ตอนที่แล้วตอนที่ 7
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9

ตอนที่ 8


โรงเรียนเวทมนตร์อิกนิท

โรงเรียนชื่อดังของฟรอเลียน อิกนิท อัครจอมเวทย์ชั้น 8 ผู้ก่อตั้งโรงเรียนมาเมื่อสร้างคนรุ่นหลังที่จะเป็นผู้สืบทอดจอมเวทย์

แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนชื่อดังที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในทวีปมากว่า 500 ปี แต่ถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์โบราณแล้ว มันยังขาดอะไรบางอย่างอยู่

เหตุผลนั้นก็ไม่ยาก

.

.

.

แม้ว่าอาณาจักรเรเดียนจะเป็นชาติเล็ก ๆ แต่มันก็ไม่ได้มั่นคงจากภายใน กลุ่มราชวงศ์ที่นำโดยเจ้าชายพระองค์แรกและกลุ่มใหม่ที่นำโดยเจ้าชายพระองค์ที่สองก็เกิดความขัดแย้งกัน

จอมเวทย์ส่วนมากในอาณาจักรจึงถูกนำตัวไปโดยคนเหล่านี้เพื่อต่อสู้ชิงอำนาจ

สถานการณ์นั้นเลวร้ายในหลายด้าน

แม้กระนั้น เหตุผลที่โรงเรียนอิกนิทยังคงอยู่ได้ก็เพราะคนคนเดียว

นั่นคือทายาทโดยตรงของอัครจอมเวทย์ชั้น 8 โฟรเลียนและเป็นผู้อำนวยการคนปัจจุบันของโรงเรียน

‘ไทเรียน อิกนิท’

อัครจอมเวทย์ชั้น 7 สิ่งที่หาได้ยากในทวีป และเป็นความภูมิใจสุดท้ายของอาณาจักรเรเดียน

เป็นเพราะเรื่องนี้ เขาจึงได้ข้อเสนอจำนวนมากจากทั้งสองฝ่ายที่มีความขัดแย้งกัน

ไทเรียนนั้นมีพลังมากพอที่จะเลือกข้าง และถ้าเขาเลือกข้างใดแล้ว ข้างนั้นก็จะกลายเป็นราชาคนถัดไปอย่างแน่นอน

เขาเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่ง

แต่ถึงอย่างนั้นไทเรียนก็ปฏิเสธทุกข้อเสนอ

ไม่สิ

เขาทำถึงขั้นตำหนิเจ้าชายทั้งสองคน

“ฝ่าบาท ถ้าจะก่อเรื่องก็ไปหาเรื่องกันเองเถอะ”

“ทะ…ไทเรียน…”

“จอมเวทย์ไม่ใช่สุนัขรับใช้อำนาจ เข้าใจไหม?”

“กล้าดียังไงถึงพูดแบบนั้น…”

เขานั้นมีคุณธรรม

มากพอที่จะถูกเรียกว่าความภูมิใจสุดท้ายของอาณาจักร

เขาค้นคว้าและเรียนรู้เรื่องมานามากกว่าใคร

เขาโศกเศร้ากับสถานะปัจจุบันของเหล่าจอมเวทย์ที่ควรจะค้นคว้าเพื่อการเติบโตและความรุ่งเรื่องของเวทมนตร์แต่กลับตามืดบอดเพราะรสชาติของความมั่งคั่งและอำนาจ

“ไม่มีคนดี ๆ เหลืออยู่เลยรึ”

เช่นเดียวกับกรณีของโรงเรียน

บางทีอาจเป็นเพราะนักเรียนทุกคนก็ล้วนเป็นลูกหลานของขุนนางสกปรก มันจึงไม่มีแบบอย่าง ‘ที่ดี’ ในระหว่างนักเรียนด้วยกันเลย

จากมุมมองของเขา เด็กทุกคนจะกลายเป็นขยะที่จะกลายเป็นทาสของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า

‘ถ้าหากเด็กคนนั้นไม่ต้องสาปล่ะก็…’

คนที่ไทเรียนกำลังคิดถึง นั่นคือรูน

รูน อาเดล

ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่มากกว่าตัวเขาที่มีสายเลือดอัครจอมเวทย์

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องสาปที่อันตรายพอ ๆ กับพรสวรรค์ของเขา

‘พระเจ้าช่างไร้ปรานี…’

เขาหยุดครุ่นคิดและส่ายหน้า

แม้ว่าเขาจะมีนิสัยดีและพยายามมากกว่าใครอื่น ชีวิตของรูนในฐานะของจอมเวทย์ก็จบลงแล้ว

สำหรับไทเรียน อนาคตของโรงเรียนนั้นสำคัญยิ่งกว่าลูกศิษย์คนเดียวที่มีเรื่องน่าเศร้า

‘ต้องหานักเรียนที่ดีให้เจอให้ได้’

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องทำการ ‘สอบ’ เพื่อที่จะแบ่งแยกนักเรียนออกจากกัน

การ ‘สอบ’ นั้นจะเป็นการค้นหาจอมเวทย์ที่มีคุณสมบัติพอที่จะดูแลให้กลายเป็นจอมเวทย์ที่ยอดเยี่ยมได้

การทดสอบ

เครื่องมือพิเศษที่นักเรียนแต่ละคนจะได้ใช้เพื่อวัดคุณค่าของตัวเอง

ดังนั้นผลของการสอบจึงเปลี่ยนแปลงได้หลายอย่าง

บางคนก็ยิ้มได้อย่างสดใสและฝันถึงอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้

บางคนก็จะได้ลิ้มรสของความพ่ายแพ้และจินตนาการถึงโลกที่สิ้นหวัง

ผมคือคนที่มักจะได้เห็นทั้งสวรรค์และนรกตลอดมา

ทุกการสอบข้อเขียนที่ผมสอบ ผมจะได้คะแนนเต็มทุกครั้ง

แต่ทุกการสอบภาคปฏิบัติ ผมได้คะแนนมากพอที่จะไม่สอบตกออกจากโรงเรียนเท่านั้น

เช่นเดียวกับการสอบครั้งนี้

ผมได้คะแนนเต็มในการสอบข้อเขียนสำหรับวันแรก

“รูน นายทำข้อเขียนพังยับเยินอีกแล้วนะ”

เจสันเพื่อนร่วมหอพักของผมบ่นพึมพำด้วยเสียงเบื่อหน่าย

เป็นน้ำเสียงที่บอกว่า ‘นายได้เต็มอย่างที่คิดเลย’

สำหรับพวกเขา การที่ผมสอบข้อเขียนได้เต็มนั้นถือเป็นเรื่องปกติ

“6 ปีสำหรับคะแนนเต็มข้อเขียนทุกครั้ง ครั้งนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน…”

ใช่แล้ว

ไม่มีอะไรเปลี่ยน

ตัวผมเองก็ไม่แปลกใจอีกแล้วเพราะผมก็รักษาคะแนนข้อเขียนเต็มมาได้ตลอด 6 ปี

มันเป็นเช่นนั้นเอง

“อืม ผลสอบภาคปฏิบัติก็คงจะไม่เปลี่ยนเหมือนกันนะ”

ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ผมนั้นจะสอบภาคปฏิบัติตกเสมอ

“โทษทีนะ ล้อเล่นน่ะ”

เจสัน ไอ้เวรเอ้ย

ผมหัวเราะเมื่อถูกมีดเสียบมาที่หัวใจ

แต่เขาก็ไม่ได้พูดผิดล่ะนะ

ชื่อของผมนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังที่แม้กระทั่งนักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้าโรงเรียนก็รู้จัก

ไม่ใช่ในฐานะจอมเวทย์อัจฉริยะที่เป็นที่หวั่นเกรง แต่เป็นฐานะไอ้งั่งที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ผมยิ้มให้เจสัน

“ใครจะไปรู้ บางนี้ครั้งนี้ชั้นอาจจะได้คะแนนไม่เหมือนเดิมก็ได้”

“หืม? นายหมายความว่าไงน่ะ?”

ตอนที่เจสันถาม ผมมองผ่านวิชาการสอบภาคปฏิบัติเงียบ ๆ

ใช่แล้ว

ครั้งนี้มันจะต้องไม่เหมือนเดิม

หลังจากที่จบช่วงการสอบข้อเขียน พวกเราก็เร่าร้อนในการเตรียมตัวสอบภาคปฏิบัติ

การสอบภาคปฏิบัตินั้นจะเกิดขึ้นเป็นเวลาสองสัปดาห์ จากรายการสอบแล้ว มีการสอบที่ค่อนข้างอันตรายอยู่ด้วย

ถ้าไม่นับการสอบที่วัดเกรดเป็นส่วนน้อย การสอบหลักนั้นจะมี 4 ครั้ง…

อย่างแรกก็คือ

ดิน น้ำ ลม ไฟ

ใช้เวทย์ที่มั่นใจที่สุดในระหว่าง 4 ธาตุหลัก จะต้องร่ายเวทย์ประเภททรงกลม 10 ครั้งพร้อมกันและโจมตีเป้าหมายที่ต่างกันพร้อมกัน

มันคือการทดสอบที่ต้องใช้สมาธิสูงมากและต้องมีความสามารถในการปลุกมานาที่สมบูรณ์แบบ

แน่นอนว่าในกรณีของผม ผมจะตกตั้งแต่ที่ยังไม่ได้ลองสอบ

ส่วนการสอบที่สองก็คือ

ใช้อาติแฟกต์ที่ชื่อว่า ‘โอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม’ นักเรียนจะต้องร่ายเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองใส่มัน

มันจะวัดระดับมานาที่ปล่อยออกไป ดังนั้นจึงเป็นการสอบวัดระดับพลังทำลาย

ความยากและคะแนนเต็มของการสอบครั้งถัดไปจะถูกกำหนดไว้ตามผลของการสอบครั้งนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นการสอบที่สำคัญมาก

แน่นอนว่าผมสอบตกอยู่เสมอ

การสอบที่สาม

นักเรียนจะต้องไปที่ดินแดนยินเจนภายใต้การดูแลของคณะอาจารย์และอัศวินที่คอยสนับสนุนเพื่อต่อสู้กับวิญญาณร้ายและสัตว์ประหลาด

ระดับของสัตว์ประหลาดจะขึ้นอยู่กับปีและระดับของนักเรียน คะแนนจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักเรียนทำได้

แน่นอนว่าผมไม่เคยแม้แต่ย่างเท้าเข้าไปในพื้นที่สอบ

และสุดท้าย

มันจะเกิดขึ้นในม่านมานาพิเศษที่จะลดพลังทำลายของเวทมนตร์จากจอมเวทย์ไป 99%

จะเป็นการประลองระหว่างนักเรียนและคะแนนจะขึ้นอยู่กับผลที่ทำได้

แน่นอนว่าคะแนนของผม…คือคะแนนบ๊วยสุด

นี่คือการสอบ 4 วิชาหลัก

ถ้าไม่นับนักเรียนส่วนน้อยที่อยากจะเป็นฮีลเลอร์ จอมเวทย์ส่วนมากนั้นมักจะต้องการคะแนนที่ยอดเยี่ยมในการสอบเหล่านี้

แน่นอนว่ามันเป็นแบบนี้ทุกปี แต่ปีนี้คือปีที่สำคัญที่สุด

ถ้าไม่นับการสอบจบการศึกษา นี่คือการสอบครั้งสุดท้ายของพวกเราในโรงเรียน

บางทีอาจจะเพราะเหตุผลนี้ มันจึงมีบรรยากาศที่ตื่นเต้นในบรรดาเหล่านักเรียนปี 6

“คิดว่าใครจะได้ที่ 1 รอบนี้เหรอ?”

“นี่เป็นการสอบครั้งสุดท้ายของโรงเรียน มันสำคัญมาก! การสอบนี้จะตัดสินว่าชั้นจะถูกเชิญไปที่หอคอยเวทมนตร์ไหม…”

“ไม่มีทางที่นายจะได้ไปอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

“หุบปาก! แกก็เหมือนชั้นนั่นแหละ!”

แม้แต่ในภาวะที่น่าตื่นเต้นแบบนี้ ที่มุมหนึ่งของหัวใจทุกคน พวกเขาก็ปรารถนาที่จะได้เป็นตัวละครหลักของการสอบเหล่านี้

ทุกคนเป็นแบบนั้น

รวมถึงตัวผมด้วย

เพราะผมเองนั้นสอบตกภาคปฏิบัติมาตลอด 6 ปี ดังนั้นครั้งนี้มันต้องต่างออกไป

ไม่มีใครที่ต้องการคะแนนสอบครั้งนี้มากไปกว่าผมอีกแล้ว

แต่ผมก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการคาดเดาว่าจะได้เป็นที่ 1

ชื่อของผมไม่ได้อยู่ในสมองของใครเลยด้วยซ้ำ

“รอบนี้ใครจะได้ที่ 1 กันนะ?”

“อาจจะเป็นไมเคิลก็ได้”

“ก็จริง ผลสอบภาคปฏิบัติของไมเคิลมันบ้าไปแล้ว”

“เขาอาจจะเก่งที่สุดในรุ่นเราก็ได้”

ไมเคิล เกลฮิล

บุตรชายคนที่สามของตระกูลเกลฮิล ตระกูลจอมเวทย์ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในอาณาจักร และนับว่าเป็นตระกูลจอมเวทย์ตระกูลหลักด้วย

จอมเวทย์ในสภาส่วนใหญ่นั้นไม่มาจากตระกูลเกลฮิลก็จะมาจากตระกูลที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา

ด้วยตัวเขาเป็นลูกจากตระกูลที่มีเกียรติยศ ดังนั้นความอวดดีหัวรั้นของเขาจึงเป็นที่แน่นอน

“ใครมันพูดถึงชั้นกัน?”

“อ๊ะ…ไมเคิล…”

“แกพูดชื่อชั้นเรอะ? ทำไมต้องให้ชั้นมาใช้เวลากับ ‘เพื่อน’ ที่ชั้นจะไม่ได้เจออีกหลังจากเรียนจบกัน โรงเรียนต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างแล้ว”

“ขะ…ขอโทษนะ…”

“ชั้นอดทนได้ดีมาตั้ง 6 ปีใช่ไหม?”

ความอวดดีของเขาได้ทำลายความคิดของทุกคนที่เป็นนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอำนาจตระกูลหรือการเป็นรุ่นเดียวกับเขา

แต่ก็โชคร้ายสำหรับเรา เพราะเขามีพรสวรรค์ที่จะมารับรองความอวดดีในตัวด้วย

คงไม่พูดเกินไปหากจะบอกว่าเขาเป็นตัวแทนของโรงเรียนเรา

“เฮ่อ…การสอบมันน่าเบื่อชะมัด ให้ชั้นเรียนจบ ๆ ไปได้แล้ว”

บุตรชายคนที่สามแห่งตระกูลเคาท์ที่ทรงอำนาจ

คะแนนอันโดดเด่น

พรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม

แค่ปราดตามองก็ดูเหมือนเขาจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เขาก็มีจุดอ่อนอยู่ด้วย

จุดอ่อนนั้นก็คือ…

“...รูน?”

ผม

“โย่ มาทำอะไรตรงนี้น่ะ?”

เพราะผมรักษาตำแหน่งผู้ที่สอบข้อเขียนอันดับหนึ่งได้อย่างเหนียวแน่น ไมเคิลจึงถูกผลักลงไปเป็นที่สองอยู่เสมอ

เขาจึงอาฆาตกับผมมาโดยตลอด

ตั้งแต่เข้าเรียนมาจนถึงตอนนี้

ไมเคิลหรี่ตาที่เหมือนกับงูและถามผม

“นี่นาย…ไม่มีทาง! คิดจะสอบปฏิบัติงั้นเหรอ?”

เขายั่วผมขณะที่สะบัดผมบลอนด์สว่างของเขาด้วยน้ำเสียงกวนบาทา

“ด้วยร่างกายกับภาวะแบบนั้นน่ะนะ?”

เจ้าสมุนใกล้ ๆ เริ่มหัวเราะเสียงดัง

“มีคนพิการคิดจะเข้าสอบด้วยว่ะ”

“ชั้นรู้นะ เจ้านั่นอาจจะอยากทำตัวเองขายหน้าก็ได้ ฮ่าฮ่า!”

พวกลูกสมุนของเขาสานต่อทุกสิ่งที่ไมเคิลทำ

มันอาจจะเป็นหน้าที่ของไอ้พวกนั้นก็ได้

หน้าที่ที่ต้องหัวเราะกับการเล่นตลกของไมเคิลน่ะ

เพื่อที่พวกมันจะได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเกลฮิลหลังเรียนจบและเพิ่มสายสัมพันธ์ให้ดีขึ้น

เบน พอลท์ที่ทำร้ายผมก็เป็นคนที่คล้ายกับลูกสมุนของไมเคิล

ผมชินแล้ว

พอผมคุ้นเคยกับรูปแบบที่ต้องเจอ ผมก็แค่ยักไหล่แบบไม่สนใจอะไร

“ชั้นมาสอบน่ะ”

พอพูดจบ ไมเคิลก็ตากระตุกทันที

“ว่าไงนะ?”

“ชั้นมาสอบน่ะ”

“แกจะสอบเรอะ?”

เรื่องที่ผมมาที่นี่เพื่อสอบคงทำให้พวกเขาตกใจสักหน่อย

ไมเคิลเองก็ดูตกใจเล็ก ๆ แต่ก็คืนสีหน้าตามปกติมาได้

“อ๊ะ เพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่แกจะได้ดิ้นรนซักหน่อย…อะไรแบบนั้นสินะ?”

“จะว่างั้นก็ได้”

“อืม ก็คงเป็นแบบนั้นล่ะนะ ไม่มีกฎห้ามคนพิการสอบอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ทำเไปเถอะ อย่างแกน่ะทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

หลังจากหัวเราะเยาะแล้วเขาก็แตะไหล่ผม

“แต่ว่านะรูน ชั้นจะแนะนำอะไรให้”

“คงแย่แน่ถ้าจะเห็นแกได้ดิ้นรนขนาดนั้นเพื่อล้มลงในตอนสุดท้ายน่ะ ถ้าไม่อยากขายหน้าก็เลิ…”

“ชั้นไม่ต้องการ”

“...อะไรนะ?”

“ชั้นไม่อยากได้คะแนะนำของนาย”

เมื่อเห็นผมยิ้ม สีหน้าไมเคิลก็เยือกเย็นขึ้น

เช่นเดียวกับผู้ติดตามของเขา ทั้งห้องเริ่มเย็นยะเยือก

กลับกัน หัวใจของผมกลับร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

“โห…”

ไมเคิลหมุนคอทำเสียงกร๊อบแกร๊บก่อนจะมองด้วยหน้าที่คุกคามที่สุดที่เขาจะทำได้

และพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ให้ความประทับใจว่าเขาค่อนข้างอดทน

“รูน ชั้นจะเตือนแกนะ อย่าพูดขัดตอนที่ชั้นกำลังพูดอยู่ แค่หุบปากแล้วฟังให้จบ เข้าใจไหม?”

อ๊ะ ไม่อยากจะรั้งมือเลยนะ

ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้?

บางทีนี่อาจจะเป็นภาวะผิดปกติเหมือนกัน

“ไมเคิล”

“อะไร?”

ยังไงผมก็ต้องพูดอะไรออกมาอยู่แล้ว

“ห่วงตัวเองเถอะ”

ไมเคิลหน้าแดงด้วยความโกรธ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด