ตอนที่แล้วบทที่ 945 (66) ระดับของนักบู๊
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 947 (68) เซียวฉางเหอฟื้น?

บทที่ 946 (67) เลือดคั่งในสมอง(ตอนฟรี)


บทที่ 946 (67) เลือดคั่งในสมอง

“ลุงเซียวเข้าโรงพยาบาล?!” จี้เฟิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดเพียงแค่ว่า “โรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลใช่มั้ย? ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

หลังจากวางสาย จี้เฟิงก็พูดทันทีว่า “เล่ยซือ ขอโทษทีนะ ฉันคงไปส่งนายไม่ได้แล้ว พ่อของหยูซวนเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นฉันต้องรีบไปที่โรงพยาบาลก่อน”

จางเล่ยรู้ดีว่าอะไรควรมาก่อนมาหลัง ดังนั้นเขาจึงพูดทันทีว่า “งั้นเราก็ไปที่โรงพยาบาลด้วยกันเลย ในเมื่อพ่อของหยูซวนเข้าโรงพยาบาล ฉันก็ควรไปดูด้วยเหมือนกัน... ไปๆกลับรถๆ!”

จี้เฟิงไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไป เขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซียวฉางเหอ ดังนั้นยิ่งเขาไปถึงที่นั่นเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

รถตู้เลี้ยวหักศอกไปตามถนนแล้วกลับรถอย่างรวดเร็วและขับไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับเมื่อครู่

ในความเป็นจริง จี้เฟิงรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ในใจ เพราะถ้าเซียวฉางเหอไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปถึงโรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ในเจียงโจว

ดังนั้นจี้เฟิงจึงเดาว่าเซียวฉางเหอจะต้องเจ็บป่วยกะทันหันหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตาม มันคงไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อย

ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ จี้เฟิงก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเซียวฉางเหอจริงๆ เซียวหยูซวนจะต้องเสียใจอย่างมาก และจี้เฟิงก็ไม่ต้องการเห็นสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

ดังนั้นตลอดทางจี้เฟิงจึงแทบไม่ได้ยกเท้าออกจากคันเร่งเลย เขาขับด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่รถตู้คันนี้จะทำได้จนเหมือนกับมันเป็นรถสปอร์ต ซึ่งสิ่งนี้ทำให้จางเล่ยและเฉินจิ้งยี่แปลกใจมากว่ารถตู้มันสามารถขับแบบนี้ได้ด้วยหรือ? แล้วถ้าเป็นรถสปอร์ตล่ะ? จี้เฟิงจะไม่ขับจนมันบินได้แบบเครื่องบินไปเลยหรืออย่างไร?

เดิมทีจี้เฟิงและคนอื่นๆ เพิ่งเข้ามาในเขตเมืองเพราะจะไปที่ร้าน 4S และร้านนี้ก็อยู่ไกลจากโรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลมาก แต่เวลานี้เพิ่งผ่านไปยี่สิบนาที ทั้งสามคนก็มาถึงโรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลแล้ว

“เอี๊ยดดด—!!”

จี้เฟิงเบรกรถอย่างกะทันหันโดยแทบไม่ชะลอความเร็วเลยและจอดรถตู้ไว้ที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล

“เอี๊ยดด—!”

“ไอ้เวรเอ๊ย!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกกะทันหันและตามมาด้วยเสียงตะโกนด่า “ไอ้ควาย! มึงขับรถภาษาอะไรวะ? อยากตายรึไง?!”

ใบหน้าของจี้เฟิงมืดลง แต่เขาไม่มีเวลามาสนใจ เขาดับเครื่องยนต์และหยิบกุญแจรถและลงจากรถอย่างรวดเร็ว

“ซวยจริงๆ ดันมาเจอพวกคนชั้นต่ำ ขับรถตู้เก่าๆพังๆไม่พอ วิธีขับรถยังหยาบคายไร้สมองอีก!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังพร้อมกับการก่นด่า

“วันนี้วันหมาโลกหรือยังไง ทำไมเจอแต่คนปล่อยหมาออกจากปาก!” จางเล่ยแค่นเสียงพร้อมกับมองไปที่ด้านหลัง และเห็นชายหัวล้านคนหนึ่งเดินลงมาจากรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีดำ ที่ด้านข้างเขามีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี แต่ผู้หญิงคนนี้แต่งหน้าหนามาก ดังนั้นจึงเดาอายุที่แท้จริงของเธอได้ยาก

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนชายหัวล้านจะอายุมากกว่า เขาอยู่ในวัยห้าสิบถึงหกสิบปี แขนข้างหนึ่งของเขากำลังโอบรอบเอวของหญิงสาวอยู่

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสองคนนี้พูดด้วยสีหน้าท่าทางแบบไหน พวกเขาเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งและมองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกราวกับว่าพวกเขาเหนือกว่าคนอื่น

“ให้ตายเถอะ! ไอ้สารเลวนี่ยังจะกล้าพูดแบบนี้อีก!” ชายหัวล้านโกรธทันทีเมื่อได้ยินจางเล่ยพูดกับเขาเช่นนั้น เขาจ้องมองไปที่จางเล่ยด้วยความโกรธ

ขวับ!

จี้เฟิงหันไปจ้องมองชายหญิงสองคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “อย่าสร้างปัญหาให้ตัวเอง!”

ทันใดนั้นชายหัวล้านก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้ตกลงไปในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง เขารู้สึกหนาวสั่นไปจนถึงขั้วหัวใจ ภายใต้การจ้องมองที่เยือกเย็นของจี้เฟิงทำให้ชายหัวล้านได้แต่ยืนอ้าปากเหวอแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

“เฮอะ!”

จี้เฟิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาก่อนจะหันหลังกลับและเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปในโรงพยาบาล

จางเล่ยมองดูชายหัวล้านด้วยสายตาดูถูกจากนั้นก็หันหลังและเดินเข้าโรงพยาบาลไปพร้อมกับเฉินจิ้งยี่

“วันนี้ก้าวขาออกจากบ้านผิดข้างมั้ง โชคร้ายจริงๆเจอแต่คนงี่เง่า!” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะบ่นพร้อมกับส่ายหัว

ผู้ชายที่เจอตรงทางเข้าโรงแรมตงไท่ก็แบบนี้ ไม่สนใจว่าอะไรเป็นยังไง พอเห็นอีกฝ่ายขับรถราคาถูกกว่าก็แสดงความเก่งกล้ากันขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าโตมาแบบไหน ถึงได้มีทัศนคติแบบนี้!

มันจะไม่เป็นไรเลยหากเรียกร้องค่าชดเชยจากอุบัติเหตุที่มันเกิดขึ้น แต่มาถึงก็อ้าปากด่าโดยไม่ถามเลยนี่มันน่ารำคาญเกินไป!

ชายหัวล้านที่เจอตอนนี้ก็เหมือนกัน ก็รู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาล ไม่ว่าจะมาเยี่ยมคนไข้หรือพาคนเจ็บไข้ได้ป่วยมาหาหมอ ทุกคนต่างรีบร้อน แถมตอนที่จี้เฟิงจอดรถยังเหลือระยะห่างระหว่างรถของชายคนนั้นกับรถตู้เกือบสิบเมตร ต่างคนต่างจอดไปก็จบ มันไปสร้างความเดือดร้อนให้ชายหัวล้านตรงไหน?

ส่วนจี้เฟิงก็ขี้เกียจเกินไปที่จะจัดการกับคนประเภทนี้ หากมีเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบเขาจะรับมันไว้ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องเสียเวลามาสั่งสอน

พ่อแม่ก็มี ทำไมฉันต้องเป็นคนสอนบทเรียนให้คุณ?

คุณอายุเท่าไหร่?!

จี้เฟิงรีบวิ่งไปที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาลและถามพยาบาลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในเคาน์เตอร์อย่างสุภาพว่า “คุณพยาบาล คนไข้ชื่อเซียวฉางเหออยู่ห้องไหนครับ?”

แต่ในขณะนั้นเอง มีหญิงวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์หันกลับมาเมื่อได้ยินชื่อของเซียวฉางเหอ เธอตะโกนว่า “เสี่ยวเฟิง?”

จี้เฟิงหันศีรษะไปตามเสียงเรียกและเห็นแม่ของเซียวหยูซวนกำลังเข้าแถวต่อคิวอยู่ที่ช่องจ่ายเงิน เขาจึงยิ้มให้พยาบาลอย่างสุภาพและรีบเดินไปหานางเซียว

“คุณป้าครับ คุณลุงเป็นยังไงบ้าง?” จี้เฟิงถามทันที

“ฉันก็ยังไม่รู้ผลอะไรเลยเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตาเฒ่าบอกว่าเวียนหัวแล้วเขาก็สลบไปเลย ตอนนี้เขากำลังทำการตรวจอย่างเร่งด่วน ฉันมาที่นี่เพื่อจ่ายเงินมัดจำ...” น้ำเสียงของนางเซียวเป็นกังวลมาก

จี้เฟิงมองไปที่คิวข้างหน้า ในเวลานี้มีคนกำลังยืนต่อแถวมากกว่า 20 คน เขาพูดทันที “คุณป้าไปดูคุณลุงเถอะครับ ผมต่อคิวให้เอง”

“ไม่เป็นไรๆ ฉันทำเอง” นางเซียวปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

จี้เฟิงโบกมือและพูดว่า “คุณป้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงกันเรื่องนี้นะครับ การดูแลลุงเซียวเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คุณป้าไปอยู่ข้างๆลุงเซียวเถอะครับ ผมจะจัดการส่วนที่เหลือเอง”

“ใช่แล้วครับคุณป้า แค่ต่อคิวจ่ายเงิน สบายมาก!” จางเล่ยที่อยู่ข้างๆพูดสนับสนุน

“อ่า.. ถ้างั้น ฉันจะไปที่นั่นก่อนก็แล้วกันนะ ลุงเซียวอยู่ในห้องตรวจที่ชั้น 3  ถ้าตรงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเธอตามขึ้นไปนะ” นางเซียวพูด

“ได้เลยครับ” จี้เฟิงรับเอกสารและก้าวเข้ามาแทนที่นางเซียวทันที ดูจากจำนวนคนที่ยืนเข้าคิวอยู่ในตอนนี้ จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นเซียวฉางเหออาจตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะดีกว่าหากมีคนคอยอยู่ข้างๆเขา

“เจ้าบ้า ฉันคิดว่านายขึ้นไปดูลุงเซียวข้างบนก่อนดีกว่า เดี๋ยวฉันเป็นคนเข้าคิวรอจ่ายค่ามัดจำอยู่ที่นี่เอง!” จางเล่ยพูดขึ้น

จี้เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พักหน้าและพูดว่า “ดีเหมือนกัน!”

ระหว่างเขากับจางเล่ยไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อย จี้เฟิงส่งใบเสร็จ เงินและบัตรประจำตัวประชาชนของเซียวฉางเหอให้จางเล่ย จากนั้นเขาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามนางเซียวขึ้นไปชั้นบน

เมื่อจี้เฟิงและนางเซียวมาถึงชั้น 3 เซียวฉางเหอก็ตรวจร่างกายเสร็จแล้ว หมอและพยาบาลหลายคนเข็นเตียงที่มีเซียวฉางเหอนอนอยู่ออกมาจากห้องตรวจ นางเซียวและจี้เฟิงรีบเข้าไปหาทันที

“คุณหมอคะ สามีของฉันเป็นยังไงบ้าง?” แม่เซียวถามอย่างรีบร้อน

นายแพทย์คนหนึ่งกล่าวว่า “คุณคือญาติผู้ป่วยใช่มั้ย? ผู้ป่วยมีภาวะเลือดคั่งในสมอง เราจะรีบทำการผ่าตัดทันที โชคดีที่ผู้ป่วยถูกส่งตัวมาทันเวลา ดังนั้นโอกาสที่การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จจึงมีความเป็นไปได้สูง”

“อา?!”

นางเซียวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เลือดคั่งในสมอง?!”

“คุณป้า ใจเย็นๆก่อนครับ อย่าเครียดมากเกินไป เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้ามาก ภาวะเลือดคั่งในสมองไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หาย การที่หมอพูดแบบนี้ก็มั่นใจเถอะครับว่าคุณลุงจะต้องหาย การมาส่งตัวได้ทันเวลามีผลมาก ดังนั้นไม่ต้องกังวลนะครับ” จี้เฟิงพูดปลอบโยนนางเซียว

ในความเป็นจริง จี้เฟิงเองก็ไม่รู้ว่าอาการเลือดคั่งในสมองสามารถรักษาหายได้จริงหรือเปล่า เพราะเขาก็ไม่รู้เรื่องการรักษาทางการแพทย์มากนัก

แต่เนื่องจากหมอพูดแบบนั้น จี้เฟิงจึงเดาว่าที่เขาพูดคงไม่ห่างไกลความเป็นจริงมากนัก

นางเซียวทำได้เพียงแต่ลงนามในข้อตกลงการผ่าตัดอย่างกระวนกระวายใจ และเมื่อเห็นเซียวฉางเหอที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยถูกผลักเข้าไปในห้องผ่าตัด เธอก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อมองไปที่ไฟแสดงสถานะในห้องผ่าตัด นางเซียวก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ “ทำไมจู่ๆเขาถึงเป็นแบบนี้ได้? เขาไม่ได้มีนิสัยแย่ๆ เรื่องดื่มกินก็นานทีปีหน บุหรี่ก็ไม่ค่อยสูบ... ทำไมเขาถึงได้มีเลือดคั่งในสมอง!”

จี้เฟิงพยายามพูดปลอบโยน “จริงๆแล้ว หากคนๆหนึ่งจะป่วย มันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมแย่ๆเสมอไปหรอกนะครับ บางทีอาจมีบางสิ่งเป็นตัวชักนำทำให้ลุงเซียวเกิดภาวะเลือดคั่งในสมอง”

“ฮือ..”

นางเซียวร้องไห้และปาดน้ำตาตัวเอง “ตาเฒ่าเซียวมีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด ครอบครัวของเขาไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะอะไรนัก เขาทำงานหนักมาตั้งแต่เด็กๆ เพิ่งจะมามีชีวิตมั่นคงเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง แต่ก็ต้องมาเป็นแบบนี้....”

จี้เฟิงได้แต่ถอนหายใจ โชคชะตาคนเราเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวินาทีถัดไป

ดังนั้นสิ่งเดียวที่คนเราจะทำได้คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

พูดตามหลักเหตุผลแล้ว สุขภาพของเซียวฉางเหอไม่ได้แย่ และปัญหาใหญ่แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ตอนนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความไม่เที่ยงของชีวิต!

การผ่าตัดกินเวลานานกว่า 40 นาที นางเซียวเริ่มกระวนกระวายใจมากขึ้น ส่วนจี้เฟิงเองก็เป็นคนที่ปลอบคนอื่นไม่เก่ง ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าลุงเซียวไม่เป็นไร...

แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้ไม่ได้มีผลมากนักในการบรรเทาอารมณ์วิตกกังวลของนางเซียว จนกระทั่งเซียวหยูซวนมาถึง อารมณ์ของนางเซียวก็เหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้น

อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงยังคงเห็นร่องรอยความวิตกกังวลในดวงตาที่สวยงามของเซียวหยูซวน

“หยูซวน ไม่ต้องกังวล ลุงเซียวจะไม่เป็นไร” จี้เฟิงตบมือของเซียวหยูซวนและพูดปลอบโยนเธอ

เซียวหยูซวนดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ และรีบพูดว่า “จี้เฟิง นายยังมียาพิเศษนั่นอยู่รึเปล่า? มันพอจะช่วยพ่อของฉันได้มั้ย?”

จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น ฉันจะดูแลให้ร่างกายของลุงเซียวได้พักฟื้นเต็มที่ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”

นางเซียวไม่รู้ถึงความสามารถของจี้เฟิง ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่สามารถพูดให้เธอหายกังวลใจได้ แต่เซียวหยูซวนรู้ ดังนั้นจี้เฟิงจึงกล้าที่พูดออกมาแบบนั้น

“อืม.. ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แต่ดวงตาของจี้เฟิงในเวลานี้ตกอยู่ที่เสี่ยวอิงซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆเซียวหยูซวน

เสี่ยวอิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆเซียวหยูซวนสะพายกระเป๋านักเรียนไว้ด้านข้าง และเมื่อรวมกับชุดของเธอแล้วเธอดูเหมือนกับนักศึกษา

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง สองคนนี้มักจะหายตัวไปตลอดทั้งวัน แถมพูดคุยกันเหมือนมีความลับที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

“เจ้าบ้า...” ในเวลานี้ จางเล่ยและเฉินจิ้งยี่ที่เพิ่งเสร็จธุระจากข้างล่างกำลังเดินมาทางจี้เฟิงอย่างรวดเร็ว “ลุงเซียวเป็นยังไงบ้าง?”

จี้เฟิงชี้ไปที่ไฟแสดงสถานะในห้องผ่าตัด “กำลังทำการผ่าตัดอยู่”

ทันทีที่เขาพูดจบ ไฟแสดงสถานะการผ่าตัดก็ดับลงทันที

การผ่าตัดเสร็จสิ้นลงแล้ว!

จี้เฟิงและคนอื่นๆรีบลุกยืนขึ้นเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อให้เซียวฉางเหอออกมา

.....จบบทที่ 946~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด