ตอนที่แล้วตอนที่ 137: สถาบันวิจัย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 139: ลูกบอลทองคำ

ตอนที่ 138: การวิจัยมนุษย์


ตอนที่ 138: การวิจัยมนุษย์

ลักษณะของเครื่องมือที่อยู่ใต้ผ้าคลุมมีสีแดงเหมือนสตรอว์เบอร์รีสดและมีความแตกต่างจากเครื่องมือชิ้นอื่น ๆ ในห้องวิจัยอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเซี่ยเฟยเหลือบสายตาไปมองตัวอักษรที่เขียนไว้ เขาก็ได้รู้ว่าเครื่องมือชิ้นนี้คือเรื่องรวบรวมอนุภาคแร่แบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถใช้รวมแร่ธาตุขนาดเล็กให้กลายเป็นก้อนแร่ขนาดใหญ่ได้

เพียงแต่ว่าตำแหน่งของเครื่องมือชิ้นนี้ค่อนข้างแปลก เพราะมันถูกวางเอาไว้ที่มุมของห้องวิจัยราวกับว่ามันเป็นเครื่องมือที่มีปัญหา

“มันมีปัญหาอะไรกับเครื่องมือชิ้นนี้หรือเปล่า?” เซี่ยเฟยใช้มือแตะที่เครื่องพร้อมกับขมวดคิ้ว

“มีปัญหาอะไรหรอ?” อันธถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“ฉันรู้สึกว่าเครื่องมือชิ้นนี้บอบบางมาก ดูไม่ทนทานเหมือนเครื่องอื่นเลย” เซี่ยเฟยกล่าว

สัมผัสของมือสามารถแยกแยะความหนาบางของสิ่งที่สัมผัสได้ ยกตัวอย่างเช่น การใช้ฝ่ามือสัมผัสกระป๋องโซดากับแผ่นโลหะอลูมิเนียม

ถึงแม้ว่าของทั้งสองสิ่งจะทำขึ้นมาจากอะลูมิเนียมเหมือน ๆ กัน แต่เราก็สามารถบอกได้จากสัมผัสว่าของชิ้นไหนมีความหนาของชิ้นไหนมีความบาง และสัมผัสที่เซี่ยเฟยได้รับจากเครื่องมือชิ้นนี้ก็คือความบาง

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ใช้ฝ่ามือกดลงไปบนเครื่องสีแดงอย่างแรงและถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเทียบไม่ได้กับผู้มีพลังสายความแข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังแข็งแรงกว่าคนทั่วไปมากมันจึงทำให้เครื่องมือชิ้นนี้ยุบลงไปตามแรงมือ!!

ปรากฏว่าเครื่องรวมอนุภาคแร่เป็นเพียงแค่เปลือกหุ้ม!!

เซี่ยเฟยนั่งลงพร้อมกับทำการสังเกตพื้นที่บริเวณนั้นอย่างระมัดระวัง

บนพื้นมีรอยขีดข่วนหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างคล้ายกับว่าเครื่องจักรชิ้นนี้มักจะถูกผู้คนทำการเคลื่อนย้ายอยู่เป็นประจำ

ชายหนุ่มทำการผลักเครื่องมือไปยังทิศทางเดียวกับรอยบนพื้น ซึ่งเครื่องมือชิ้นสีแดงก็ขยับไปตามแรงมือโดยที่เขาไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เผยให้เห็นเส้นทางลับที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้อยู่

เซี่ยเฟยกับอันธมองหน้ากันด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เพราะมันก็ไม่มีใครคิดว่ามันจะมีเส้นทางลับถูกซุกซ่อนไว้ในสถาบันวิจัยที่ดูธรรมดาแห่งนี้

เมื่อชายหนุ่มพยายามพิจารณาสถานการณ์ต่าง ๆ เขาก็ได้พบว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลที่สถาบันวิจัยธรรมดาจะสร้างลึกลงมาอยู่ใต้ดิน นอกจากนี้การควบคุมด้านนอกก็เข้มงวดมากแล้วมันก็จำเป็นจะต้องใช้รหัสผ่านถึง 4 ชั้นในการผ่านเข้ามายังด้านใน

ทางเข้าห้องลับเอียงลงไปใต้พื้นดินและมีขนาดที่สามารถให้คนเดินผ่านไปได้เพียงแค่ครั้งละคน

เมื่อเครื่องมือสีแดงโดนผลักออกไปไฟสปอร์ตไลท์ตรงบริเวณทางเดินก็ส่องแสงสว่างโดยอัตโนมัติ

เซี่ยเฟยทำการหยิบเครื่องสื่อสารขึ้นมาตรวจสอบและถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะอยู่ลึกลงมาด้านล่างแต่สัญญาณของเครื่องยังคงเต็มอยู่ ดังนั้นถ้าหากว่ามันมีอันตรายร้ายแรงอะไรเขาก็ยังสามารถใช้เครื่องสื่อสารในการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้

ชายหนุ่มเดินลงไปในเส้นทางลับอย่างไม่ต้องคิด ก่อนที่เขาจะได้พบกับบานประตูที่ปิดสนิทห่างออกไปไม่ถึง 100 เมตร

การป้องกันของประตูบานนี้มีความเข้มงวดกว่าประตูด้านบนมาก เพราะไม่เพียงแต่มันจะติดตั้งระบบตรวจจับแรงสั่นสะเทือนเท่านั้น แต่ระบบกลไกทั้งหมดยังมีการเชื่อมต่อกันแบบอนุกรม หรือหากจะให้อธิบายง่าย ๆ นั่นก็คือหากระบบใดระบบหนึ่งถูกทำลายระบบป้องกันภัยฉุกเฉินจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ

ยิ่งสถานที่ตรงหน้ามีการป้องกันแน่นหนามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีโอกาสที่ด้านในจะซุกซ่อนสิ่งมีค่าเอาไว้มากเท่านั้น

เซี่ยเฟยหยิบกระเป๋าเครื่องมือออกมาจากแหวนมิติอย่างตื่นเต้น ก่อนที่เขาจะนำเครื่องมือทั้งหมดมาวางไว้บนพื้นอย่างเรียบร้อย

วิธีการเดียวในตอนนี้คือการปลดล็อกระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดไปทีละตัวไม่ใช่การทำลายแบบที่เขาได้ใช้ในตอนแรก

ชายหนุ่มทำกันแงะแผงวรจรออกมาด้วยวิธีเดิม ก่อนที่เขาจะเริ่มทำการวิเคราะห์วงจรด้านในอย่างละเอียดและคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้มากที่สุด

ผลการวิเคราะห์ออกมาอย่างน่าผิดหวัง เพราะไม่เพียงแต่ระบบการป้องกันของห้องนี้จะเข้มงวดกว่าห้องทางด้านบนเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าเขาได้ใช้ความรุนแรงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาก็อาจจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากยิ่งกว่า

เครื่องมือภายในมือของเซี่ยเฟยขยับไปมาอย่างคล่องแคล่วคล้ายกับว่าเครื่องมือเหล่านี้กำลังเต้นระบำท่ามกลางสายไฟ

ผู้ที่มีความสามารถด้านความเร็วมีปฏิกิริยาการตอบสนองและมีความยืดหยุ่นมากกว่าคนทั่วไป มันจึงทำให้แม้แต่การเคลื่อนไหวของนิ้วที่ละเอียดอ่อนก็ยังรวดเร็วกว่าคนทั่วไปมาก

เซี่ยเฟยใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงในการถอดรหัสระบบป้องกันด่านแรกและในตอนนี้ความสนใจของเขาทั้งหมดก็กำลังมุ่งเน้นไปที่ระบบป้องกันตรงหน้า

สำหรับชายหนุ่มแล้วการแก้วงจรเป็นเหมือนกับการแก้ปริศนาภายในเกม และในตอนนี้เขาไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จะได้รับหลังจากแก้แผงวรจรอีกต่อไป เพราะเขากำลังจดจ่ออยู่กับความสนุกในการแก้ไขแผงวรจร

แปะ!

เสียงกลไกการป้องกันปลดล็อกดังออกมาด้วยเสียงที่คมชัดทำให้หัวใจของเซี่ยเฟยเต้นแรงตามไปด้วย

ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ไม่มีเสียงสัญญาณเตือนภัยใด ๆ เลย เซี่ยเฟยจึงแน่ใจว่าเขาสามารถทำลายการป้องกันด่านแรกได้สำเร็จแล้ว

ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและถึงแม้ว่าอุณหภูมิในห้องใต้ดินจะค่อนข้างเย็น แต่การทำงานที่เคร่งเครียดก็ทำให้เหงื่อไหลซึมออกมาทั่วทั้งตัวของเขาอยู่ดี

เซี่ยเฟยยังคงถอดรหัสบนแผงวงจรต่อไปโดยมีอันธนั่งรออยู่ข้าง ๆ

ในความคิดของอันธการพยายามถอดรหัสแผงวงจรพวกนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเท่านั้น แต่มันยังเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับเขาด้วย

“โอ้ยง่วง! ฉันขอเข้าไปนอนก่อนนะ” อันธกล่าวพร้อมกับหายเข้าไปในสร้อยคอ

เซี่ยเฟยไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป เพราะในความคิดของเขาการถอดรหัสการป้องกันของอารยธรรมโบราณได้ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากแผงวงจรพวกนี้มีความก้าวหน้ามากกว่าเทคโนโลยีในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้การแก้รหัสของพวกมันได้จึงมีความสำเร็จมากกว่าการแก้รหัสในอุปกรณ์ยุคปัจจุบันไปไกล

นอกจากนี้กระบวนการถอดรหัสยังเป็นกระบวนการในการทำความเข้าใจและการเรียนรู้ เพราะเซี่ยเฟยจะต้องทำความเข้าใจการทำงานของแผงวงจรพวกนี้เสียก่อน เขาจึงจะสามารถคิดหาวิธีการที่เหมาะสมในการถอดรหัสแผงวงจรพวกนี้ได้

เมื่อเวลาผ่านไปความเข้าใจของเซี่ยเฟยก็ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ความเร็วในการถอดรหัสเร็วขึ้นเป็นเงาตามตัว

แปะ!

ในที่สุดระบบป้องกันชั้นสุดท้ายก็ถูกปิดตัวลง โดยเซี่ยเฟยได้ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องไปทั้งสิ้นถึง 27 ชั่วโมง

ประตูด้านหน้าค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ พร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่เกิดขึ้นเนื่องจากประตูไม่ได้ถูกเปิดมาเป็นเวลานาน

ชายหนุ่มลุกยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะเก็บเครื่องมือทั้งหมดเข้าไปไว้ในแหวน

พื้นที่ภายในห้องลับมีขนาดประมาณ 1,000 ตารางเมตร ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสถาบันวิจัยด้านนอกมาก โดยผนังด้านหนึ่งมีขวดแก้วปิดสนิทวางตั้งอยู่ซึ่งภายในขวดแก้วเป็นของเหลวสีแดงที่ไม่มีอะไรอยู่ด้านใน

ตรงกลางห้องลับมีเครื่องมือสองแถวที่ถูกวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แต่เครื่องมือพวกนี้ไม่ใช่เครื่องมือที่มีเอาไว้สำหรับการวิจัยแร่ธาตุ แต่เป็นเครื่องมือที่มีเอาไว้สำหรับการวิจัยสิ่งมีชีวิต

ภาพตรงหน้าทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสงสัยมาก เพราะเขาไม่เข้าใจว่าสถาบันวิจัยแร่จะมีเครื่องมือวิจัยชีวภาพจำนวนมากพวกนี้ไปทำไม

แต่เมื่อเซี่ยเฟยได้เดินเข้าไปหาขวดแก้วบนผนัง มันก็ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกตะลึง

ชื่อ: ไม่ทราบ

อายุ : 179 ปี

เพศ : ชาย

ประเภทความสามารถ : ควบคุมแสงสีม่วง

ระดับ : อีเทอนิตี้ระดับกลาง

อัตราการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 : 64%

ข้อสังเกต: ผลจากการวิเคราะห์สมองของบุคคลนี้แสดงว่าเขาคือผู้มีพรสวรรค์ระดับ 3 ดาว อย่างไรก็ตามเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เขาได้เติบโตขึ้นมา มันจึงทำให้เขาได้สูญเสียโอกาสในการเลื่อนระดับไปยังขั้นต่อไป

รายละเอียดในไฟล์หมายเลข CYN- 00792

ปรากฏว่าสิ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ในขวดแก้วบนผนังคือสมองของผู้มีพลังพิเศษระดับอีเทอนิตี้

นอกจากนี้การวิจัยภายในห้องลับยังมีความเกี่ยวข้องกับสมองมนุษย์!!

หากไล่ระดับความสามารถของผู้มีพลังจากต่ำที่สุดไปจนถึงสูงที่สุดที่ถูกบันทึกเอาไว้นั่นก็คือ สตาร์ไลท์, สตาร์เบส, สตาร์ฟิลด์, สตาร์ริเวอร์, ลีเจนด์และอีเทอนิตี้

นี่คือสมองของขุมกำลังระดับ 6 ที่ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของจักรวาล แล้วมันก็เป็นเรื่องที่เหนือเกินกว่าจินตนาการว่าสมองของบุคคลระดับนี้ถูกเอามาแช่ขวดไว้ให้วิจัยได้ยังไง

สถาบันวิจัยแห่งนี้เป็นสถาบันวิจัยที่น่าตกตะลึงจริง ๆ เพราะพวกเขาใช้สถาบันวิจัยแร่ธาตุมาบังหน้าเพื่อทำการวิจัยสมองของมนุษย์อย่างลับ ๆ และสิ่งที่น่าตกใจมากยิ่งกว่าคือพวกเขาทำการวิจัยสมองของผู้ใช้พลังระดับอีเทอนิตี้!!

เซี่ยเฟยพยายามระงับความตื่นเต้นภายในใจและทำการตรวจสอบข้อมูลของขวดแก้วไปทีละใบ

ขวดแก้วบนผนังมีทั้งหมด 14 ขวด โดยพวกมันได้เก็บสมองของผู้มีพลังตั้งแต่ระดับลีเจนด์ไปจนถึงระดับอีเทอนิตี้

ถ้าหากเจ้าของสมองพวกนี้ได้มารวมตัวกันอำนาจในการต่อสู้ของพวกเขามันก็สูงเหนือกว่าจินตนาการ แต่สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาได้พบเจอกลับกลายเป็นการถูกนำเอาสมองมาทำการวิจัย

ท่าทางของเซี่ยเฟยเปลี่ยนไปเป็นจริงจังเนื่องมาจากว่าตัวของเขาเองก็ถือว่าเป็นนักสู้คนหนึ่ง และถึงแม้ว่าระดับความสามารถของเขาจะไม่ได้สูงเหมือนกับเจ้าของสมองเหล่านี้ แต่มันก็คงไม่มีใครอยากเป็นหนูทดลองให้คนอื่นทำการศึกษาหลังจากที่พวกเขาได้เสียชีวิตลง

จากการอ่านข้อมูลเซี่ยเฟยยังได้ค้นพบว่าอัตราการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของกลุ่มอำนาจเหล่านี้ไม่ได้สูงมากนัก เพราะคนที่เปิดใช้งานสมองพื้นที่ส่วนที่ 7 ได้น้อยที่สุดสามารถเปิดได้เพียง 51% และผู้ที่สามารถเปิดใช้งานสมองพื้นที่ส่วนที่ 7 ได้มากที่สุดก็สามารถเปิดใช้งานได้เพียงแค่ 78%

“ถ้าหากพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของพวกเขายังถูกเอามาวิจัยแบบนี้ แล้วสมองของคนที่สามารถเปิดใช้งานพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ 100% แบบฉันล่ะ จะเป็นยังไง?” จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ชายหนุ่มแอบตัดสินใจอย่างลับ ๆ ว่าเขาจะไม่เปิดเผยเรื่องพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาให้คนอื่นรับรู้อย่างเด็ดขาด เพราะมันไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามันจะไม่มีคนล่าสมองของผู้สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างสมบูรณ์ไปทำการศึกษา

หลังจากเดินไปรอบ ๆ ห้องวิจัย 2-3 รอบเซี่ยเฟยก็ได้พบอุปกรณ์ที่มีค่ามากมาย แต่น่าเสียดายที่อุปกรณ์ทุกชิ้นค่อนข้างใหญ่และเขาไม่สามารถที่จะนำพวกมันกลับไปพร้อมกับเขาได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจมาก เพราะมันเหมือนกับเขาได้เดินทางมาเจอหุบเขาทองคำ แต่ว่าเขากลับไม่สามารถนำทองคำพวกนั้นไปใช้งานได้เลย

นอกจากนี้มันยังมีประตูเล็ก ๆ ที่ไม่มีกลไกป้องกัน ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยทำการสำรวจห้องวิจัยเสร็จแล้วเขาก็ตัดสินใจเดินไปสำรวจด้านหลังประตูบานนี้

ห้องหลังประตูมีขนาดไม่เกิน 200 ตารางเมตรและมีทางเดินยาวกว่า 20 เมตรแยกออกไปเป็นห้อง 8 ห้องทั้งสองด้าน

เซี่ยเฟยเคยถูกจับขังคุกมาก่อนเขาจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในห้องนี้เป็นอย่างดี โดยข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือห้องขังที่นี่ไม่ได้ถูกปิดกั้นด้วยแท่งโลหะ แต่ใช้เครื่องยิงเลเซอร์เพื่อคุมขังผู้คนไว้ด้านใน

ไม่ว่าโลหะจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่มันก็ไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจของขุมพลังบนจุดสูงสุดของจักรวาลได้อยู่ดี แต่แสงเลเซอร์พวกนี้เป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป เพราะถ้าหากว่าใครกล้าที่จะเข้าไปใกล้พวกเขาก็จะถูกแผดเผาทั้งเป็น

สำหรับนักสู้ระดับสูงลำแสงเลเซอร์ขนาดเล็กยังไม่พอที่จะทำอันตรายใด ๆ กับพวกเขาได้ นั่นก็เพราะว่านักสู้เกือบทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่สวมใส่ชุดป้องกันอย่างครบครัน แต่เครื่องยิงเลเซอร์ที่ถูกติดตั้งเอาไว้ในห้องขังแห่งนี้คือเครื่องยิงเลเซอร์ในระดับอุตสาหกรรม ดังนั้นการเรียกพวกมันว่ากำแพงเลเซอร์จึงไม่ใช่เรื่องที่กล่าวเกินจริง

นอกจากนี้มนุษย์ทุกคนที่ถูกคุมขังเอาไว้ภายในห้องย่อมจะต้องถูกปลดอาวุธชุดเกราะออกไปจนหมดแล้ว และถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำการสวมใส่ชุดต่อสู้เอาไว้จริง ๆ แต่มันก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าพวกเขาจะสามารถเคลื่อนที่ผ่านเลเซอร์ความเข้มข้นสูงพวกนี้ไปได้

“ทำไมห้องทดลองนี่ถึงสามารถจับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาทำการวิจัยได้เยอะขนาดนี้?” อันธอุทาน

“ถ้าดูจากอุปกรณ์ด้านนอกฉันคิดว่าพวกเขากำลังทำการวิจัยเรื่องเกี่ยวกับพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อยู่” เซี่ยเฟยกล่าว

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ทำการกดสวิตซ์เพื่อปิดกำแพงเลเซอร์ภายในห้องขังและถึงแม้ว่าเวลาจะได้ผ่านมาอย่างเนิ่นนานแล้ว แต่กำแพงเลเซอร์สีน้ำเงินพวกนี้ก็ยังคงทำหน้าที่ของพวกมันได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้เซี่ยเฟยประทับใจกับเทคโนโลยีของอารยธรรมโบราณมากยิ่งขึ้น

“พวกเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอารยธรรมโบราณศึกษาพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ไปได้ไกลแค่ไหนแล้ว พวกเรารู้เพียงอย่างเดียวว่าเทคโนโลยีของพวกเขานำหน้าเทคโนโลยีในปัจจุบันไปไกล” อันธกล่าว

“ที่นายพูดก็มีเหตุผล พวกเรารู้จักอารยธรรมโบราณน้อยเกินไปจริง ๆ มีองค์กรไหนในจักรวาลที่ศึกษาอารยธรรมโบราณแบบจริง ๆ จัง ๆ ไหม ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะมีข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้” เซี่ยเฟยกล่าว

“มี! แต่เนื่องมาจากข้อบังคับของพันธมิตรการคงอยู่ขององค์กรพวกนี้จึงเป็นไปอย่างลับ ๆ คล้าย ๆ กับห้องสมุดของตาเฒ่าฉินหมาง นายก็น่าจะรู้ตัวดีใช่ไหมว่านายได้ข้อมูลของอารยธรรมโบราณจากห้องสมุดนั่นมามากแค่ไหน” อันธกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฉันได้เรียนรู้มาเพียงแค่ผิวเผินน่า มันคงจะดีกว่านี้ถ้าฉันได้มีโอกาสเรียนคู่มือการเข้ารหัสหุ่นยนต์ในห้องชั้นใต้ดิน บางทีถ้าฉันศึกษาข้อมูลในหนังสือพวกนั้นแล้วฉันอาจจะสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมาเองก็ได้” เซี่ยเฟยกล่าว

“อย่าเด็ดขาด! หุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์มันไม่ใช่เครื่องจักรอีกต่อไปแล้วแต่มันเป็นการพยายามสร้างสิ่งมีชีวิต การทำแบบนี้มันเป็นเรื่องฝ่าฝืนกฏธรรมชาติ ระวังนายจะถูกพระเจ้าลงโทษ!” อันธกล่าวพร้อมกับรีบโบกมืออย่างแรง

“ทำไมฉันถึงคิดว่าน้ำเสียงของนายคล้ายกับคุณตาฉินหมางเลย และเขาก็ชอบพูดแบบนั้นบ่อย ๆ ด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ฉันคงจะได้รับผลกระทบมาจากการฟังสิ่งที่พวกนายพูดคุยกัน อันที่จริงสิ่งที่ตาเฒ่าฉินหมางพูดมาก็มีเหตุผล มนุษย์เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในจักรวาล หากเทียบกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่แท้จริงแล้วตัวตนของมนุษย์ก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลย”

“ถึงแม้ว่ามนุษย์จะถูกลบหายไปจากจักรวาลแต่จักรวาลก็ยังคงดำเนินไปตามวิถีดั้งเดิมของมัน ดังนั้นมนุษย์ควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีอย่าพยายามเข้าไปท้าทายหน้าที่ของธรรมชาติ” อันธกล่าวด้วยใบหน้าอันจริงจัง

“เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ พวกเรามาหาวิธีขนเครื่องมือพวกนั้นออกไปดีกว่า” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

ตอนนี้ในแววตาของเซี่ยเฟยเต็มไปด้วยเหรียญสตาร์คอยน์ หากเขาสามารถนำเครื่องมือทั้งหมดออกไปขายได้ เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องการซื้อวัตถุดิบปรุงน้ำยา, การพัฒนาบริษัทควอนตัมและค่าบำรุงรักษาแวมไพร์อีกต่อไป

แต่การนำอุปกรณ์พวกนี้ออกไปกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากที่สุด

แหวนมิติของเขาสามารถเก็บของได้เพียงแค่ 20 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งอย่างมากที่สุดเขาก็สามารถเก็บอุปกรณ์พวกนี้กลับไปได้เพียงแค่ 1-2 เครื่องเท่านั้น

“ความเร็วของนายถือว่าใช้ได้ นายลองเก็บเครื่องมือเข้าไปในแหวนมิติแล้วเอาขึ้นไปบนพื้นทีละชิ้นดีไหม?” อันธเสนอความคิด

“นั่นเรียกว่าวิธีแก้ปัญหาของนายหรอ? ช่างมันเถอะ! ฉันยังพอมีเวลาอีกพอสมควร พวกเรามาลองสำรวจที่นี่อย่างละเอียดและรวบรวมของมีค่ากลับไปให้ได้มากที่สุดกันเถอะ ถ้ามันไม่มีอะไรช่วยเก็บของพวกนี้ออกไปจริง ๆ เราอาจจะต้องใช้วิธีการโง่ ๆ ของนายก็ได้” เซี่ยเฟยมองไปที่อันธด้วยสายตาอันว่างเปล่า

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปรอบ ๆ ห้องขังเพื่อทำการสำรวจทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างส่องประกายอยู่บนห้องขังห้องหนึ่ง ชายหนุ่มจึงเดินลงไปคุกเข่าบริเวณนั้นทันทีและหยิบวัตถุสีขาวขึ้นมาพิจารณาใกล้ ๆ

“ฟัน?” เซี่ยเฟยอุทานพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

มนุษย์ทุกคนมีฟัน 32 ซี่และเมื่อพิจารณาจากรูปร่างของฟันซี่นี้แล้ว มันก็จะต้องเป็นฟันกรามของใครสักคนหนึ่งที่เคยถูกคุมขังเอาไว้ในห้องนี้

ลักษณะของฟันมีสีขาวราวกับเซรามิกและพื้นผิวของฟันยังคงไม่บุบสลาย ซึ่งแม้แต่รากฟันก็ยังคงแข็งแรงเหมือนเดิมซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างแท้จริง

“ไม่ต้องพูดเลย ฟันซี่นี้จะต้องเป็นฟันของนักสู้ระดับสูงสุดของจักรวาลแน่ ๆ อย่างน้อยเขาก็มีอะไรหลงเหลืออยู่ในจักรวาลแห่งนี้บ้าง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

“ฟันซี่นี้มันเล็กนิดเดียว อย่างน้อยนายก็สามารถเก็บมันเป็นที่ระลึกเอาไว้ในแหวนมิติของนายได้” อันธกล่าวอย่างเย็นชา

“เดี๋ยวก่อนนะ! ไม่ใช่ว่าที่นี่ถูกโจมตีด้วยคลื่นแสงทำลายล้างหรอ? แล้วทำไมมันถึงเหลือฟันอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เซี่ยเฟยอุทานออกมาด้วยความสงสัย

อันธก็ผงะไปด้วยเช่นเดียวกัน เพราะถ้าหากที่นี่ถูกโจมตีด้วยคลื่นแสงทำลายล้างจริง ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่ห้องขังแห่งนี้จะหลงเหลือฟันซี่หนึ่งเอาไว้

การที่พวกเขาได้พบฟันมันอธิบายได้ 2 เหตุการณ์คืออย่างแรกดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ถูกโจมตีด้วยคลื่นแสงทำลายล้างและเหตุการณ์ที่ 2 คือฟันซี่นี้เป็นฟันปลอม มันจึงสามารถอธิบายเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ได้

“ฮ่า ๆ ๆ ดูเหมือนว่านายจะเจอฟันปลอมนะ” อันธหัวเราะเยาะ

แต่ในทันใดนั้นเองกำแพงเลเซอร์ก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งทำให้เซี่ยเฟยถูกขังเอาไว้ในคุก!

ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นจากพื้นและเดินเข้าไปหากำแพงเลเซอร์ด้วยสีหน้าอันจริงจัง

“พวกเราติดกับดักแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าว

ความกังวลจากการถูกขังทำให้เซี่ยเฟยเผลอบีบฟันปลอมภายในมือ

เปาะ!

พริบตาต่อมามันก็มีวัตถุสีทองขนาดเล็กหล่นออกมาจากฟันปลอมที่ถูกบีบให้แตกอย่างไม่ได้ตั้งใจ

***************

นอกจากตอนนี้จะยาวแล้ว ยังมีปริศนามาเพิ่มอีกแล้วหรอ?! หรือสิ่งที่หล่นมาจากฟันจะคือทองแท่งกันนะ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด