ตอนที่แล้วตอนที่ 12
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 14

ตอนที่ 13


หลังจากจบการตอบ ผมก็เห็นคนที่ไม่คาดคิดหลังจากออกจากสถานที่สอบมา

“อาจารย์”

อาจารย์ไฮเดลไม่ได้ทำสีหน้าอะไร เขาเดินมาหาผม

“ดูเหมือนว่านายจะมีเรื่องนะ”

“...เรื่อง?”

“มากับชั้น”

ทางที่อาจารย์ไฮเดลเดินไปนั้นไม่ใช่ทางอื่นใด มันคือบันไดทางเข้าชั้นใต้ดินนั่นเอง

ไม่ยากที่จะเดาว่า ‘เรื่อง’ ที่อาจารย์ไฮเดลพูดถึงคือคะแนนที่ผมได้

“ชั้นสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมคิงแกรมถึงได้ชอบนายนัก?”

“เอ่อ คือว่า…”

“มันก็แค่คำถามแบบขอไปทีน่ะ จอมเวทย์ต้องเก็บความลับของตัวเองนะ”

ผมถามติดตลกกลับไป

“อาจารย์จะบอกเรื่องนี้กับพ่อผมไหม?”

“ทำไมล่ะ? อยากให้บอกเหรอ?”

“ไม่หรอกครับ แต่ถ้าจะบอกก็อยากให้บอกเร็ว ๆ เพราะเขาคงเป็นห่วง”

“เห เจ้าเด็กคนนี้”

อาจารย์ไฮเดลทำหน้าแปลกที่บอกว่าเขาดีใจกับเรื่องนี้

เจาดึงแผ่นกระดาษออกมาจากชุดและถือไว้

มันคือใบอนุญาตเข้าที่มีตราประทับของผู้อำนวยการไทเรียน

เขาเรียกเหล่า ‘ภูติพิทักษ์มานา’ ที่ดูแข็งแกร่งให้คุ้มกันบันไดห้องอาติแฟกต์

“นี่เป็นใบอนุญาตของผู้อำนวยการ โปรดให้เราเข้าไปที่ห้องอาติแฟกต์ด้วย”

หลังจากภูติพิทักษ์มานาได้ยืนยันตราประทับของใบอนุญาตแล้ว

ตรวจ! ตรวจ!

พวกภูติเคลื่อนไหวอย่างเป็นลำดับอันสมบูรณ์แบบและหันตัวออกไป

อาจารย์ไฮเดลเดินต่อไปข้างหน้าและลงบันไดชั้นใต้ดิน

ผมรีบเดินตามหลัง

“โอ้โห…เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเลย”

“ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่เป็นเขตหวงห้ามในโรงเรียน”

บรรยากาศเยือกเย็นอาบผิวของผม

แต่พื้นที่รอบ ๆ นั้นดูได้รับการดูแลอย่างดี เพราะบันไดเองก็ไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่เม็ดเดียว

ตะเกียงเปล่งแสงอุ่นสะท้อนบันไดและทางเดิน

ที่ปลายทางเดินคือประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะพาไปยังห้องหนึ่ง

ผมรู้สึกแปลกเมื่อคิดว่าพื้นที่ใต้ดินขนาดใหญ่แห่งนี้มีห้องเพียงห้องเดียว แต่อาจารย์ไฮเดลก็อธิบายสิ่งที่ทำให้ผมเข้าใจในทันที

“กับดักที่ติดตั้งในทางเดินนั้นมีมากกว่า 100 แบบ พวกมันไม่ทำงานเพราะเราได้รับการอนุญาตให้เข้ามา แต่อย่าจับอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ”

“...โอ้”

เป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยกับดักนี่เอง

พวกมันจะทำงานตอบสนองกับผู้บุกรุกและตรวจจับ ‘ซ่อนตัว’ ‘ล่องหน’ และเวทย์ประเภทอื่นได้

ไม่ว่าผู้บุกรุกจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็จะถูกหยุดก่อนที่จะถึงห้องอาติแฟกต์

สถานที่หวงห้ามสำหรับนักเรียน

สถานที่ที่จะหยุดแขกที่ไม่ได้รับเชิญจากการเข้ามาอย่างสิ้นเชิง

มีสมบัติอะไรที่เก็บไว้ข้างในการคุ้มกันมากมายขนาดนี้กัน?

ผมรู้สึกกังวลอยู่บ้างขณะที่เดินตามอาจารย์ไฮเดลลึกเข้าไปในทางเดิน

ที่ทางเข้าห้องอาติแฟกต์นั้นปิดไว้ด้วยประตูเหล็กขนาดใหญ่ อาจารย์ไฮเดลหยุดและหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า

“นายเข้าไปได้คนเดียว”

“...ผมคนเดียวเหรอ?”

“ใช่ ชั้นมาได้แค่นี้แหละ เข้าไปสิ ชั้นจะรอตรงนี้”

อาจารย์คาบบุหรี่ในปากและเดาะลิ้นจุดไฟ

ผมกำลังเข้าไปคนเดียว…

“ถ้างั้น เดี๋ยวกลับมานะครับ”

ผมสูดหายใจเข้าลึกและเปิดประตูหนัก ๆ ของห้องอาติแฟกต์

เอี๊ยด~

ประตูเหล็กส่งเสียงแปลก ๆ เมื่อผมเปิด

มันไม่ได้หนัก ประตูนั้นเบาราวกับมีเวทย์น้ำหนักเบาร่ายใส่เอาไว้

ที่อีกด้านของประตูเหล็กคือความมืดที่ล้ำลึกและปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมกลืนน้ำลายและก้าวเข้าไป

ก้าว…เดิน…

เอี๊ยด…กรึก

ประตูเหล็กปิดและพร้อมกันนั้นก็มีแสงสีเขียวสว่างจ้าจนเกือบทำให้ผมตาพร่า

ในห้องอาติแฟกต์ที่สะท้อนแสงสีเขียว นี่คือห้องสมบัติสินะ

“โอ้โห…”

ไม้คทา ไม้กายสิทธิ์ ผ้าคลุม สร้อย

แค่อาวุธที่แขวนบนกำแพงก็มีจำนวนเป็นเลขสองหลักแล้ว

มีผนึกมากมายอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับแหวนและสร้อยคอที่ดูเหมือนกับมีเวทย์ขั้นสูงร่ายใส่เอาไว้

ที่มุมห้องอาติแฟกต์มีหนังสือเวทมนตร์มากมายนับไม่ถ้วน แค่มองก็รู้แล้วว่ามันล้ำค่าเพียงใด หนังสือเหล่านั้นถูกเก็บเอาไว้ในชั้นหนังสืออย่างแน่นหนา

เป็นภาพที่ทำให้ต้องอึ้งถึงความยิ่งใหญ่

หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าห้องเก็บของของอัครจอมเวทย์โฟรเลียน อิกนิท?

แต่ท่ามกลางสมบัติเหล่านั้น อาติแฟกต์ที่ล้ำค่าที่สุดก็คือตัวเขาเอง

“เจ้ามองรอบ ๆ แบบนั้นอย่างกับคนโง่ เจ้าไม่รู้คุณค่าของตัวเองด้วยซ้ำไป”

“...ท่าน คิงแกรม”

อาติแฟกต์มีชีวิต คิงแกรม

คุณค่านั้นมิอาจประเมินได้ ไม่สามารถวัดเป็นเงินตราได้เลย

แต่…บางอย่างแปลกไป

คิงแกรมที่ควรจะอยู่ในรูปปั้นแพลตตินัมเสริมแกร่งเฉพาะกลับยืนอยู่ในร่างปกติ

ใช่แล้ว

เขาในตอนนี้คือโอเกอร์มีชีวิตที่เดินไปไหนมาไหนได้

“ได้ยังไงกัน?”

คิงแกรมพูดกับผม

“ที่นี่เป็นที่พิเศษ ข้าใช้กายเนื้อได้”

“อา…”

มาร่องรอยของมานาเก่าแก่ทั่วห้องอาติแฟกต์

เพราะมานาเก่าแก่นี้เอง คิงแกรมถึงไม่ได้อยู่ในฐานะ ‘อาติแฟกต์คิงแกรม’ แต่เป็น ‘โอเกอร์คิงแกรม’

แม้ว่าผมจะใช้เวลาในโรงเรียนมา 6 ปี แต่ก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ผมยังไม่รู้

“...เป็นแบบนั้นเองสินะ”

ผมกลืนน้ำลายเมื่อเห็นออร่าทรงพลังที่แผ่ออกมาจากตัวโอเกอร์

ด้วยร่างที่ใหญ่กว่าโอเกอร์ทั่วไปเป็นสองเท่า

ออร่าที่ปล่อยออกมานั้นเหมือนกับกำแพงอันยิ่งใหญ่

คนส่วนใหญ่คงจะถูกบดขยี้โดยไม่มีโอกาสให้ขัดขืน

แม้แต่ตัวผมเองก็แทบจะต้านทานไม่ได้ แต่ผมยังยืนอยู่ได้

เพราะผมมีคำถามที่ต้องการคำตอบ

จึงได้ถามออกไป

“ในตอนนั้น ท่านบอกว่าผมไม่รู้ ‘คุณค่าที่แท้จริง’ ของตัวเอง”

“ใช่”

“ท่านหมายความว่ายังไง?”

คำพูดที่คิงแกรมโยนใส่ผมขณะที่ผมกำลังงุนงงกับอาติแฟกต์จำนวนมาก

‘เจ้าไม่รู้คุณค่าที่แท้จริงของตัวเองด้วยซ้ำ’

เหมือนกับเขารู้ว่าพลังของผมมาจากอาติแฟกต์

สิ่งที่คิงแกรมพูดต่อไปได้ยืนยันสิ่งที่ผมคิด

“ดราก้า…เพราะทั้งเจ้าและเขาใช้อาติแฟกต์เดียวกัน”

พลังของผม

อาติแฟกต์โบราณที่ชื่อว่า ‘ผู้เล่น’

คิงแกรมรู้เรื่องตัวผมดี

“มันคืออาติแฟกต์หนึ่งเดียว ข้าพูดแบบนั้นออกไปเพราะว่าข้าหงุดหงิดและรำคาญ แม้เจ้าจะครอบครองอาติแฟกต์ที่แข็งแกร่งแบบนั้น แต่เจ้ากลับประทับใจกับขยะไร้ราคาพวกนั้น”

เจ้าโอเกอร์ตัวนี้

เขารู้มากเท่าไหร่กัน?

“เจ้าเอามันมาจากไหน? แล้วก็ เจ้าเกี่ยวข้องกับดราก้ายังไง?”

ผมตอบไม่ได้เลย

เพราะว่า…

ผมไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ผมเล่าเรื่องชีวิตของผมแบบสั้น ๆ ออกไป

“ก่อนหน้านั้น…ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟังก่อน”

ว่าผมมีพรสวรรค์ทางเวทมนตร์ตั้งแต่อายุยังน้อย

แต่คำสาปได้มาบดบังพรสวรรค์ของผม คำสาปที่ชื่อว่าภาวะไร้ความสามารถปลุกเวทย์

นักเรียนที่คะแนนต่ำที่สุดในโรงเรียน

และเรื่องเหตุการณ์ที่เกือบทำให้ผมตาย

และตอนที่ผมได้อาติแฟกต์ ‘ผู้เล่น’

และความเชื่อมโยงระหว่างดราก้า

คิงแกรมพยักหน้าขณะที่ฟังเรื่องเล่าของผมเงียบ ๆ

“ดราก้าเองก็ปลุกเวทย์ไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะเลือกเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว”

ผมถามคิงแกรมกลับไป

“ดราก้า…เขาเป็นใครกันแน่?”

“ฮื่ม! เจ้าถามว่าเขาเป็นใครเรอะ?”

“ครับ”

คำพูดต่อไปของคิงแกรมนั้นทำให้ผมตกตะลึง

“สิ่งมีชีวิตที่ปรารถนาจะเป็นพระเจ้ายังไงล่ะ”

ดราก้า ผู้ทำลายล้างโลก

ก่อนที่อัครจอมเวทย์โฟรเลียน อิกนิทจะถือกำเนิดขึ้นมา

เรื่องราวที่เก่าแก่ยิ่งกว่า

วันหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งได้พบ ‘เผ่าฟินิกซ์ท้องฟ้า’ ที่มีโอเกอร์คิงแกรมอยู่

ว่ากันว่าเขานั้นตัวเตี้ยและมีโครงสร้างที่อ่อนแอ

แต่เขาก็มีพลังในระดับมหาศาลที่ยากจะเชื่อว่าเป็นพลังจากมนุษย์

พลังของเขาเทียบได้กับพวกโอเกอร์และยังแข็งแกร่งขึ้นในทุก ๆ วัน และจนจุดหนึ่ง ต่อให้โอเกอร์หลายตัวพุ่งเข้าใส่เขา เขาก็เอาชนะได้อย่างราบคาบและง่ายดาย

“เขาแข็งแกร่งมาก มากพอที่จะทำให้เราหยุดคิดว่าเขาคือมนุษย์ ข้าพูดถึงเรื่องพลังของเขาได้ไปตลอดกาล ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งกว่าเขาอีกเลย”

นี่คือดราก้า

ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่นับถือพลัง เหล่าโอเกอร์ย่อมเริ่มที่จะนับถือเขาไปตามธรรมชาติ

แม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์ เขาก็อยู่ในเผ่าของโอเกอร์ในฐานะส่วนหนึ่งของครอบครัว

เขายังเป็นคนสอนคิงแกรม หัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไปในเรื่องภาษาและเวทมนตร์

เป็นเวลากว่า 100 ปี

ผมทำได้แต่ตกใจกับเรื่องนี้

“100 ปี? มนุษย์สอนท่านเป็นเวลา 100 ปีได้ยังไง…?”

“เป็นไปได้สิ เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์”

ไม่ใช่มนุษย์เหรอ?

ผมหรี่ตาและถามเขา

“ถ้าเขาไม่ใช่มนุษย์…แล้วเขาเป็นอะไรล่ะ?”

“มังกรดำดรากาโกเนีย นั่นคือร่างจริงของเขา”

ผมกลั้นหายใจ

ว่าไงนะ?

มังกร?

มังกรมีอยู่แค่ในตำนานไม่ใช่รึไง?

ถ้าหากมีคนอื่นพูดเรื่องนี้ ผมคงถามว่าล้อกันเล่นรึเปล่าแน่นอน

แต่ที่พูดกับผมคือโอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม

เขาไม่ใช่คนที่จะมาล้อเล่นหรือพูดเรื่องไร้สาระ

“นั่น…เรื่องจริงเหรอครับ?”

“เจ้าเองก็เป็นจอมเวทย์ เจ้าควรจะรู้ว่าที่มาของเวทมนตร์มาจากมังกร”

“อ๊ะ…จริงด้วย แต่การมีอยู่ของมังกรไม่เคยได้รับการยืนยันมาก่อน…”

ที่มาของเวทมนตร์

มันคือหัวข้อที่เป็นที่นิยมในหมู่คนที่ชอบพูดคุยกัน

ว่าที่มาของเวทมนตร์คือมังกร

หรือว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้นและพัฒนาขึ้นมา

สองแนวคิดนี้ปะทะกันมานานแล้ว

แต่ก็ไม่มีแนวคิดใดที่เหนือกว่า เพราะการพิสูจน์แต่ละแนวคิดนั้นดูจะเป็นไปไม่ได้

แต่โอเกอร์ตัวนี้มีชีวิตและเรียนรู้จากมังกรมากกว่า 100 ปีได้ตอกตะปูความเชื่อกับเขา

“ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง มังกรมีอยู่จริง ต่อให้จะดูเหมือนสูญพันธุ์ก็เถอะ”

ดูเหมือนสูญพันธุ์?

เขาหมายความว่ามังกรจะมีอยู่หรือไม่มีก็ได้งั้นเหรอ?

เป็นคำพูดที่คลุมเครือ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็รู้เรื่องดราก้ามากขึ้นแล้ว

แต่ก่อนที่ผมจะได้ตกใจกับการที่รู้ว่าเขาเป็นมังกรและไม่ได้เป็นมนุษย์จะจางหายไป คิงแกรมก็บอกผมมาอีกเรื่อง

“อย่างที่ข้าพูดไป ต้นกำเนิดของเวทมนตร์มาจากมังกร แต่ดราก้าเองนั้นปลุกเวทย์ไม่ได้เหมือนกับเจ้า เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”

มังกรที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้…

ผมไม่มั่นใจ แต่มันจะเหมือนกับมนุษย์ที่สูญเสียสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่ทำให้เขาเป็นมนุษย์ไป

แน่นอนว่ามีมนุษย์บนโลกที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้

แต่ไม่มีมนุษย์ที่ไร้ความรู้สึก

มนุษย์ที่ไร้ความคิดหรือการไตร่ตรองก็ไม่มีเช่นกัน

บางที มังกรที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้อาจจะถูกปฏิบัติแบบนั้นก็ได้

เพราะแม้แต่ผม จนกระทั่งเร็ว ๆ นี้ก็ถูกปฏิบัติแบบนั้นในโรงเรียน

“ผมว่า…ผมพอจะเข้าใจอยู่บ้าง”

เมื่อผมพยักหน้า คิงแกรมก็พูดต่อ

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดราก้าสร้างพลังที่มีแค่เขาจะใช้ได้ เพื่อที่จะใช้เวทมนตร์และพลังควบคู่กัน มันคือพลังที่เจ้ากำลังใช้อยู่”

ด้วยวิธีการนี้ ดราก้าจึงแข็งแกร่งขึ้น

แข็งแกร่งกว่าทุกสิ่งบนโลก

แข็งแกร่งกว่ามังกรตัวใดบนโลก

เขาบ่มเพาะพลังมากพอที่จะท้าทายพระเจ้า

และสุดท้าย

แต่ถึงอย่างนั้น

อีกนิด

แข็งแกร่งขึ้นอีกนิด

อีกนิดเดียว

หลังจากแข็งแกร่งขึ้นโดยความโลภที่ไม่มีสิ้นสุด วาระสุดท้ายของดราก้าก็จบลงด้วยความทุกข์ทรมาน

“หลังจากเพิ่มพลังอย่างไร้สิ้นสุด ดราก้าก็เดินมาถึงจุดตกต่ำ เขาทำลายมังกรตัวอื่นทั้งหมดที่มองเขาเป็นขยะและทำลายตัวเองไปด้วย”

ระเบิดฆ่าตัวตาย

สิ่งมีชีวิตที่แตกดับไปพร้อมกับโลกของเขา

ผู้ทำลายล้างโลก ดราก้า

นี่เป็นเหตุผลที่ ‘มังกร’ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในตำนานหรือเรื่องเล่าขานเท่านั้น

ผมกลืนน้ำลายเมื่อฟังเรื่องราวนี้

ได้เกิดวายุในใจผม

ไม่ใช่เพราะการได้ฟังเรื่องเล่าที่ไม่น่าเชื่อ

แต่เป็นเพราะผมไม่อาจจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘พลังไร้ขีดจำกัด’ นี้

จนกระทั่ง

หน้าต่างใหม่ได้โผล่ขึ้นมาต่อหน้าต่อตาผม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด