ตอนที่แล้วตอนที่ 1
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3

ตอนที่ 2


‘ปาฏิหาริย์’ ที่ผมได้เห็นเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่เริ่มจากความผิดพลาดเล็ก ๆ

ผมเกือบตาย

เมื่อไม่กี่วันก่อน

“รูน!”

เช่นเดียวกับตอนนี้ ชื่อผมมักจะสื่อถึง ‘ความเลวร้ายที่สุด’

“รูน ตานายแล้ว”

“อ๊ะ โอเค”

“นายต้องร่ายลูกไฟใส่หุ่นไล่กานั่น”

ลูกไฟ

เวทมนตร์ง่าย ๆ ที่ไม่ว่านักเรียนคนไหนในโรงเรียนก็ร่ายได้

ต่อให้ยังไม่เชี่ยวชาญเวทย์ชั้น 2 ถ้าหากก่อมานาและรู้สึกถึงธาตุไฟได้ จะเป็นใครก็ร่ายได้

รวมถึงผมด้วย

ทันทีที่ผมยื่นฝ่ามือออกไปและใช้มานา…

“ว้าว!”

เปลวเพลิงลุกออกจากมือ

มันเคยเป็นสัญลักษณ์ของพรสวรรค์ของผม

ลูกไฟที่ใหญ่กว่าและแข็งแกร่งกว่าลูกไฟของใครลอยขึ้นจากฝ่ามือ

ในทันทีทันใดนั้น มันน่าประทับใจมากพอที่จะทำให้คนอื่นตกใจ

แต่มันก็ได้เพียงเท่านั้น

“อา…”

ถ้าผมลองปล่อยลูกไฟนี้ออกไป ปัญหาที่ติดตัวมาก็จะแสดงออกให้เห็น

มันเวียนหัว

สิ่งกีดขวางใหม่มากมายเกิดขึ้นในตอนที่ผมพยายามจะปล่อยลูกไฟออกไป

หน้าผากเริ่มมีเหงื่อไหลและกระในกระเพาะก็พยายามจะปีนขึ้นมาจนถึงคอและความวิงเวียนที่เข้มข้นก็ช่วงชิงสติของเขาไป

“รูน!”

“...ชั้นทำไม่ได้”

เป็นเวลา 6 ปีมาแล้วที่เวทมนตร์ของผมกลายเป็นปัญหา

“ขว้างมันออกไปสิ”

“มัน…มันไม่หลุดไปจากมือ”

เป็นเช่นนี้เสมอมา

ไฮเดล ครูสอนเวทย์ต่อสู้มองผมและลูกไฟที่ติดอยู่กับมือด้วยสายตาเย็นชา

“รูน แกเข้าโรงเรียนมา 6 ปีแล้วนะ แกเป็นส่วนหนึ่งของเด็กที่กำลังจะเรียนจบ”

“แต่ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ ไม่มีทางที่แกจะสอบจบการศึกษาผ่านหรอก แกต้องตกแน่ ๆ”

ใช่แล้ว

ต้องสอบตกแน่นอน

การทดสอบสำหรับวิชานี้ ผู้เรียนควรจะสร้างลูกไฟมาได้ 10 ลูกและปล่อยใส่หุ่นไล่กา 10 ตัวพร้อมกัน

แต่เมื่อขว้างลูกไฟลูกเดียวยังไม่ได้ ความล้มเหลวก็การันตีแล้ว

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็ไม่มีประโยชน์ถ้าจะคิดถึงการไปที่หอคอยเวทย์และเป็นจอมเวทย์ได้

ผมจะเรียนจบไปไม่ได้

หมายความว่าผมจะไม่ได้กลายเป็นจอมเวทย์

บัดซบเอ้ย

แต่ผมก็ไม่พูดอะไรออกมา

“ผมจะฝึกให้มากกว่านี้”

ผมได้แค่พูดเรื่องการฝึกฝน

ผมรู้

ผมรู้ดีกว่าใคร

รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ได้โดยการฝึกฝน

แต่ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดออกไปได้นอกจากนี้

ถ้าวันหนึ่งผมพูดไม่ได้แม้เพียงแค่นี้แล้ว เลือดทุกหยด เหงื่อทุกหยด และน้ำตาทุกหยดที่ผ่านมาตลอด 6 ปีจะกลายเป็นความว่างเปล่า

“อืม”

อาจารย์ไฮเดลขยับหัวเบา ๆ บอกให้ผมไปได้

“ถ้างั้น…ขอตัวก่อนครับ”

ผมโค้งศีรษะก่อนจะหันกลับ

สายตาไม่พอใจมากมายหลั่งไหลเข้ามาบนตัวผม

ผู้คนเหล่านั้นบอกผมด้วยสายตา

‘เจ้าโง่ประจำโรงเรียน’

‘คนที่เป็นภาวะปลุกเวทย์คิดจะเป็นจอมเวทย์มันเป็นเรื่องโง่เง่า’

‘หายไปซักที’

ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเป็นคนบาปกัน?

ผมทำอะไรผิดกัน?

ผมทำร้ายอะไรพวกเขากัน?

ไม่เลย

ถ้าจะให้คิดอะไรออกมา มันก็คงเป็นเพราะว่าผมเป็นสาเหตุของความรู้สึกทางลบของทุกคน

นั่นคือ…

‘ริษยา’

เพราะว่าผมเคยถูกเรียกว่า ‘จอมเวทย์อัจฉริยะ’ แม้ว่าจะเป็นคนไม่สำคัญที่มาจากตระกูลขุนนางบ้านนอก

เพราะจุด ๆ หนึ่ง ผมเคยถูกมองว่าเป็นนักเรียนที่ดีที่สุดที่เหนือกว่าเด็กจากตระกูลที่มีเกียรติยศ

แม้ว่าวงแหวนบนหัวจะจางหายไปและผมจะหล่นลงจากฟ้าด้วยปีกที่หัก ทุกคนในโรงเรียนก็ยังคงมองผมเป็นศัตรู

นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้น

ทันทีที่ออกมาพ้นสายตาอาจารย์ไฮเดล บางคนก็หยุดที่จะปิดบังความอาฆาตที่มีอยู่อย่างชัดเจน

ไม่สิ พวกเขาเริ่มยุ่งกับผมอย่างเปิดเผย

“รูน ถึงเวลาเก็บกระเป๋าแล้วไม่ใช่รึไง?”

“รู้ไหมว่าพวกรุ่นน้องเรียกแกว่าอะไร? ‘ไอ้งั่งรูน’ น่ะ มันน่าอายนะที่เราเรียนอยู่ปีเดียวกัน”

ทุกครั้ง ผมก็อดกลั้นความแค้นที่มีต่อพวกเขา

ผมพยายามสุดฝีมือที่จะกดมันเอาไว้

เพราะไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ถูกหาเรื่อง ผมจะเป็นคนที่พ่ายแพ้เสมอ

รู้ไหมว่าทำไม?

“ทำไมแกไม่เก็บข้าวของออกไปซักที จะได้ไม่มาแปดเปื้อนพวกเราที่กำลังจะเรียนจบ กลับไป ‘ดินแดนบ้านนอก’ ของแกซะ ฮ่าฮ่า”

“โอ้ หมายถึงที่ที่ไม่มีแม้กระทั่งในแผนที่น่ะเรอะ?”

“รู้ไหม ชั้นเพิ่งจะเห็นแผนที่ที่มีคำว่า ‘อาเดล’ ก็ตอนที่มาเรียนที่นี่น่ะ?”

ผมเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุด และอ่อนแอที่สุดนอกโรงเรียน

ที่นี่คือสถานที่ที่พวกเขาบ่มเพาะ ‘จอมเวทย์’ ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งอาณาจักร

คนส่วนใหญ่ที่นี่คือลูกของคนที่มีอำนาจของอาณาจักรในตอนนี้

กลับกัน บ้านของผมที่ห่างไกลจากอำนาจ เป็นแค่ดินแดนเล็ก ๆ ที่อยู่ชายขอบของบ้านนอกอีกที

มันไม่ยุติธรรมถ้าจะเปรียบเทียบกันตั้งแต่ต้น

ใช่แล้ว

มันไม่เป็นไรถ้าผมจะอดกลั้นกับคำดูถูกเหยียดหยามที่พวกเขามอบให้

ต่อให้พวกเขาชี้นิ้วและหัวเราะกับเลือดทุกหยด เหงื่อทุกหยด และน้ำตาทุกหยดใน 6 ปีที่ผ่านมา ตลอดมาผมก็อดทนกับมันได้ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นกับตัวผม

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามองข้ามไป

“ชั้นถามพ่อเรื่องหัวหน้าตระกูลอาเดลมาแล้ว แต่เขาก็บอกว่าเป็นแค่ ‘คนสันโดษ’ ที่ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ”

“พวกมันรู้จักเหตุจักผลและมีแต่อัตตาดื้อด้าน ไม่แปลกที่เน่าเหม็นอยู่ในชายขอบอาณาจักรแบบนั้น”

“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้ว น่าจะรู้ที่ต่ำที่สูงซะบ้าง คิดจะมีจอมเวทย์งั้นรึ? น่าขันสิ้นดี”

“ฮ่าฮ่า”

สิ่งที่พวกเขามองข้ามนั้นไม่ใช่เรื่องอำนาจ

พวกเขาบุ่มบ่ามเกินไปสักหน่อย

พวกเขาน่าจะแค่หาเรื่องแค่ ‘ผม’ คนเดียว

.

.

ผมหยุดเดินและหันกลับไป

ผมเดินไปยังคนที่ใกล้ที่สุดที่พูดยั่ว ย่างก้าวของผมเร็วขึ้น

ผมรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในตัวกำลังเคลื่อนไหว

“นายน่าจะรู้นะว่าต้องหยุดตอนไหน”

“...ว่าไงนะ?”

ผมปล่อยหมัดใส่คนที่ล้อเลียนพ่อของผมอย่างไม่ลังเล

หมัดนั้นกระแทกใบหน้าของเขาอย่างจัง

กร๊อบ!

“อ๊าก!”

เขาล้มลงกับพื้นพร้อมกับเสียงกระดูกอ่อนที่แตก เขากุมจมูกเอาไว้

เลือดสีแดงฉานเริ่มไหลออกมาจากหลังมือที่กุมจมูก

“ละ…ละ…เลือด!”

หลังจากตกใจที่ได้เห็นเลือด เขาก็ราวกับกลับมาสู่โลกความเป็นจริงและจ้องมองผมด้วยดวงตาเคียดแค้น

ความชิงชังแผดเผาอยู่ในดวงตานั้น

“ไอ้สารเลว!”

พวกเขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าผมจะกล้าลงมือ

เพราะพวกเขาเป็นคนที่มีฐานะสูงส่ง

เจ้านั่นชื่อเบน พอลท์รึเปล่านะ?

ช่างเถอะ

ต่อให้เป็นลูกวิสเคาท์สักคน มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

ผมก้มลงมองเบน พอลท์และถาม

“พูดอีกทีสิ พ่อชั้นเป็นอะไรนะ?”

รูน อาเดล

ชื่อที่ไม่มีแม้แต่พรสวรรค์แม้แต่น้อยนิดแต่เขามีอัตตาที่ดื้อด้าน

นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่พวกเขาทำลายผมอย่างสิ้นซากไม่ได้

แม้ว่าผมจะไร้พลัง ผมก็ไม่เคยยอมแพ้

“ไอ้…ไอ้เวรเอ้ย! แกรู้ไหมว่าพวกชั้นเป็นใคร?!”

เจ้าอ้วนที่ยืนข้างหลังพวกเขาวิ่งเข้าใส่ผม

ร่างกายขยับอย่างลำบากราวกับว่าไม่เคยขยับไปไหนนอกจากขยับไปกิน

ตรงกันข้ามกับผมที่ฝึกร่างกายอย่างขยันขันแข็งและก้าวข้ามภาวะของตัวเองไป

ผมขยับไหลหลบหมัดทื่อ ๆ อย่างรวดเร็วและอัดใส่ท้องของเจ้าอ้วนอย่างจัง

ผั่วะ! ผั่วะ!

“อึก…โอ๊ย…”

เขาล้มลงคุกเข่าน้ำลายไหล

เจ้าอ้วนนี่เป็นบารอนรึ?

ภาพไม่น่าดูเลยนะ

ช่างเถอะ

ถ้าผมสรใจเรื่องนั้นผมก็คงไม่เริ่มทำแบบนี้

ผมรีบถอนหมัดกลับมาและหันไปหาศัตรูคนถัดไป

เป็นตอนนั้นเองที่…

“ไอ้…ไอ้เวรเอ้ย! กล้าต่อยชั้นเรอะ?”

“นี่แก…”

เบน พอลท์

คนที่จมูกบี้ในตอนนี้ยืนขึ้นมา มือทั้งสองข้างเหนือศีรษะ

มันมีความบ้าคลั่งในดวงตานั้น

มานาสีฟ้าเริ่มก่อตัวรอบมือของเขา

มันคือท่าของการร่ายเวทย์

ผมหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อมองภาพการร่ายและพึมพำ

“สายฟ้ารึ?”

เจ้านั่นบ้าไปแล้วรึไง?

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่การร่ายเวทย์นอกห้องฝึกและสถานที่ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องต้องห้าม

จะต้องมีการอบรบวินัยทันทีที่กฎข้อนี้ถูกฝ่าฝืน

นอกเหนือจากนั้น ถ้าหากเวทย์เล็งไปที่คนแล้วล่ะก็…

มันมีเหตุผลมากพอที่จะถูกไล่ออกจากโรงเรียน

แต่เจ้าหมอนี่ดูเหมือนจะตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนั้นมันไม่สำคัญอีก เขาตะโกนและจับสายฟ้าที่แล่นไปมา

“ไอ้มดปลวกพิการอย่างแกน่ะ…”

“ตายซะะะะะ!!”

ความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนรุกล้ำในร่างกาย

ประสาทสัมผัสเริ่มทำงานเป็นสองเท่าแต่ก็ราวกับว่าผมถูกแช่แข็ง ทั้งมือและเท้าไม่ยอมขยับ

เป็นความรู้สึกที่คุ้มเคย

มันคือความ…กลัว

กลัวที่จะตาย!

แต่ก่อนที่ผมจะได้คุ้นชินกับความกลัว แสงสีฟ้าตรงหน้าก็แล่นเข้าา

…เอ๋?

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

ผมได้ยินเสียงตะโกนของอาจาย์ไฮเดลจากที่ไหนสักแห่ง แต่ร่างกายของผมก็ลอยขึ้นฟ้าแล้ว

ภาพที่ได้เห็นนั้นหมุน 180 องศาในพริบตาเดียว

พรึ่บ!

ตอนที่ผมกระแทกพื้น ผมก็หมดสติไป

.

.

คุณคือดร้าก้าผู้ทำลายล้างโลกที่กลับมาเกิดใหม่

อาติแฟกต์ “ผู้เล่น” ทำงาน

ขีดจำกัดถูกยกเลิกผ่านหน้าต่างสถานะ

.

.

ผมฝัน

ฝันว่ามีคนสวมผ้าคลุมก้มมองลงมาด้วยดวงตาที่สว่างจ้าราวกับมีเปลวไฟแผดเผา

ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเขาลูบหัวของผม ผมก็รู้สึกเบาใจ

ราวกับว่าผู้ชายคนนี้ดูแลผมมานานมากแล้ว

รู้สึกเหมือนเขากำลังถามผม

“ไหวไหม?”

“...อั่ก!”

ผมลืมตาขึ้น

เมื่อลืมตาจากฝัน ผมก็ได้เจอกับเพดานหินอ่อน

ภาพชายคนนั้นหายไป แทนที่ด้วยผู้หญิงผมบลอนด์ที่อายุราว 30 ปี

“ตื่นแล้วเหรอ?”

เธอคือฮีลเลอร์ระดับสูงในโรงเรียนเวทมนตร์อิกนิท

ผมอ้าปากและเค้นเสียงออกมา

“ที่นี่…ที่ไหน?”

“เธออยู่ในห้องพักฟื้นนะ ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว นอนพักผ่อนก่อน อย่าเพิ่งฝืนตัวเองนะ”

ห้องพักฟื้นในโรงเรียน

ผมนอนอยู่บนเตียง มีหินฟื้นฟูที่เหมือนจุดและมีตราฟื้นฟูสลักเอาไว้วางอยู่ถัดจากศีรษะ

ผมขยี้ตา

‘นี่เรา…หมดสติไปงั้นเหรอ?’

เมื่อครู่ก่อน ดูเหมือนว่าผมจะหมดสติไปหลังจากต่อสู้กับเบน พอลท์และโดนเวทมนตร์ของเขา

ผมถามเฮเลนที่เป็นฮีลเลอร์

“ผมหมดสติไปนานเท่าไหร่?”

“ครึ่งวัน…ไม่สิ เกือบทั้งวันน่ะ”

“อา…”

“ดีแล้วที่เธอเป็นแค่นี้ เธอโชคดีจริง ๆ นะ”

เฮเลนพูดต่อไป

เป็นปาฏิหาริย์แล้วที่ผมโดนเวทย์สายฟ้าตรง ๆ แล้วรอดชีวิตมาได้

อาจารย์ไฮเดลรีบใช้เวทย์ฟื้นฟูและพาผมมาที่ห้องพักฟื้น

“แล้ว…ร่างกายผมเป็นไงบ้าง? ผมไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เฮเลนเอียงคอดูเหมือนว่าจะสับสนกับคำถาม

“เราต้องตรวจร่างกายอีกไม่กี่อย่าง แต่…ตอนนี้เธอไม่เป็นไร ไม่สิ เธอปกติจนผิดปกติจากเรื่องที่ได้เจอมาเลยล่ะ”

“อะไรนะ?”

“อ๊ะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ ก็แค่ สำหรับคนที่โดนสายฟ้าตรง ๆ เธอปกติดีเกินไป ไม่มีแผล  ไม่มีความเสียหายกับร่างกาย ไม่มีรอยไหม้ แล้วก็ไม่มีแผลช้ำในด้วย มันไม่มีอะไรผิดปกติเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นเจอเรื่องแบบนี้เลยล่ะ”

“ถ้าฟังดูเหมือนชั้นอยากให้เธอบาดเจ็บก็ขอโทษด้วยนะ”

เฮเลนนั้นพูดความจริง

ภาพสะท้อนของผมในหน้าต่างนั้นดูปกติ เหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นจากการงีบหลับ

‘มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?’

เวทย์สายฟ้า ตามหลักแล้วเป็นเวทย์ที่จะละลายผิวหนังและทำลายอวัยวะได้ในพริบตา

เป็นเวทย์ที่อันตรายและน่าสะพรึงกลัว

เวทย์ฟื้นฟูที่อาจารย์ไฮเดลร่ายใส่ผมก็เป็นแค่ระดับของการปฐมพยาบาลเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยเรื่องการฟื้นฟูเลย

โดยเฉพาะแผลที่ไหม้อย่างรุนแรง

แต่ถึงอย่างนั้น

“อย่าเชียวนะ อย่าเพิ่งประมาทขยับตัว”

ผมลองหมุนแขน บิดเอว และถึงกับลุกขึ้นบนเตียงและเริ่มกระโดด

ทุกอย่างปกติดี

“ไม่จริง มันไม่มีเหตุผลเลย…”

ผมมองเฮเลนอย่างพูดไม่ออก และเธอก็พาผมเอนกายบนเตียง

“ต่อให้เธอดูไม่เป็นอะไร ตอนนี้เธอก็ต้องใจเย็นก่อน เข้าใจไหม?”

“...เข้าใจแล้วครับ”

“ชั้นจะเรียกอาจารย์ไฮเดลมา พักรอจนกว่าเขาจะมาถึงนะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมดึงผ้าห่มมาคลุมถึงหัวและค่อย ๆ หลับตา

เรื่องที่เกิดขึ้นปรากฏอย่างชัดเจนข้างในใจ

ทันทีที่พวกมันเอ่ยปากถึงพ่อผม ผมก็ตามืดบอดไปด้วยความแค้น

การต่อสู้นั้นเกิดขึ้นเพราะผมควบคุมความโกรธที่เดือดพล่านไม่ได้

ผมซัดกำปั้น

และจากนั้นก็…เวทย์สายฟ้า

มันเป็นอุบัติเหตุที่เกินกว่าเหตุ

และในขณะเดียวกันผมก็ได้เจอกับความกลัวสุดขั้วหัวใจเป็นครั้งแรก

‘เกือบตายแล้วสิ’

ความตาย

ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไป

แต่ผมไร้เดียงสาเกินไป

ความตายนั้นอยู่ใกล้ตัวเราเสมอ…

ใกล้จนไม่มีทางรู้ว่าเมื่อใดหรือที่ใดที่จะพาตัวเราไป

‘รายงานจะต้องถูกส่งไปถึงพ่อแน่…’

รายงานถูกส่งไปจริง ๆ

อา

ในหัวของผมเริ่มเต็มไปด้วยความคิดซับซ้อน

‘เฮเลนพูดถูก’

เฮเลนพูดถูกว่าสิ่งที่ผมต้องการที่สุดในตอนนี้คือความใจเย็น…

ผมชะล้างความคิดและหลับตาอีกครั้ง

ผมกำลังจะหลับ แต่เสียงก็แล่นเข้ามา

“อะแฮ่ม”

ผมตื่นจากเสียงกระแอมที่คุ้นเคย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด