช่าร้านนี้ เราย้ายไปเช่าร้านที่อยู่ถัดไปได้นะ”

ถังปู้ฝานส่ายหน้า

“ฉันดูห้องข้าง ๆ ไว้แล้ว ตอนนี้มีคนเช่าอยู่ ว่ากันว่าเป็นร้านบะหมี่เหมือนกันด้วย แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก”

อี้เวยวานขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มีห้างสรรพสินค้าอีกตั้งเยอะในเมืองหลวง คุณลองดูที่อื่นก่อนไม่ได้เหรอ?”

ถังปู้ฝานยังคงส่ายหน้า

“ก็มันไม่ง่ายอย่างนั้นซะหน่อยนี่คะ ไม่ง่ายเลยที่จะหาร้านที่เหมาะสมได้ขนาดนี้ กว่าเราจะเจอร้านนี้เราต่างก็เดินหากันอย่างยากลำบาก ร้านอื่น ๆ ก็ถูกเช่าไปหมดแล้ว ยังไงก็เถอะ ทำเลที่ตั้งร้านตรงนี้เหมาะสมที่สุด”

อี้เวยวานยืนฟังโดยไม่พูดอะไร

เวลานี้ ถังจิ้งชือเดินหน้ามุ่ยเข้ามาแล้วพูดว่า

“พ่อคะ! เราต้องเช่าร้านนี้ให้ได้นะ!”

เมื่อถังปู้ฝานเห็นถังจิ้งชือ ‘ไม่เห็นด้วย’ เรื่องเลิกเช่า  เขาจึงพูดขึ้นมาว่า

“ลูกรักของพ่อ แต่ค่าเช่าที่นี่แพงมากจริง ๆ ถึงอยากเช่าแต่เราก็ไม่มีเงินพอหรอก”

“ถ้าเราไม่คว้ามันไว้ก็จะไม่ได้อะไรกลับมาเลยนะคะ! อีกอย่าง เรายังมีสาขาอื่นอีกหลายที่ ถ้าร้านนี้ในเมืองหลวงทำเงินไม่ได้มากเท่าไหร่ เราก็ยังมีร้านอื่นที่ทำเงินได้! แถมยังสร้างรายได้ให้เราเป็นล้าน ๆ ต่อเดือนเชียวนะคะ!”

ถังปู้ฝานอธิบายอย่างใจเย็น

“ฟังนะลูกพ่อ เราอาจต้องปล่อยร้านนี้ไป ทุกครั้งที่พ่อทำธุรกิจแน่นอนว่าต้องคาดหวังให้ทุกร้านทำเงินได้ แล้วพ่อจะเปิดร้านที่ขาดทุนไปทำไมกัน?”

ถังจิ้งชือนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับเสียงฮึดฮัด ปากของเธอม้วนสูงขึ้นจนสามารถแขวนขวดน้ำได้

“หนูบอกเพื่อนทุกคนไปแล้วว่าครอบครัวของเรากำลังจะเปิดสาขาใหม่ในเมือง พอหนูบอกไปเท่านั้นแหละ ทุกคนก็ทำหน้าอิจฉากันหมด! หนูก็หวังว่าจะไปเที่ยวเมืองหลวงเพื่อช้อปปิ้ง แล้วก็ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ พ่อไม่เห็นใจลูกสาวคนนี้บ้างเลยรึไงคะ?”

บทที่ 450

ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม

เมื่อถังปู้ฝานฟังลูกสาวพูดจบ เขารู้สึกใจสลายอย่างห้ามไม่ได้ ถังจิ้งชือร้องไห้ฟูมฟายและทำลายข้าวของ แถมยังโวยวายเสียงดังไม่หยุด แต่คำพูดที่ออกจากปากนั้นรุนแรงมาก

“คุณพ่อ คุณพ่อมันไร้ประโยชน์จริง ๆ เปิดสาขาแค่นี้ก็ทำไม่ได้ หนู เกลียด พ่อ”

ไม่นานถังรุ่ยเฉิงเข้ามาเสริมทัพ ถังปู้ฝานหันไปเห็นเขา    ชูนิ้วกลางก็ตกใจ เขาไม่รู้เลยว่าใครเป็นสอนท่าทางแบบนั้น แถมยังยิ้มกว้างสนุกสนานที่ทำแบบนั้น ราวกับไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ถูกไม่ควร

แย่จริง ลูกชายเพียงคนเดียวก็ถูกเลี้ยงจนเสียนิสัย มารยาทและความละอายใจอยู่ไหนกัน?

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ถังปู้ฝานเห็นว่าแม้แต่ลูกชายของเขาเองก็พูดเหมือนกับลูกสาว ด้วยความกังวล จึงรีบเดินเข้าไปปลอบลูกชายว่า

“ลูกรักคนเก่งของพ่อ พ่อมันไร้ประโยชน์เอง! แต่ตอนนี้พ่อจ่ายค่าเช่าได้แล้ว ไว้เราไปเล่นอะไรสนุก ๆ ที่เมืองหลวงหลังเปิดร้านกัน!”

“เย้ คุณพ่อเก่งที่สุดเลย! ถ้าไม่เก่งแบบนี้จะเป็นพ่อของผมได้ยังไง?”

ถังรุ่ยเฉิงพูดจบก็นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนหันไปยิ้มให้ถังปู้ฝาน แล้วหันไปเล่นของเล่นชิ้นใหม่ของตัวเอง

เมื่อเห็นว่าเรื่องเปิดร้านสาขาใหม่ยุติลงแล้ว อี้เวยวานก็แอบดีใจ แต่ยังคงสีหน้าสงบนิ่ง แล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า

“สามีขา... ลูกพี่ลูกน้องของฉันทำงานอย่างหนักในเมืองหลวงมานาน ตอนนี้เขาลาออกจากงานแล้ว ในความคิดฉัน คงดีถ้าแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้จัดการร้านสาขาใหม่ เงินเข้าคนภายในย่อมดีกว่าจ่ายออกให้คนภายนอกนะคะ”

ถังปู้ฝานไม่กล้าออกความคิดเห็น เขาจึงรีบตอบกลับ

“ใช่ ใช่ ที่รักพูดถูกที่สุด”

ตอนนี้เขาอายุห้าสิบปี เริ่มมีผมหงอกขาวขึ้นแซม รวมถึงมีแนวโน้มที่จะหัวล้านด้วย ในขณะที่อี้เวยวานคบหากับเขาตั้งแต่อายุสิบเก้าจนตอนนี้อายุได้สามสิบปี นอกจากนี้เธอยังได้รับการดูแลจากเขาอย่างดีมาหลายปี เธอจึงเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีเสน่ห์มากขึ้นทุกวัน

ถังปู้ฝานรู้สึกกลัวมากถ้าต้องมีปัญหากับเธอ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยโต้เถียงหรือสรรหาข้ออ้างมาหักล้างคำพูดของภรรยาผู้ทรงเสน่ห์คนนี้

ปัจจุบันแม่ลูกทั้งสาม เป็นสามคนที่เขาเกรงใจมากที่สุด ถังปู้ฝานยอมทำงานอย่างหนักเพื่อพวกเขา และไม่โต้แย้งในสิ่งที่พวกเขาต้องการเลย

หากมู่ซูเสียนมาเห็นสิ่งนี้ เธอคงคิดว่าถังปู้ฝานที่เห็นแก่ตัวและอารมณ์รุนแรงที่เธอรู้จักก่อนหน้านี้ถูกผีเข้าสิง และทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ถึงอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างความทุกข์ใจให้มู่ซูเสียนอีกแล้ว

หลังจากถังซือซือและเซียวเฉินเยวียนแต่งงานกัน พวกเขาให้มู่ซูเสียนย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ใกล้ภูเขาและแม่น้ำในเมืองหลวง ทั้งยังมีสาวใช้คอยดูแลชีวิตประจำวันและอาหารการกินให้มู่ซูเสียนอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ที่ตั้งของคฤหาสน์นี้ยังอยู่ใกล้กับโรงเรียนมัธยมฉิวจือมาก ทำให้เธอเดินทางไปทำงานได้อย่างสะดวกสบาย

ตอนนี้ มู่ซูเสียนอยู่บนเครื่องบิน กำลังเดินทางไปยังเมือง M เพื่อคุมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

เครื่องบินตรงฝ่ากลุ่มเมฆนับร้อย มุ่งหน้าสู่อีกเมืองหนึ่งซึ่งมีวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย

มู่ซูเสียนมองไปที่เมฆสีขาวโพลนนอกหน้าต่าง ขณะนั้นก็ครุ่นคิดไปพลาง ๆ ว่า

เมือง M...

สิ่งสุดท้ายที่คนคนนั้นบอกฉันไว้คือ เขาจะย้ายไปอยู่เมือง M แล้วจะไม่กลับมาอีก

เพราะเขาเชื่อว่าฉันเป็นคนหักอกเขา เขาจึงจากไปอย่างไร้เยื่อใย

ในตอนนั้นเธอไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแต่งงานกับถังปู้ฝาน หลังจากเจอเผชิญกดดันจากตระกูลถังและตระกูลมู่

ก้าวผิดเพียงหนึ่งก้าว พลาดไปตลอดชีวิต เหตุนั้นจึงทำให้เธอต้องทนทุกข์อยู่หลายปี

เขาอยู่ที่เมืองนี้สินะ...

คงแต่งงาน มีลูกแล้วละมั้ง...

แต่ถึงยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่ดีนี่นา

มู่ซูเสียนส่ายหน้า พร้อมกับสงบสติอารมณ์และขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว

หลังจากผ่านไปนานหลายปี เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองยังลืมเรื่องของเขาไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมือง M นั้นกว้างขวางมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะมีโอกาสได้พบกับเพื่อนเก่าคนนั้น

ในตอนนี้เธอต้องตั้งมั่นไว้ว่า จะต้องใช้เวลาในวันนี้จนถึงสัปดาห์หน้าอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นก็ขึ้นเครื่องบินกลับเมืองหลวง พร้อมนำผลงานดีเด่นในครั้งนี้กลับไปด้วย นี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ

หลังจากนั่งอยู่บนเครื่องบินเกือบสิบเอ็ดชั่วโมง ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอดอย่างปลอดภัยที่สนามบิน L ในเมือง M

โรงเรียนมัธยมหลายซือซึ่งทำการติดต่อกับโรงเรียนมัธยมฉิวจือไว้ ได้ส่งครูหลายคนและกลุ่มนักเรียนไปต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่นที่บริเวณจุดรวมพลที่ทางเข้าสนามบิน

มู่ซูเสียนยิ้มทักทาย ก่อนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับครูที่มาพร้อมกันอีกหลายคน แล้วจับมือกับคุณครูของอีกโรงเรียนเรียงทีละคน