ตอนที่แล้วตอนที่ 132: ดาวเคราะห์ YZZ-7526
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 134: อาคารสี่เหลี่ยม

ตอนที่ 133: ด้วงดำ


ตอนที่ 133: ด้วงดำ

ดาว YZZ-7526 เคยเป็นดาวเคราะห์สำหรับขุดเหมืองแร่ของมนุษย์ทำให้ประชากรที่เคยอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่สามารถเทียบชั้นกับดาวเคราะห์เชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งในความเป็นจริงมันค่อนข้างจะเป็นดาวเคราะห์ที่ยากจนสำหรับอารยธรรมโบราณ

ตามแผนที่ที่เซี่ยเฟยได้รับมาบนดาวเคราะห์ดวงนี้มีเมืองใหญ่ ๆ อยู่ทั้งสิ้น 5 เมืองและมีเมืองบริวารขนาดเล็กกระจายกันอยู่บริเวณโดยรอบ

ในบรรดาเมืองต่าง ๆ มีความคล้ายกันอยู่หนึ่งอย่างคือพวกเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับการขุดเหมืองแร่

มนุษย์ส่วนใหญ่ที่เคยอยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้ต่างก็มีอาชีพเกี่ยวกับการขุดเหมือง ดังนั้นเมืองที่พวกเขาสร้างจึงอยู่ไม่ห่างจากเหมืองมากนัก

ตำแหน่งที่ยานลงจอดคือ 1 ใน 5 เมืองใหญ่ที่มีรหัสว่าเมือง 04 และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะเข้ามาใน เมืองนี้พร้อมกับคนอื่น ๆ แต่เขาก็เลือกที่จะไปสำรวจเมือง 02 ซึ่งอยู่ห่างออกไปในระยะกว่า 2,000 กิโลเมตร

หากพิจารณาจากแผนที่มันเห็นได้ชัดเลยว่าซากปรักหักพังของเมือง 02 มีความงดงามมากยิ่งกว่าซากปรักหักพังของเมือง 04 และพื้นที่ของเมือง 02 ยังมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าเมือง 04 ไม่น้อยกว่า 3 เท่า ซึ่งมันก็อาจจะตีความได้ว่าเมือง 02 มีความเจริญรุ่งเรืองกว่าเมือง 04 มาก

ขณะเดียวกันนักเรียนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะสำรวจซากปรักหักพังในเมือง 04 และถึงแม้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ แต่ผลลัพธ์ของการสำรวจก็จะลดน้อยลงไปเป็นอย่างมาก

เซี่ยเฟยไม่ใช่คนที่จะรู้สึกเกรงกลัวอันตรายและเป้าหมายของการสำรวจของเขาครั้งนี้ก็ชัดเจน

เขาอยากรวย!!

ตอนนี้เงินในบัญชีของเขาเหลือเพียงแค่ประมาณ 200 ล้านสตาร์คอยน์และถึงแม้มันจะเป็นเงินที่ฟังดูเยอะมาก แต่มันก็อย่าลืมว่าวัตถุดิบผสมน้ำยาเกือบทุกชนิดที่เขาต้องหาซื้อมาต่างก็ล้วนแล้วแต่มีราคาที่สูงเสียดฟ้า ด้วยเหตุนี้การมีเงินเหลือเพียงแค่ 200 ล้านสตาร์คอยน์จึงเป็นจำนวนที่ไม่เพียงพอ

นอกจากนี้เขายังมีบริษัทควอนตัมบนโลกให้ดูแลและในตอนนี้มันก็ยังไม่สามารถทำกำไรกลับมาให้เขาได้

หากเขาต้องการจะให้บริษัทเติบโตขึ้นเขาก็จำเป็นจะต้องใช้เงินทุนอัดฉีดเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมโดยเร็วที่สุด และแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการอัดฉีดเงินทุนให้กับบริษัทนั่นก็คือเงิน!!

แม้แต่ค่าบำรุงรักษารายวันของแวมไพร์ก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เพราะท้ายที่สุดยานลำนี้ก็เป็นยานฟริเกตระดับสูงสุดในจักรวาล ดังนั้นเพียงแค่ค่าเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็มีราคามากพอที่จะจ่ายเป็นค่าบำรุงรักษายานรบธรรมดาเป็นเวลา 1 ปี

เซี่ยเฟยเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้วและการใช้ชีวิตในสังคมระดับจักรวาลก็จำเป็นจะต้องใช้เงิน นอกจากนี้เป้าหมายของเซี่ยเฟยก็ไม่ใช่การเติบโตเป็นนักสู้ธรรมดา ๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำเป็นจะต้องใช้เงินอีกมากมายมหาศาลเพื่อพัฒนาตัวเอง

เขาจะต้องหาเงินให้ได้มากกว่านี้!!

เขาจะต้องเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวย!!!

เซี่ยเฟยร้องคำรามภายในใจและมุ่งหน้าไปที่ซากปรักหักพังของเมือง 02 โดยแววตาของเขาราวกับว่าปลายทางไม่ใช่ซากปรักหักพังของเมืองโบราณแต่เป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยกองทอง

หลังจากเดินทางไปได้ไม่ไกลพระอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ลับขอบฟ้าและทำให้ผืนป่าที่เขากำลังเคลื่อนที่ผ่านเข้าสู่ความมืด

เสียงแปลก ๆ บริเวณรอบ ๆ ตัวของเขากำลังดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งชายหนุ่มรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเซิร์กเป็นแมลงที่ชอบหากินในช่วงกลางคืน และในตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่พวกมันจะปรากฎตัวออกมา

เซี่ยเฟยทำการเรียกหน้ากากของชุดต่อสู้วินด์ชาโดว์และเปิดใช้ระบบมองกลางคืนจนทำให้บริเวณดวงตาของหน้ากากส่องแสงสีแดงออกมา แต่เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ไม่มีแสงสว่างอยู่เลยแม้แต่เพียงเล็กน้อย มันจึงทำให้ภาพที่เขาเห็นเป็นภาพที่เต็มไปด้วยแสงสีแดงจาง ๆ

ห่างออกไปด้านหน้าประมาณ 400-500 เมตรมีด้วง 2 ตัวกำลังหาอาหารอยู่บนพื้น โดยพวกมันมีเปลือกหนาสีดำและมีเขี้ยว 1 คู่ที่แหลมคมราวกับเคียวขนาดใหญ่ที่สามารถตัดทุกอย่างให้ขาดออกจากกันได้อย่างง่ายดาย

ร่างกายของพวกมันมีขนาดใหญ่พอ ๆ กันกับรถยนต์คันเล็ก ๆ แต่เนื่องจากพวกมันมีขาสั้น ๆ ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างเชื่องช้า

นอกจากนี้บนหัวของพวกมันยังมีหนวดสีขาวดำคู่หนึ่งชูขึ้นมาราวกับเสาอากาศและมีลูกกะตาขนาดเท่าลูกบาสที่ปูดโปนราวกับกิ้งก่า

เซี่ยเฟยหยุดอยู่กับที่และค่อย ๆ หมอบลงสังเกตด้วงทั้งสองตัว เมื่อเขาทำการตรวจสอบข้อมูลจากเครื่องสื่อสารเขาก็ได้รู้ว่าแมลงพวกนี้มีชื่อในฐานข้อมูลว่าด้วงดำ

ทันใดนั้นท่าทางของเซี่ยเฟยก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน โดยดวงตาของเขาให้ความรู้สึกที่เฉียบคมมากขึ้นกว่าเดิมเพราะเขากำลังใช้พลังของมนตราอสูรขั้นที่ 3

เมื่อ 10 ชั่วโมงที่แล้วเซี่ยเฟยสามารถทะลุผ่านขั้นที่ 3 ของมนตราอสูรได้สำเร็จและในตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ดีที่เขาจะทำการทดสอบ

คลื่นความคิดได้ถูกส่งผ่านดวงตาเข้าไปยังสมองของด้วงทั้งสองตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคลื่นความคิดครึ่งหนึ่งมีขนาดเล็ก ขณะที่คลื่นความคิดอีกครึ่งหนึ่งมีขนาดใหญ่

เซี่ยเฟยยืนขึ้นจ้องมองไปยังด้วงทั้งสองที่อยู่ไม่ไกลและค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้าไปใกล้พวกมัน

คลื่นสมองที่เขาได้ปลดปล่อยออกไปแทรกซึมเข้าไปในคลื่นสมองของพวกแมลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้แมลงทั้งสองรู้สึกเหมือนกับตกใจกลัว จากนั้นพวกมันก็กระโดดไปมาราวกับต้องการจะกำจัดคลื่นสมองที่แปลกประหลาดออกไป แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางของพวกมันแล้วมันก็ดูคล้ายกับว่าพวกแมลงกำลังรู้สึกทรมาน

สิ่งที่แปลกประหลาดนั่นก็คือคลื่นความคิดที่เซี่ยเฟยส่งไปเป็นเพียงแค่คำสั่งง่าย ๆ ที่เขาทำตามวิธีในจารึกมนตราอสูร แต่แมลงทั้งสองตัวนี้กลับปฏิเสธคำสั่งของเขาและพยายามต่อต้านคลื่นคำสั่งอย่างรุนแรง

นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังพบว่าเมื่อคลื่นสมองที่เขาปล่อยออกไปแทรกซึมเข้าไปในสมองของมัน แรงคลื่นพลังพวกนั้นจะมีกำลังที่ลดลงทำให้พวกมันไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้อย่างที่ควรจะเป็น

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะท้ายที่สุดวิชามนตราอสูรก็เป็นวิชาที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมพวกสัตว์ในจักรวาลไม่ใช่หรอ ซึ่งสำหรับตัวเขาแล้วพวกแมลงก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อาศัยอยู่ในจักรวาลด้วยเช่นกัน แล้วทำไมวิชามนตราอสูรถึงใช้กับพวกมันไม่ได้ผล

เซี่ยเฟยพยายามเพิ่มความรุนแรงของคลื่นสมองและพยายามทำให้แมลงพวกนั้นไม่สามารถต่อต้านคำสั่งของเขาได้

ทันใดนั้นเองเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

จู่ ๆ แมลงทั้งสองก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น โดยที่ขาทั้งหกข้างของพวกมันกำลังดิ้นไปมาอย่างดุเดือดคล้ายกับผู้ป่วยที่มีอาการลมชัก

พลังงานที่เซี่ยเฟยได้ปล่อยออกไปมีกำลังสูงสุดเท่าที่เขาพอจะเรียกใช้ได้แล้ว และการใช้คลื่นพลังงานจากสมองเป็นจำนวนมากมันก็ทำให้เขาเริ่มที่จะรู้สึกหมดแรง

ตูม! ตูม!

ในที่สุดการโจมตีด้วยคลื่นสมองที่รุนแรงของเซี่ยเฟยก็ทำลายสมองของแมลงทั้งสองตัวนี้โดยตรง ทำให้มันเกิดเสียงระเบิดขึ้นมา 2 ครั้งพร้อมกับของเหลวสีเขียวข้นที่ค่อย ๆ ไหลออกมาจากศีรษะของแมลงทั้งสองตัว

“พวกมันตายแล้วหรอ?” เซี่ยเฟยผงะไปครู่หนึ่ง เนื่องจากเขาไม่คาดคิดว่าพลังของวิชามนตราอสูรจะมีประสิทธิภาพมากขนาดนี้ เพราะแม้แต่คลื่นสมองที่เขาปล่อยออกไปก็สามารถเข้าทำลายสมองของพวกแมลงได้โดยตรง

ชายหนุ่มพยายามส่ายหัวเพื่อดึงสติตัวเองกลับคืนมา ก่อนที่เขาจะเดินไปข้างหน้าเพื่อสำรวจพวกแมลง

หัวของแมลงถูกป้องกันด้วยเปลือกแข็งสีดำและเมื่อเขาพิจารณาจากสภาพของบาดแผล คลื่นสมองของเขาก็น่าจะทำให้สมองของพวกมันขยายตัวออกมาด้วยความรวดเร็ว และในที่สุดเมื่อสมองขยายตัวจนถึงขีดจำกัดพวกมันก็ระเบิดแตกออกเหมือนกับภาพในปัจจุบัน

เซี่ยเฟยใช้นิ้วจุ่มลงไปในสมองสีเขียวของแมลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยื่นนิ้วมาตรงจมูกเพื่อดมกลิ่น

ของเหลวพวกนี้มีความหนืดพอ ๆ กับกาวและมีกลิ่นที่คล้าย ๆ กับนมบูด

ทันใดนั้นอันธก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างกายพร้อมกับใช้มือจับไปที่คางด้วยท่าทางที่ครุ่นคิด

“นายคิดว่ายังไงบ้าง?” เซี่ยเฟยถาม

อันธส่ายหัวพร้อมกับพยายามสันนิษฐาน

“ไม่รู้สิ ฉันแค่รู้สึกว่าคลื่นสมองของนายส่งผลกับพวกเซิร์กน้อยมาก เหมือนกับคลื่นความถี่ของสมองมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันจึงทำให้นายไม่สามารถควบคุมพวกมันได้”

“ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน คล้ายกับคำสั่งของฉันเป็นภาษาต่างประเทศทำให้พวกแมลงไม่เข้าใจ เป็นไปได้ไหมว่าสมองของพวกเซิร์กจะมีความแตกต่างจากสมองของสัตว์ตัวอื่น ๆ” เซี่ยเฟยกล่าว

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้านายเจอพวกแมลงอีกฉันแนะนำให้นายผ่าเปิดสมองของพวกมันมาดู จากนั้นให้นายใช้เนตรมนตราเพื่อสังเกตเปลวไฟวิญญาณของพวกมันก่อน บางทีการค้นพบของนายในครั้งนี้อาจจะเป็นการค้นพบครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การวิจัยของมนุษย์ก็ได้” อันธกล่าว

ถึงแม้ว่าแมลงทั้งสองตัวนี้จะตายไปแล้วแต่ขาของพวกมันยังคงเคลื่อนที่ไม่หยุด เซี่ยเฟยจึงเตะแมลงตัวหนึ่งเข้าไปอย่างแรงก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าตรงไปยังเมือง 02 ต่อไป

หลังจากเดินทางไปได้ไม่ถึง 10 กิโลเมตร ด้วงดำคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าของชายหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่าแมลงชนิดนี้จะชอบเดินทางกันเป็นคู่หรือบางทีพวกมันอาจจะเป็นคู่ผัวเมียกันก็ได้

ในครั้งนี้เซี่ยเฟยไม่ได้เร่งรีบที่จะทำการเคลื่อนไหว แต่เขาได้ใช้เนตรมนตราเพื่อสังเกตเปลวไฟวิญญาณของพวกมันจากระยะไกลแทน

เมื่อเซี่ยเฟยใช้เนตรมนตราเขาก็ได้เห็นเปลวไฟสีฟ้าเล็ก ๆ จากร่างของพวกมัน ซึ่งเปลวไฟไม่เพียงแต่จะมีขนาดเล็กเท่านั้นแต่เปลวไฟพวกนี้ยังดูอ่อนแรงมากราวกับสามารถถูกลมพัดดับได้ทุกเมื่อ

ตามเหตุและผลสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่แบบนี้สมควรที่จะมีเปลวไฟวิญญาณที่แข็งแกร่ง แต่ในความเป็นจริงเปลวไฟวิญญาณของพวกมันกลับอ่อนแอราวกับสามารถดับได้ทุกเวลา

หลังจากพิจารณาเปลวไฟวิญญาณแล้วเซี่ยเฟยก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว โดยใช้เชสซิ่งไลท์เล็งไปที่สมองของด้วงดำก่อนที่เขาจะตัดศีรษะของพวกมันอย่างว่องไว

การเคลื่อนที่ที่รวดเร็วและแม่นยำของเซี่ยเฟยสามารถตัดผ่านศีรษะของแมลงทั้งสองตัวได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ทำการตัดเฉือนสมองของแมลงทั้งแนวตั้งและแนวนอนเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตุจากมุมต่าง ๆ

เซี่ยเฟยเคยเห็นพวกเซิร์กจากเขตดาววิลเดอร์เนสมาบ้างแล้ว แต่เขายังไม่เคยมีโอกาสสังหารพวกมันด้วยมือของเขาเอง

สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นของเหลวสีเขียวที่ไหลออกมาอีกครั้งราวกับว่าสมองของพวกมันเป็นของเหลวในศีรษะตั้งแต่แรก

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสมองของพวกเซิร์กจะเป็นแบบนี้!” แม้แต่อันธก็อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

เซี่ยเฟยยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้แล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมวิชามนตราอสูรจึงส่งผลกับพวกแมลงเพียงแค่เล็กน้อย เพราะความจริงกลับกลายเป็นว่าสมองของพวกเซิร์กมีความแตกต่างจากสมองของสัตว์โดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

เซี่ยเฟยทำการหยิบคริสตัลรูปทรงคล้ายเพชรสีดำแวววาวออกมาจากศีรษะของด้วงทั้งสองตัว โดยแมลงทุกตัวจะมีคริสตัลชนิดนี้ในศีรษะตัวละ 1 เม็ดเพียงแต่สีและขนาดของคริสตัลจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับและเผ่าพันธุ์ของแมลง

เขาสามารถนำคริสตัลพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นคะแนนของค่ายฝึกได้ และถ้าหากพวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวคริสตัลได้เป็นจำนวนมาก มันก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของเขาได้เหมือนกัน

เมื่อเซี่ยเฟยสามารถไขปัญหาเรื่องสมองของพวกเซิร์กได้แล้ว เขาก็เริ่มทำการสังหารพวกมันอย่างดุเดือด

ตลอดทางที่ชายหนุ่มได้เคลื่อนที่ผ่านไปมีซากศพของพวกแมลงถูกทิ้งเอาไว้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงตอนเช้า ในที่สุดมันก็มีภาพของซากเมืองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบริเวณเชิงเขาที่อยู่ไม่ไกล

***************

ใครอยากเป็นเศรษฐี? ฉันน่ะสิๆๆ ใครอยากรวยบ้างแสดงตัวหน่อยเร็ววว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด