ตอนที่แล้วซวยแล้วไง! ดันไปเพิ่มอัตราการดรอปไอเท็มให้สูงสุดซะงั้น ตอนที่ 8 กระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งขึ้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซวยแล้วไง! ดันไปเพิ่มอัตราการดรอปไอเท็มให้สูงสุดซะงั้น ตอนที่ 10 การคัดเลือก

ซวยแล้วไง! ดันไปเพิ่มอัตราการดรอปไอเท็มให้สูงสุดซะงั้น ตอนที่ 9 ผู้เฝ้ายามกลางคืน


ครืน!

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆมากมาย

สายฟ้าฟาดลงมาพาดผ่านท้องฟ้าพร้อมกับสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมากระทบพื้นโลก

ภายใต้ม่านฝน โลกทั้งใบมืดมิดและเต็มไปด้วยความหดหู่ใจ มีเสียงสะอื้นไห้ในพายุราวกับกำลังร้องไห้ให้กับความโหดร้ายของโลกที่วุ่นวายนี้

สภาพอากาศในเขตเจ็ดดาวนั้นทั้งชื้นและมีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ในฐานะหนึ่งในสิบสามเขตที่นำโดยฉางอัน แม้ว่าจะเป็นเพียงทวีปเล็กๆแต่ก็มีอาณาเขตที่กว้างขวางและมีผลผลิตมากมาย

ในเขตเจ็ดดาวนั้นมีนิกายหลักๆอยู่สามนิกาย

นั่นก็คือ

นิกายแห่งตำหนักเฟยหยวน, นิกายแห่งประตูเจ็ดดาว และนิกายพยัคฆ์แดง

ในหมู่พวกเขา นิกายแห่งตำหนักเฟยหยวนไม่เพียงแต่เป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานิกายหลักทั้งสามเท่านั้น แต่ยังเป็นกองกำลังปกครองของเขตเจ็ดดาว ทั้งหมดอีกด้วย

นิกายแห่งประตูเจ็ดดาวและนิกายพยัคฆ์แดงเป็นเพียงแค่นิกายในเครือของตำหนักเฟยหยวนเท่านั้น

นิกายพยัคฆ์แดงตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลซีซิง

ซ่งเหมินถูกสร้างขึ้นบนภูเขาขนาดใหญ่ และมีอาคารต่างๆล้อมรอบภูเขาด้วยรูปแบบที่ไม่ธรรมดา

ในการแบ่งนิกายทั้งหมด จะแบ่งโดยการใช้ภูเขาเป็นเขตแดน มีการสร้างเส้นแบ่งนิกาย ซึ่งแบ่งนิกายทั้งหมดออกเป็นนิกายบนและนิกายล่าง

สาวกของนิกายชั้นนอกล้วนอยู่ในนิกายล่างใต้ไหล่เขา

และจะมีเฉพาะสาวกนิกายภายในที่ผ่านอาคารหลักโดยตรงเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าสู่ชางซง

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเซียวซีที่อยู่ในนิกายมาเป็นเวลานานถึงไม่เคยพบสาวกของนิกายภายในเลย

นิกายหลักทั้งสามนิกายนอกเหนือจากนิกายของเขาแล้ว ยังมีการควบคุมเมืองบางเมืองในเวลาเดียวกันด้วย

เมืองจินอวิ่นซึ่งเป็นเมืองหลักที่ควบคุมโดยนิกายพยัคฆ์แดงนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอดภายใต้การจัดการของนิกายพยัคฆ์แดงเอง

มีเมืองไม่มากนักในเขตเจ็ดดาวทั้งหมด

ทุกเมืองมีความสำคัญอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ การได้ใช้ชีวิตในเมืองเป็นเป้าหมายและความฝันของใครหลายคนอย่างไม่ต้องสงสัย

ท้ายที่สุด เมื่อเทียบกับถิ่นทุรกันดารที่ไร้ระเบียบ แม้ว่าจะมีการต่อสู้และการเสียชีวิตภายในเมือง แต่เมื่อเทียบกับอันตรายและความวุ่นวายจากภายนอกแล้ว เมืองนี้กลับปลอดภัยกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

การใช้ชีวิตในเมืองจึงกลายเป็นความฝันของใครหลายคน

ผู้คนจำนวนมากเข้ามาในเมืองอยู่ทุกวัน และหลังจากนั้นหลายๆคนก็ไม่ต้องการที่จะจากไปหลังจากที่พวกเขาเข้ามาแล้ว

แต่ว่า…

ทุกเมืองมีกฎของมัน

ไม่ใช่ว่านึกจะอยู่ก็อยู่ได้

เป็นเวลาบ่ายแล้วที่ศิษย์สายนอกเช่นเซียวซีมาถึงเมืองจินอวิ่น

ทันทีที่เขาเข้าไปในเมือง เซียวซีก็ได้ยินเสียงดังจอแจ

แม้จะอยู่ท่ามกลางสายฝน

เมืองเมฆาทองคำ(จินอวิ่น)ทั้งเมืองก็ยังคงมีชีวิตชีวาเช่นเดิม

ผู้ที่รับผิดชอบในการนำพวกเขาซึ่งเป็นสาวกชั้นนอกไปยังเมืองจินอวิ่นในครั้งนี้คือชายร่างเตี้ยหน้ากลมจากชางซง

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโสของชางซง

หลังจากเข้าสู่เมืองจินอวิ่น เขาก็นำฝูงชนไปยังอาคารอันงดงาม

อาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองจินอวิ่นและโดดเด่นมาก

สีโดยรวมของอาคารเป็นสีดำสนิท เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก

เห็นได้ชัดว่าขณะนี้เขายังอยู่ในเมืองที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน แต่ที่แห่งนี้กลับไม่มีคนเดินเท้าเข้ามาเลยสักคนราวกับผู้คนทั้งหมดต้องการหลีกเลี่ยงมันซะอย่างนั้น ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะมีความสยองขวัญบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้

เหนือประตูอาคารมีแผ่นป้ายที่มีอักขระสีดำและดูเย็นยะเยือกขนาดใหญ่อยู่สามตัว

ยามกลางคืน!

ในเวลานี้ ชายหนุ่มในชุดดำกำลังยืนอยู่ที่ประตูของกองตรวจการณ์กลางคืน หลังจากเห็นเซียวซีและคนอื่นๆ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าทันทีและทักทายผู้อาวุโสหน้ากลมด้วยความเคารพ

ผู้อาวุโสหน้ากลมพยักหน้า

เมื่อมองไปที่เซียวซีและคนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังเขา เขาพูดเบาๆว่า

“นี่คือกองตรวจการณ์ของยามกลางคืน และเป็นที่ที่พวกเจ้าจะได้ทำงานด้วย พวกเจ้าจะได้ทำงานที่นี่เป็นเวลาสามปี แล้วหลังจากนั้นสามปี เรื่องที่ว่าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์ภายในหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าเองแล้ว”

หลังจากที่ผู้อาวุโสหน้ากลมพูดจบ เขาก็ส่งมอบคนทั้งหมดให้กับชายหนุ่มในชุดดำ แล้วจากไปโดยไม่ได้อยู่ที่นี่นานเกินไปนัก

"ตามข้ามา"

ชายหนุ่มในชุดดำโบกมือให้กับทุกคนและพาพวกเขาไปที่กองตรวจการณ์ของยามกลางคืน

กองตรวจการณ์ของยามกลางคืนนั้นกว้างขวางมาก

ในระหว่างทางที่พวกเขากำลังเดินผ่าน เซียวซีและคนอื่นๆก็เห็นคนเฝ้ายามกลางคืนเช่นกัน

ยามกลางคืนเหล่านี้ล้วนแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสีดำ มีหมวกสีดำใบใหญ่บนศีรษะ พวกเขาส่วนใหญ่ดูเฉยเมยและเดินอย่างเร่งรีบ

เมื่อผ่านเซียวซีและคนอื่นๆ พลังงานอันทรงพลังและเลือดที่เล็ดลอดออกมาจากยามกลางคืนเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการฝึกฝนของพวกเขาโดยพื้นฐานแล้วอยู่ระหว่างระดับที่หกและเจ็ดของศิลปะการต่อสู้

โดยปกติแล้ว การตัดสินระดับการฝึกฝนแค่เฉพาะของผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แบบทั่วไปนั้น นอกเหนือจากการต่อสู้แล้ว ก็จะตัดสินจากความแข็งแกร่งของลมปราณและเลือดเป็นหลัก

ระดับของศิลปะการต่อสู้แต่ละระดับจะมีความแข็งแกร่งของลมปราณและเลือดที่แตกต่างกัน

ยิ่งระดับสูงขึ้น พลังลมปราณและเลือดก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

แม้ว่าวิธีการตัดสินนี้จะไม่ถูกต้อง 100% แต่ข้อผิดพลาดก็ไม่ได้มีมากจนเกินไป

เว้นแต่จะมีสมบัติบางอย่างที่สามารถซ่อนพลังลมปราณและเลือดไว้บนร่างกายของคู่ต่อสู้ได้ หรือผ่านการฝึกฝนร่างกายมาแล้ว ซึ่งพลังลมปราณและเลือดจะถูกบีบอัดหลังจากฝึกร่างกายสำเร็จ แต่พลังลมปราณและเลือดภายใต้ระดับการฝึกฝนที่แท้จริงจะไม่ถูกบีบอัดทำให้ไม่แสดงออกมา

แต่ทั้งสองกรณีนั้นหายากมาก

"แข็งแกร่งมาก!"

หลังจากรู้สึกได้ถึงพลังงานและเลือดที่ผันผวนของผู้เฝ้ายามกลางคืนเหล่านี้ สาวกจำนวนมากจากนิกายชั้นนอกก็กระซิบกระซาบกันด้วยความประหลาดใจ

ตลอดทาง หลังจากผ่านห้องใต้หลังคาและทางเดินมาหลายทาง ไม่นานนัก เซียวซีและกลุ่มของเขาก็ถูกนำตัวไปที่จัตุรัสแห่งหนึ่ง

ที่ใจกลางจัตุรัส มีร่างสี่ร่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ รอให้ทุกคนมาถึงอย่างเงียบๆ

เมื่อเข้าไปใกล้

ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังลมปราณและเลือดที่น่าอัศจรรย์จากทั้งสี่คนนี้ทันที!

นี่มันมากกว่าผู้เฝ้ายามกลางคืนที่เขาพึ่งเจอมาตั้งเยอะ!

ในหมู่พวกเขา ที่นั่งด้านซ้ายสุดคือผู้หญิงผมสีม่วงที่มีท่าทางเกียจคร้าน เธออายุประมาณ 20 ปี มีผิวขาวและมีนิสัยเย็นชา เธอไว้ผมหางม้าสูงที่แกว่งไปมาเล็กน้อย สิ่งที่เธอทำมีแค่เพียงชำเลืองมองมาที่กลุ่มสาวกภายนอกและหยุดให้ความสนใจชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ที่นั่งที่สองจากด้านซ้ายมือคือชายชราผมหงอก

ดวงตาของชายชรามีลักษณะเรียวแคบและยาว เขามีจุดดำบนใบหน้าและมีท่าทางที่ดูจริงจัง และสิ่งที่เขาทำก็คือมองไปที่กลุ่มสาวกด้านนอกอย่างจริงจัง

คนที่สามเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่หน้าเหลี่ยม

เขาสูงอย่างน้อยสองเมตร

นั่งอยู่ที่นั่นราวกับเป็นหอคอยเหล็กและมองไปที่สาวกด้านนอกจำนวนมากด้วยสายตาที่ดูจริงจัง

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านขวาสุดเหล่ตามองมาที่พวกเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาสื่อให้เห็นว่าเขาดูเหมือนจะสนใจสาวกภายนอกที่พึ่งมาใหม่เหล่านี้มาก

“เรียนหัวหน้าทั้งสี่ พวกเขาเป็นศิษย์ชั้นนอกที่มารายงานตัวขอรับ”

ชายหนุ่มในชุดดำที่เป็นคนนำทางเซียวซีและคนอื่นๆมา พูดกับสี่คนข้างหน้าด้วยความเคารพ

จากคำพูดของเขา

ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าสี่คนที่อยู่ข้างหน้าของพวกเขาคือหัวหน้าทั้งสี่ของกองตรวจการณ์กลางคืน

กองตรวจการณ์กลางคืนนั้นแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มหลักๆ ได้แก่ A, B, C และ D

แต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้าหนึ่งคน

ซึ่งภายในกองตรวจการณ์กลางคืนนั้นจะมีสถานะเป็นรองแค่เพียงผู้อำนวยการเท่านั้น

"อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่เลย มาเริ่มกันสักทีเถอะ"

ผู้หญิงผมสีม่วงที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเอพูดอย่างหมดความอดทน

"ขอรับ"

ชายในชุดดำพยักหน้า

เขาหยิบแผ่นหยกที่ผู้อาวุโสหน้ากลมมอบให้ออกมา และมองไปที่กลุ่มสาวกด้านนอก

“เอาล่ะ พวกที่ข้าอ่านชื่อแล้วให้ออกมาข้างหน้า”

"ติงหยาง"

ท่ามกลางฝูงชน

เด็กชายร่างอ้วนเดินไปข้างหน้าอย่างประหม่า

ทุกสายตาจับจ้องไปที่เด็กชายร่างอ้วนคนนี้ทันที

ภายใต้การเพ่งเล็งของสายตามากมาย เด็กชายร่างอ้วนก็อดไม่ได้ที่จะประหม่ามากขึ้น

ชายหนุ่มในชุดดำมองดูแผ่นยกและอ่านต่อทันที

"ติงหยาง อายุสิบหกปี จำนวนภารกิจที่ทำทั้งหมดคือห้าครั้ง! จากทั้งหมด สามภารกิจคือภารกิจระดับห้า หนึ่งภารกิจคือระดับสี่ และอีกหนึ่งภารกิจคือระดับสาม"

หัวหน้าทั้งสี่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้ยินคำพูดทั้งหมด ชายชราผมหงอกที่เป็นหัวหน้ากลุ่มบีและชายสูงสองเมตรที่เป็นหัวหน้ากลุ่มซีพยักหน้าเล็กน้อย

"ปานกลาง"

"ใช้ได้"

หัวหน้ากลุ่มซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดเสียงเบา

"มาเข้ากลุ่มซีของข้าสิ"

"…ขอรับ!"

ชายอ้วนตัวเล็กที่ชื่อติงหยางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาเดินไปยืนอยู่ข้างหลังหัวหน้ากลุ่มซีและเข้าร่วมกลุ่มซีในทันที

นี่เป็นแนวทางปฏิบัติของสาวกชั้นนอกทุกกลุ่มเมื่อพวกเขามาที่กองตรวจการณ์กลางคืน

หัวหน้าทั้งสี่จะเลือกโดยพิจารณาจากภารกิจที่พวกเขาได้ทำในอดีต เช่นเดียวกับความแข็งแกร่งและการฝึกฝนของพวกเขา

1 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด