ตอนที่แล้วตอนที่ 10
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12

ตอนที่ 11


เจสันเพื่อนร่วมหอพักของผมตะโกนขณะที่เดินมาหาผม

“หลีกทางให้ท่านอัครจอมเวทย์หน่อย!”

ทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้กัน?

“โอ้โห! รูนเองนี่นา!”

“เฮ้ รูน! ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหม?”

“นายไปออกกำลังกายตอนเช้าใช่ไหม? ทำแบบนั้นทุกวันเลยเหรอ?”

ทุกอย่างเปลี่ยนในข้ามคืน

จนกระทั่งเมื่อวาน ผมยังเป็นคนที่เดียวดายที่สุดในโรงเรียนอยู่เลย

“รูน รู้สึกยังไงกับการสอบวันนี้บ้าง?”

“นายจะใช้หมัดนายอีกใช่ไหม? ฟึ่บ ฟึ่บ แบบนี้น่ะ?”

“เขาก็ต้องใช้น่ะสิ!”

หรือผมจะบอกว่าจำนวนคนที่อยากจะเป็นเพื่อนของผมนั้นเพิ่มขึ้นดี?

กับเพื่อนร่วมห้องเหล่านี้ ผมได้แต่ส่ายหัว

“...สนใจแต่เรื่องตัวเองไม่ได้รึไง”

แต่ยิ่งผมทำแบบนี้ไปเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเข้าหากันมากขึ้น

“รูน รู้จักชื่อชั้นไหม? เราเรียนห้องเดียวกันมา 6 ปีแล้วนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันแบบนี้ ชั้นชื่อฮัลเบิร์ท อย่าลื…”

“ออกไปได้แล้ว! ตาชั้นแล้ว รูนรู้จักชื่อชั้นไหม? ชั้นเป็นลูกบารอนมุงจ์ลินด…”

โทษทีนะ ชั้นไม่สนใจชื่อของพวกแกหรอก

“เฮ่อ…”

พอผมถอนหายใจเบา ๆ ออกมา เจสันเองก็พูดกับผมด้วยความสนุกสนานกว่าเดิม

“ท่านอัครจอมเวทย์! ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?”

“พูดดังไปแล้วนะ พอทีเถอะ”

“ฮ่าฮ่า”

มันทำให้เหนื่อยยิ่งกว่าเดิมในตอนที่ไม่มีใครสนใจผม

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นมิตรเช่นกัน

บางกลุ่มที่ชอบพูดในทางร้าย ๆ กับผมก็ยังคงมีอยู่

“ไม่เข้าใจผู้คุมสอบจริง ๆ ยอมรับ ‘ไอ้นั่น’ เป็นเวทมนตร์ได้ยังไง?”

“เขาจะต้องใช้กลลวงแปลก ๆ แน่ ไม่คิดแบบนั้นเหรอไมเคิล?”

กลุ่มหลักก็คือขุนนางที่ยึดโยงกับไมเคิล เกลฮิล เพื่อที่วันหนึ่งพวกเขาจะได้กินเศษก้อนขนมปังบ้าง

พวกเขามองผมเหมือนการมีอยู่ของผมเป็นขวากหนามของพวกเขาอยู่เสมอ

แต่บอกตามตรง คนประเภทนี้นั้นรับมือง่าย

ผมฉีกยิ้ม

“เอ๋?”

“ไอ้เวรนั่น…มันยิ้มเหรอ?”

ถ้าผมยิ้มเบา ๆ ให้ พวกมันก็จะระเบิดกันไปเอง

“นี่แก หัวเราะเยาะพวกชั้นเรอะ?”

“คิดว่าแกหยุดไม่ได้แค่เพราะสอบครั้งเดียวได้คะแนนดีเรอะ?”

อย่างที่คิดเลย ไม่ต่างจากที่เดาไว้

ไมเคิล เกลฮิลที่ดูผมจากระยะไกลค่อย ๆ เดินมาหา

“กับจอมเวทย์ที่ใช้หมัดน่ะ…ก็หยาบช้าสมกับเป็นแก”

“หยาบช้า? ชั้นถือว่านายกำลังเหยียดหยามอัศวินทุกคนในอาณาจักรได้ไหมนะ?”

“...หึ ชั้นไม่สนว่าแกจะพูดอะไร ไม่รู้นะว่าเมื่อวานแกทำอะไร แต่…”

ไมเคิลฉีกยิ้มราวกับวางแผนเอาไว้

“แกรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์กับการสอบวันนี้ใช่ไหม?”

การสอบครั้งที่ 2 คือวันนี้

มันเป็นการสอบที่ตรงไปตรงมาเพื่อวัดพลังทำลายของเวทมนตร์

แต่ก็มีหนึ่งตัวแปรของการสอบครั้งนี้

อาติแฟกต์ที่ใช้ในการสอบ ‘โอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม’ นั้น ‘มีชีวิต’

และก็เป็นอย่างที่ชื่อบอกไว้ นักล่าบรรพกาลโอเกอร์ ‘คิงแกรม’ นั้นพ่ายแพ้จากอัครจอมเวทย์คนแรก โฟรเลียน อิกนิท และดังนั้นจึงติดอยู่ในพื้นที่ข้างในอาติแฟกต์ ถูกสาปให้อดอยากอยู่เสมอ

เขากลายเป็นอาติแฟกต์ในสภาพนี้และคิงแกรมก็ยังคงติดอยู่ในอาติแฟกต์และได้รับมานาของจอมเวทย์ที่โจมตีเข้าไปและดูดซับ

ซึ่งโดยทฤษฎีแล้วเขาถูกใช้เป็น ‘กระสอบทรายเวทมตร์’ มานาที่ถูกคิงแกรมดูดซับเข้าไปจะถูกคำนวนออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งจำนวนนั้นจะเป็นคะแนนของจอมเวทย์

หมายความว่านี่คือตัวแปรที่แตกต่างจากการสอบอื่นทั้งหมด

‘ถ้าหากโอเกอร์ไม่ยอมรับเวทมนตร์แบบอื่นน่ะ’

เอาเถอะ ผมไม่เคยแตะต้อง ‘คิงแกรม’ ซักครั้งอยู่แล้ว

และเหนือไปกว่านั้น เวทมนตร์ของผมมันประหลาด

เวทมนตร์ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

นี่อาจเป็นเหตุผลที่ไมเคิลมาโอ้อวดในวันนี้

แต่แทนที่จะกังวล ผมกลับยิ้มอย่างสดใสออกไป

“ไมเคิล โชคดีในการสอบนะ”

“ว่าไงนะ? พูดบ้าอะไรของแก?”

“เดี๋ยวนายก็จะได้เจอชั้นอีก”

ที่การทดสอบสุดท้าย และเป็นการสอบที่น่าดูที่สุด

การต่อสู้กันเองของนักเรียนในม่านมานาพิเศษที่ความรุนแรงของเวทมนตร์ถูกลดไป 99%

สิ่งสำคัญก็คือคู่ประลอง

และการจัดคู่ประลองจะขึ้นอยู่กับผลของการสอบวันนี้

การจัดกลุ่มจะแบ่งตามผลสอบที่ได้

พวกที่ได้คะแนนต่ำจะต้องสู้กับคนคะแนนต่ำ และคนที่ได้คะแนนสูงจะได้สู้กับคนที่คะแนนสูง

“นายเองก็อยากจะเจอกับชั้นไม่ใช่รึไง?”

คำยั่วยุเล็ก ๆ ของผมทำให้ไมเคิลคิ้วกระตุกและถอนหายใจแรงใส่ผม

“แกคิดรึว่าแกมีโอกาสจะได้สู้กับชั้นน่ะ? แกมันก็แค่คนต้อยต่ำที่สอบตกมาตลอด 6 ปี…”

นักเรียนต้อยต่ำ

สอบตก

นั่นคือตราที่ประทับตัวผมมาจนถึงท้ายสุด

ผมตอบไมเคิลด้วยเสียงที่เย็นชากว่า

“ไมเคิล นายไม่ได้กำลังขวัญอ่อนเกินไปหรอกเหรอ?”

“ว่าไงนะ?”

เป็นตอนนั้นเอง

วี๊ดดดดด-!

เสียงไซเรนสัญญาณเริ่มสอบดังไปทั้งโรงเรียน

ครืน!

ประตูพื้นที่สอบเปิดออก อาจารย์ผู้ช่วยที่ดูการสอบปรากฏตัวออกมาทีละคน

“การสอบเริ่มแล้ว! ทุกคนนั่งที่ได้!”

ใบหน้าไมเคิลพูดหลายสิ่งหลายอย่างกับผม แต่การมาของผู้คุมสอบก็ทำให้เขาไม่ได้พูดอะไรและกลับไปนั่งที่

และมันก็ดูเหมือนว่าเขากำลังพูดกับผมด้วยสายตาที่จ้องราวกับจะฆ่าฟัน

เห็นไมเคิลเป็นแบบนี้ ผมก็ยักไหล่กลับไปให้

ใจเย็นเพื่อนยาก

เป็นแบบนี้จะมีเลเซอร์ออกมาจากตาเอานะ

ใในตอนนี้ เจสันที่นั่งติดกับผมชี้ไปที่ทางเข้าพื้นที่สอบ

“เฮ้รูน ดูนั่นสิ!”

“หืม?”

“ถึงชั้นจะเห็นมาหลายรอบแล้วก็เถอะ แต่มันก็เท่ทุกครั้งที่ได้เห็นเลย”

ตรงที่เจสันกำลังชี้นั้น เหล่าผู้คุมสอบของโรงเรียนกำลังเดินวนรอบรูปปั้นใหญ่

มันเป็นรูปปั้นยักษ์สีเงิน

แม้ว่าด้านนอกจะสร้างจากแพลตตินัมแข็งแรง ด้านในนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่กำลังหายใจอยู่

นั่นจะต้องเป็น

“...คิงแกรม”

โอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม

มันคือสมบัติที่เป็นตัวแทนของโรงเรียน เป็นอาติแฟกท์เกรดหายาก สิ่งที่ยากจะหาได้แม้จะค้นจนทั่วทวีป

‘โอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม’

มันมีชีวิตมาหลายพันปีแล้ว

และมันก็ติดอยู่ในรูปปั้นมาหลายร้อยปีก่อนที่จะกลายเป็นอาติแฟกต์

โอเกอร์โบราณ

โอเกอร์ที่ใช้เวลาเกิน 500 ปีในฐานะอาติแฟกต์ของโรงเรียนเวทมนตร์อิกนิท

ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต

และวันนี้ มันคือผู้คุมสอบที่จะวัดคะแนนของนักเรียนทุกคนที่นี่

ทันทีที่มาถึง คิงแกรมก็พูดด้วยคำที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม

[กลิ่นเหม็นเน่าของพวกอ่อนแอแปดเปื้อนอากาศตรงนี้ กลิ่นเหม็นเสียจนคิดว่าหัวจะระเบิด]

การสอบครั้งที่สองเริ่มแล้ว

การสอบนั้นเรียบง่าย

นั่นก็คืออัดเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ร่ายได้ใส่คิงแกรม

“โซ่สายฟ้า!”

เหล่านักเรียนต่างปล่อยเวทย์ของตัวเองใส่คิงแกรม

[ได้แค่นี้เหรอ?]

“เอ๋?”

[ก็แค่จั๊กจี้นิดหน่อย คิดจะทำให้ร่างนี้บุบด้วยการโจมตีแบบนั้นรึไง?]

และคิงแกรมก็ประเมินความสามารถของพวกเขา

นี่คือการสอบ

แต่มาตรฐานของคิงแกรมนั้นสูงเกินไป

[อ่อนแอเกินไปแล้ว ให้ 10 คะแนนยังไม่ได้เลย]

[ไปให้พ้น เจ้าจอมเวทย์ 1 คะแนน ไม่สิ ให้ 1 คะแนนยังเป็นการดูถูก 1 คะแนนเลย ยอมแพ้เรื่องเวทมนตร์ไปดีกว่าไหม?]

เขาไม่สะทกสะท้านกับเวทมนตร์ทั่วไป

[ติดอยู่ในก้อนหินในโรงเรียนนี้มา 500 ปี คิดว่าจะจำนักเรียนทุกคนที่มาได้รึไง? แต่ข้าจำเจ้าได้แน่นอน เจ้ามันน่าประทับใจอยู่]

“จะ…จริงเหรอ?”

[ใช่ เจ้ามันขยะไร้ค่าที่สุดเลย]

แม้ว่าเวทมนตร์ของเขาจะค่อนข้างดี แต่ทุกอย่างที่ออกมาจากปากคิงแกรมนั้นก็มีแต่คำดูถูก

มันไม่ได้มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย

แต่เป็นแค่มาตรฐานของคิงแกรมที่สูงเกินไป

500 ปี

ในเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ 500 ปีของโรงเรียน ว่ากันว่านักเรียนเกือบทุกคนในโรงเรียนนั้นเป็นเครื่องรองรับคำถากถางของคิงแกรม

เพราะจอมเวทย์ที่เลี่ยงคำดูถูกได้นั้นมีแค่หนึ่งในพัน

แต่ที่น่าสนุกก็คือ คนที่คิงแกรมยอมรับนั้นจะได้เป็นมหาจอมเววทย์ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นักเรียนทุกคนที่เข้าสอบนั้นจะกังวลและมีความหวัง

“ครั้งนี้คิงแกรมจะต้องยอมรับชั้นแน่!”

“ไปกันเลย!”

การได้ยินเพียแค่คำชมเล็กน้อยจากคิงแกรมก็หมายความว่าถูกลิขิตให้เป็นจอมเวทย์ที่เหนือกว่าที่ตัวเองคิดไว้แล้ว

ในตอนนี้ เจสันที่นั่งถัดจากผมและกำลังดูการสอบได้หันมาพูด

“รูน นี่เป็นการสอบครั้งแรกของนายใช่ไหม?”

“หา? ก็ใช่น่ะสิ”

“ไม่ต้องกังวลไปนะ แค่ใช้เวทย์ที่มั่นใจที่สุดออกไปก็พอ ฮู้ววว…ทำไมชั้นตัวสั่นขนาดนี้เนี่ย”

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น เจสันก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหยุดขาที่กำลังสั่น

ดูเหมือนว่านายจะกังวลยิ่งกว่าชั้นอีกนะ

“ไอ้โอเกอร์เวรนั่น มันขึ้นชื่อเรื่องขี้เหนียวคะแนน ไม่ต้องสนใจเรื่องคะแนนมากหรอก แค่ 20 คะแนนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว”

เจสันที่พูดว่า 20 คะแนนคือคะแนนที่ยอดเยี่ยม

[เวทมนตร์เจ้ามันช่างจืดชืดเสียนี่กระไร เอาไปผสมน้ำมาเรอะ?]

“หา? ว่าไงนะ? ผสมน้ำงั้นเหรอ? ไอ้เวรนี่! นี่มันมานา 100% เลยนะโว้ย! ไอ้บ้า!”

[เจ้าเอาไป 3 คะแนนก็พอ ออกไปให้พ้น]

“อ๊ากก!”

เขาได้ 3 คะแนน ส่วนเวทย์ของเขาก็ถูกเหยียดว่าผสมน้ำมา

“ไอ้โอเกอร์นั่นเป็นกระสอบทรายมาตลอดชีวิต เป็นใครกันถึงมาพูดแบบนี้กับเวทมนตร์ของชั้น!”

“นายเป็นคนที่บอกว่าเขาขี้เหนียวคะแนนเองนะ ไม่ต้องคิดมากซี่”

“ไอ้เวรนั่นบอกว่าเวทย์ชั้นมันผสม…! เฮ้ย! ไอ้โอเกอร์! ถ้าเวทมนตร์ผสมน้ำมันจะไม่ทำงานนะ!”

เจสันบ่นคิงแกรมต่อไป แต่เขาก็ถูกผู้ช่วยคุมการสอบให้หยุด

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน นี่ก็คือระดับของเจสันในตอนนี้

3 คะแนน

นี่แสดงให้เห็นว่าความแม่นยำและความซื่อตรงของการประเมินจากคิงแกรมนั้นเป็นอย่างไร

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีแต่ผู้ช่วยคุมสอบที่ใช้งานคิงแกรม ส่วนอาจารย์ที่เหลือนั้นก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องเล็กน้อย

เขามีสติปัญญาที่จะมองทะลุผ่านพรสวรรค์ของจอมเวทย์ได้ดีกว่าใคร

คิงแกรมพูดด้วยเสียงดูถูกและบ่งบอกถึงความผิดหวังของเขา

[หึหึ พวกเจ้าไม่มีใครดีเลยซักคน โฟรเลียน อิกนิทที่จับข้ามาอยู่ที่นี่แข็งแกร่งอย่างมากแม้จะเป็นแค่มนุษย์ต้อยต่ำ พวกเจ้ามันก็แค่แมลงวันถ้าเทียบกับเจ้านั่น แค่นิ้วก้อยของข้าก็ฆ่าพวกเจ้าทุกคนได้แล้ว]

ไม่มีใครโต้แย้งคำพูดนี้

เพราะว่ามันคือความจริง

มาตรฐานของคิงแกรมนั้นคือมาตรฐานของจริงของจอมเวทย์

“อ๊า…ชั้นทำได้ไม่ดีอีกแล้วเหรอ?”

“คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 10 คะแนนใช่ไหม?”

“ต่อให้เราตก เราก็ตกด้วยกัน…หรือแบบนี้มันดีกว่า?”

“คงแบบนั้นล่ะ ถ้าไม่มีใครที่เพิ่มค่าเฉลี่ยออกไปมาก ๆ เราจะไม่เป็นไร”

และคะแนนเฉลี่ยในตอนนี้คือ 9 คะแนนจาก 100 คะแนนเต็ม

นักเรียนแต่ละคนได้แต่ภาวนาว่าไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ทุกคนจะต้องได้คะแนนแย่ด้วย

ความจริงอันโหดร้ายนี้ไม่ได้ต่างกันกับไมเคิล เกลฮิลนี่นับว่าเป็นนักเรียนที่เด่นที่สุดในชั้นปีที่กำลังจะจบการศึกษา

[จบแล้วใช่ไหม?]

แม้แต่ไมเคิลจะใช้เวทย์ประจำตัวที่แข็งแกร่งและผสานกับธาตุที่ตรงข้ามกันสองธาตุนั่นคือไฟกับน้ำให้เป็นหนึ่งเดียวอัดใส่คิงแกรม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือความเย็นชาของโอเกอร์

[นี่น่ะหรือเกลฮิล…น่าผิดหวังจริง ๆ]

“ผะ…ผิดหวัง?”

[ข้าโดนเวทย์นับไม่ถ้วนจากตระกูลเกลฮิลมาแล้ว คิดถึงจอช เกลฮิลเลยนะ]

จอช เกลฮิล

หัวหน้าตระกูลเกลฮิลในตอนนี้ และเป็นสมาชิกหลักของหอคอยเวทมนตร์

ผู้เป็นพ่อของไมเคิล เกลฮิล

ทันทีที่ได้ยินชื่อพ่อ เขาก็ตบอกด้วยความภูมิใจ

“เอ๋ ก็จำได้ดีนี่ พ่อของชั้นคือเคาท์จอช เกลฮิล”

[เจ้าเป็นลูกจอช เกลฮิลรึ?]

“ใช่แล้ว! ชั้นเป็นลูกของจอช เกลฮิลผู้น่าภาคภูมิใจ! ลูกคนที่สาม ไมเคิล เกลฮิล…”

[น่าภูมิใจ? จอช เกลฮิลน่ะนะ? มันก็แค่เด็กที่ขอร้องข้าให้ได้คะแนนเยอะ ๆ]

“...ว่าไงนะ?”

[“คะแนนผมต่ำเกินไป” แง แง “แบบนี้ก็เป็นที่หนึ่งไม่ได้” แง แง “ผมต้องได้คะแนนดีเพื่อที่จะเป็นหัวหน้าตระกูล” แง แง ไอ้โง่เอ้ย]

เมื่อเจอเรื่องจริงที่คิงแกรมพูดออกมา ผู้คนก็กลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ และความมั่นใจของไมเคิลเองก็แตกสลายเหมือนกับกระดาษ

นี่อาจจะเป็นความลับน่าตกใจของพ่อที่ไม่กล้าบอกใคร แม้ว่าจะตายไปแล้วก็คงไม่บอก

“นี่แก…แกโกหก…”

ไมเคิลพยายามปฏิเสธความจริง แต่ก็น่าเศร้าที่มันอาจจะเป็นเรื่องจริง

เพราะอาติแฟกต์นั้นไม่โกหก

[ไมเคิล เกลฮิล พรสวรรค์ของเจ้าไม่ได้ใกล้เคียงแม้แต่เจ้าโง่จอช เกลฮิลด้วยซ้ำ เจ้าได้ 27 คะแนน นี่ข้าเห็นแก่พ่อเจ้าเลยนะ]

27 คะแนน

แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันก็ยังเป็นคะแนนสูงสุดอยู่ดี

แต่ไมเคิลไม่ได้ดีใจ

“มะ…ไม่! ไม่จริง! ทั้งหมดมันเรื่องโกหก! พ่อชั้นเป็นมหาจอมเวทย์ที่เก่งกว่าใคร!”

เขาตะโกนออกมาจากใจว่าเรื่องทั้งหมดมันโกหกและเดินออกมาจากสถานที่สอบด้วยหน้าแดงก่ำราวกับจะวิ่งหนีไป

อนิจจา ดูเหมือนว่าตระกูลจะเป็นจุดอ่อนของเขา

ส่วนผมเองนั้นก็หัวเราะโดยไม่สนใจอะไร

“ต่อไป! รูน อาเดล!”

ผู้คุมสอบเรียกผม

ในที่สุดก็ถึงเวลาของผมแล้ว

ผมสะบัดมือและพูดกับเจสัน

“เดี๋ยวชั้นกลับมา”

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด